นายกรัฐมนตรีเผยผลการหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งมีความร่วมมือกันหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ พร้อมระบุกัมพูชาจะขึ้นทะเบียนเฉพาะองค์ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกไม่เกี่ยวกับเรื่องการปักปันเขตแดนแต่อย่างใด
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ว่า ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งพระองค์ทรงมาต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู และไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้าไปในพระราชวัง ซึ่งได้เห็นว่ามีความงดงามเป็นอย่างมาก และได้สนทนากับพระองค์นานกว่า 40 นาทีก่อนจะทูลลา อย่างไรก็ตาม จากที่ได้รับฟังภาษาจากพระองค์ท่านแล้วน่าสนใจ เพราะใช้ภาษาโบราณ ถ้อยคำคล้ายกันมาก ผ้าขาวม้าก็เรียกเหมือนกัน สันติภาพ ก็ใช้สันติเพียบ และยังมีการใช้ราชทินนาม เช่น สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน สมเด็จอัคคมหาธัมมโพธิสาลเจีย ซิม สมเด็จอัคคมหาพญาจักรีเฮง สัมริน แต่ของไทยเลิกใช้แล้ว น่าเสียดาย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ไปพบทีมไทยแลนด์ และผู้ที่ไปลงทุนจากประเทศไทย รวมทั้งได้พูดคุยกับประชาชนที่ได้ไปร่วม โดยได้ทราบว่าประเทศไทยเป็นอันดับ 6 ของนักลงทุนที่ไปลงทุนที่กัมพูชา รองจากเกาหลี จีน นักลงทุนธรรมดาๆ ที่จะไปน่าเสียดายที่ธนาคารไทยไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เชื่อถือในธุรกิจไทย ผิดกับจีน เกาหลีที่นำธนาคารของประเทศเขามาด้วย ซึ่งน่าเสียใจแทนที่ธนาคารไทยไม่เอื้อเฟื้อนักธุรกิจไทย เพราะธนาคารให้วางเงินค้ำประกันโดยเงินสด 110 ล้านบาท แล้วจะให้กู้ 100 ล้านบาท อย่างนี้ใจคอมันหดหู่ ธนาคารไทยไม่ได้หน้าเลือดเฉพาะในประเทศเท่านั้น ไปมีสาขาต่างประเทศแล้วยังไปใจร้ายต่อคนไทย อย่างนี้ธุรกิจไทยในต่างประเทศคงไม่มีวันก้าวหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนระดับเอสเอ็มอี นอกจากนักธุรกิจรายใหญ่ๆ เท่านั้น ไทยไม่สนับสนุนไทยกันเอง
นอกจากนี้ จากการหารือกันดูเหมือนว่าไทยไปช่วยเหลือกัมพูชา แต่สิ่งที่เราช่วยเหลือเขาเท่ากับเราช่วยเหลือเราเอง เพราะที่นั่นหัวใจอยู่ที่การท่องเที่ยวนครวัด นครธม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้าไปปีละ 2 ล้านคน คนไทยเข้าไปเที่ยวกว่า 2-3 หมื่นคน ซึ่งขณะนี้ทางกัมพูชายอมให้เกาหลีบินตรงจากกรุงโซลไปถึงเสียมเรียบเลย แต่การบินไทยไม่มี มีเพียงบางกอกแอร์เวย์เท่านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่เรามองเห็นคือ ถนนที่จะเข้าไประยะทางชายแดนไทย-ศรีโสภณ 46 กิโลเมตร และอีก 115 กิโลเมตรไปถึงนครวัด นครธม เพียงแค่ 160 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งไทยจะสนับสนุนการพัฒนาถนนสาย 48 สาย 67 ที่จะขอกู้เงิน 1.4 พันล้าน