วันนี้ (23 มิถุนายน 2562) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ณ ห้อง Crystal Hall โรงแรมดิ แอทธินี กรุงเทพฯ ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่รัฐบาลไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 รวมถึงการประชุมหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับภาคส่วนต่าง ๆซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่อาเซียนจะร่วมมือกันก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และก้าวไปสู่อนาคต ภายใต้กรอบแนวคิดหลักของการเป็นประธานอาเซียนของไทย “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน”
ที่ประชุมสนับสนุนการดำเนินการของไทยในการสร้างความยั่งยืนให้อาเซียนทุกมิติเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่างๆ ดังจะเห็นได้จากการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของผู้นำอาเซียนที่ได้ร่วมกันรับรองวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน
การสร้างภูมิภาคที่ยั่งยืนและปลอดภัยสำหรับประชาชนในทุกสถานการณ์ ปัญหาขยะทะเลเป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบในวงกว้างต่อชีวิตความเป็นอยู่ และสุขอนามัยของประชาชน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ และทรัพยากรทางทะเล ที่ประชุมจึงได้รับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียนที่แสดงเจตนารมณ์ของอาเซียนในการมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างจริงจังและยั่งยืน
เตรียมการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและภัยพิบัติ ผู้นำอาเซียนร่วมกันเปิดตัวคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน สำหรับใช้ในกรณีเกิดภัยพิบัติ (ศูนย์เดลซ่า:DELSA) และดำเนินการยกระดับศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนเป็นองค์กรของอาเซียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งทั้ง 2 แห่งตั้งอยู่ที่ประเทศไทย
การเสริมสร้างความตระหนักรู้และอัตลักษณ์ของอาเซียนในระดับประชาชน ผู้นำอาเซียนได้รับรองแถลงการณ์ว่าด้วยปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562 และจัดตั้งเครือข่ายสมาคมอาเซียนในประเทศสมาชิก นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งสมัชชารัฐสภาอาเซียน เยาวชน และภาคธุรกิจ เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและย้ำความสำคัญของประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
การส่งเสริมบทบาทนำของอาเซียนในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค อาเซียนได้จัดทำเอกสารมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักการที่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งหลักการที่บรรจุอยู่ในสนธิสัญญาไมตรี และความร่วมมือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ แทค (TAC) นอกจากนี้ที่ประชุมยังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจระดับภูมิภาค โดยไทยยืนยันที่จะผลักดันให้การเจรจาอาร์เซ็ป (RCEP) แล้วเสร็จในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้า (trade tension) ระหว่างคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียน
สำหรับประเด็นเรื่องความตึงเครียดทางการค้าที่จะมีการหารือในการประชุม G20 ซึ่งผู้นำประเทศจากอาเซียนได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม เข้าร่วมประชุมด้วย และจะร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเวทีดังกล่าว เพื่อให้สถานการณ์นี้ผ่อนคลายโดยเร็ว
นอกจากนี้ อาเซียนยินดีกับการมีอาคารสำนักเลขาธิการอาเซียนหลังใหม่ที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งพร้อมจะเปิดทำการอย่างเป็นทางการในวันครบรอบการก่อตั้งอาเซียนในวัน 8 สิงหาคม ศกนี้ ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนสามารถทำงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแจ้งว่าผู้นำทั้งหลายได้สนับสนุนให้อาเซียนร่วมมือกันเสนอตัว เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบอลโลก หรือ ฟีฟ่าเวิล์ดคัพในปี 2034 ในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนอาเซียนทุกคน สนับสนุนสมาคมฟุตบอลในแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อบรรลุฝันนี้ด้วยกัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณผู้นำอาเซียนที่ให้การสนับสนุนไทยในการเป็นประธานอาเซียน และเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงาน และประชาชนไทยที่ให้ความร่วมมือในการร่วมกันเป็นเจ้าภาพ พร้อมยืนยันว่าผู้นำอาเซียนจะร่วมกันผลักดันความร่วมมือในกรอบอาเซียนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สร้างความแข็งแกร่ง และความมั่นคงของอาเซียนต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th