นายกรัฐมนตรีระบุการมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี คงไม่กระทบต่อการสอบสวนทางวินัย
เมื่อเวลา 15.00 น. ณ ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับกรณีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ว่า เป็นไปตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว การโยกย้ายครั้งนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสอบสวน โดยข้อกล่าวหาต่างๆ คณะกรรมการสอบสวนจะเป็นผู้ตรวจสอบ ซึ่งคงจะใช้เวลาพอสมควร เพราะประธานคณะกรรมการสอบสวนจะเดินทางกลับมาวันที่ 4 มีนาคมนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้คุยกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ หรือไม่ เพราะเห็นว่าจะฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเป็นความเห็นคงไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม ต่างคนต่างก็เข้าใจทั้งสองฝ่าย ว่าใครทำอะไรอย่างไร แต่ถ้าเห็นว่านายกฯ ทำผิด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ ก็สามารถฟ้องได้ ไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยระบุว่า การย้าย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ ครั้งนี้ เพื่อเตรียมตำแหน่งไว้ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับมาเป็น ผบ.ตร. ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ถามผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ พูดในฐานะอะไร คาดการณ์หรือหมอดู ก็ปล่อยให้เขาคาดการณ์ไป และคงไม่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ว่าอย่างนั้นก็จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าผลการสอบวินัยแล้วเสร็จจะแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่ามีคนรักษาการอยู่ แปลว่ายังไม่มีการแต่งตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เพื่อให้สังคมสบายใจยืนยันได้หรือไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ เป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าดูไมตรีของตน ซึ่งมีการเสนอเรื่องขึ้นมาดุเดือดเลือดพล่านกว่านี้ แต่ได้เลือกที่เบาที่สุดรักษาไมตรีไว้ดีที่สุดแล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ ก็จะปลอดภัยที่สุด เพราะคิดว่าต้องป้องกัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ เอาไว้
“ผมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจมาก่อน สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็มาเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจอีก ผมป้องกันผู้ใต้บังคับบัญชา เขาเสนอมา 1- 2 - 3 มันแรง ผมบอกเอาเบาที่สุด เพื่อที่ไม่มีอะไรจะได้จบกันเสียทีเท่านั้นเอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อเวลา 15.00 น. ณ ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับกรณีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ว่า เป็นไปตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว การโยกย้ายครั้งนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสอบสวน โดยข้อกล่าวหาต่างๆ คณะกรรมการสอบสวนจะเป็นผู้ตรวจสอบ ซึ่งคงจะใช้เวลาพอสมควร เพราะประธานคณะกรรมการสอบสวนจะเดินทางกลับมาวันที่ 4 มีนาคมนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้คุยกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ หรือไม่ เพราะเห็นว่าจะฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเป็นความเห็นคงไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม ต่างคนต่างก็เข้าใจทั้งสองฝ่าย ว่าใครทำอะไรอย่างไร แต่ถ้าเห็นว่านายกฯ ทำผิด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ ก็สามารถฟ้องได้ ไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยระบุว่า การย้าย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ ครั้งนี้ เพื่อเตรียมตำแหน่งไว้ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับมาเป็น ผบ.ตร. ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ถามผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ พูดในฐานะอะไร คาดการณ์หรือหมอดู ก็ปล่อยให้เขาคาดการณ์ไป และคงไม่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ว่าอย่างนั้นก็จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าผลการสอบวินัยแล้วเสร็จจะแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่ามีคนรักษาการอยู่ แปลว่ายังไม่มีการแต่งตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เพื่อให้สังคมสบายใจยืนยันได้หรือไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ เป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าดูไมตรีของตน ซึ่งมีการเสนอเรื่องขึ้นมาดุเดือดเลือดพล่านกว่านี้ แต่ได้เลือกที่เบาที่สุดรักษาไมตรีไว้ดีที่สุดแล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ ก็จะปลอดภัยที่สุด เพราะคิดว่าต้องป้องกัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฯ เอาไว้
“ผมเคยเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจมาก่อน สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็มาเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจอีก ผมป้องกันผู้ใต้บังคับบัญชา เขาเสนอมา 1- 2 - 3 มันแรง ผมบอกเอาเบาที่สุด เพื่อที่ไม่มีอะไรจะได้จบกันเสียทีเท่านั้นเอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--