เราก็อนุมัติ เพื่อประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเข้าทางช่องจอม และหวังว่าถ้ามีเครื่องบินชาเตอร์มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา โปรแกรม 3 วันก็เพียงพอ โดยเดินทางมาจากยุโรป 10 ชั่วโมง ลงอู่ตะเภา เที่ยวกรุงเทพฯ 1 วัน ไป นครวัด นครธม 1 วัน กลับมาพัทยาอีก 1 วัน อย่างนี้สบายแน่นอน วิ่งรถจากพัทยาไป 2 ชั่วโมงไปชายแดน ต่อไปอีก 160 กิโลเมตร เที่ยวดูนครวัด นครธม อีก 3-4 ชั่วโมง แล้ว 16.00 น. ก็ออกจากตรงนั้นมาถึงด่าน 18.00 น. แล้ว 20.00 น. กลับมากินข้าว อย่างนี้น่าสนใจ ซึ่งได้บอกนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าเราช่วยท่านเท่ากับเราช่วยตัวเองด้วย ดังนั้น ท่านจึงบอกว่าขอเพิ่มอีก 30 ล้านจึงไม่ขัดข้อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ของที่ถูกขโมยมา 18 ชิ้น เราก็ดูแลให้โดยกระทรวงการต่างประเทศกับกรมศิลปากร ช่วยกันหาคืนให้ก่อน 7 ชิ้น ของไม่ได้หอบไปคืนด้วย แต่นำรูปภาพไปให้ดูก่อน และจะส่งคืนตามไปให้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาบอกว่านำรูปมาก็ดีแล้ว ขอบคุณมากและจะทำพิธีรับให้ใหญ่โต ส่วนอีก 11 ชิ้นกำลังตรวจสอบอยู่เพื่อนำส่งคืน ไปได้ยึดไว้ ทุกอย่างพูดจากันด้วยดี นอกจากนี้เรื่องคนหลบหนีเข้าเมืองทางผู้บัญชาการทหารบกบอกว่าเราช่วยดูแลดีตามมาตรฐาน ทหาร ตำรวจ ยืนยันว่าเราปฏิบัติถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม ส่วนที่ติดคุกก็อยากส่งกลับกัมพูชาไป ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงเรื่องด่านแห่งใหม่ที่จะให้นักท่องเที่ยวผ่านโดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่มีข้อยุติเนื่องจากตรงกับจุดที่ยังปักปันกันไม่ได้ ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกเล่าให้ฟังว่าระยะทาง 700 กิโลเมตรมีหลักปักปันอยู่ 100 หลัก โดยทางไทยบอกว่าลากเส้นตรง แต่กัมพูชาบอกว่าเป็นเส้นโค้ง จึงเป็นปัญหาถกเถียง เลยยังเปิดช่องทางใหม่ไม่ได้ ก็มีการหารือว่าให้หลบไปประมาณ 3-4 กิโลเมตรจะเปิดได้ ซึ่งไทยก็ยินดี และได้ตัดสินใจไป เพราะกระทรวงการต่างประเทศกับฝ่ายทหารก็ยืนยันเป็นที่ตกลงกันได้ เปิดด่านเข้าไปได้
สำหรับกรณีเขาพระวิหารที่ทางกัมพูชาจะนำขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น นายกรัฐมนตรีกัมพูชายืนยันว่าจะนำเฉพาะตัวพระวิหารเท่านั้นไปขึ้นทะเบียน ไม่เกี่ยวกับตัวเขา และเขตแดน โดยมีเงื่อนไข 2 ข้อ ซึ่งทางทหารและกระทรวงการต่างประเทศก็บอกว่าพอใจ และพร้อมที่จะออกแถลงการณ์ แต่ยังไม่ได้มีการลงนามเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าแผนที่ทับซ้อนของไทย-กัมพูชา มีถึง 2.3 หมื่นตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรอยู่มาก ใครก็อยากเข้าไปทำมาหากิน อย่างมาเลเซียก็ต้องการต่อท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปขึ้นที่กัมพูชา เพราะของไทยไม่ให้เขาขึ้น มีแต่เอ็นจีโอคัดค้าน โดยเขามีรายละเอียดในการเจรจา ซึ่งตนได้บอกไปว่าจะส่งฝ่ายเทคนิคไปดูและขอโอกาสให้ไทยเป็นผู้ทำ โดยจะส่ง บริษัท ปตท.ของไทยไปสำรวจ ได้เจรจาไปเพราะต้องทำหน้าที่เป็นเซลล์แมน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็รับปากว่าจะพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องไม่น่าเชื่อคือ มีการลงทุนไฟฟ้ามูลค่าแสนล้านบาท ทำไฟฟ้าที่เกาะกงส่งมาขายที่ไทย ซึ่งน่าเจ็บใจตรงที่โรงไฟฟ้า 2 โรง ที่หินกรูด สร้างไม่ได้ เพราะมีเอ็นจีโอคัดค้าน และยังมีเอ็นจีโอไปปักธงห้ามขุดแร่โปแตสที่อีสานอีก ซึ่งผิดกับประเทศลาว ที่เขาเปิดให้ทำเหล็ก ทำอะไรต่ออะไรได้ เพราะลาวไม่มีเอ็นจีโอ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ว่า ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งพระองค์ทรงมาต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู และไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้าไปในพระราชวัง ซึ่งได้เห็นว่ามีความงดงามเป็นอย่างมาก และได้สนทนากับพระองค์นานกว่า 40 นาทีก่อนจะทูลลา อย่างไรก็ตาม จากที่ได้รับฟังภาษาจากพระองค์ท่านแล้วน่าสนใจ เพราะใช้ภาษาโบราณ ถ้อยคำคล้ายกันมาก ผ้าขาวม้าก็เรียกเหมือนกัน สันติภาพ ก็ใช้สันติเพียบ และยังมีการใช้ราชทินนาม เช่น สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน สมเด็จอัคคมหาธัมมโพธิสาลเจีย ซิม สมเด็จอัคคมหาพญาจักรีเฮง สัมริน แต่ของไทยเลิกใช้แล้ว น่าเสียดาย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ไปพบทีมไทยแลนด์ และผู้ที่ไปลงทุนจากประเทศไทย รวมทั้งได้พูดคุยกับประชาชนที่ได้ไปร่วม โดยได้ทราบว่าประเทศไทยเป็นอันดับ 6 ของนักลงทุนที่ไปลงทุนที่กัมพูชา รองจากเกาหลี จีน นักลงทุนธรรมดาๆ ที่จะไปน่าเสียดายที่ธนาคารไทยไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เชื่อถือในธุรกิจไทย ผิดกับจีน เกาหลีที่นำธนาคารของประเทศเขามาด้วย ซึ่งน่าเสียใจแทนที่ธนาคารไทยไม่เอื้อเฟื้อนักธุรกิจไทย เพราะธนาคารให้วางเงินค้ำประกันโดยเงินสด 110 ล้านบาท แล้วจะให้กู้ 100 ล้านบาท อย่างนี้ใจคอมันหดหู่ ธนาคารไทยไม่ได้หน้าเลือดเฉพาะในประเทศเท่านั้น ไปมีสาขาต่างประเทศแล้วยังไปใจร้ายต่อคนไทย อย่างนี้ธุรกิจไทยในต่างประเทศคงไม่มีวันก้าวหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนระดับเอสเอ็มอี นอกจากนักธุรกิจรายใหญ่ๆ เท่านั้น ไทยไม่สนับสนุนไทยกันเอง
นอกจากนี้ จากการหารือกันดูเหมือนว่าไทยไปช่วยเหลือกัมพูชา แต่สิ่งที่เราช่วยเหลือเขาเท่ากับเราช่วยเหลือเราเอง เพราะที่นั่นหัวใจอยู่ที่การท่องเที่ยวนครวัด นครธม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้าไปปีละ 2 ล้านคน คนไทยเข้าไปเที่ยวกว่า 2-3 หมื่นคน ซึ่งขณะนี้ทางกัมพูชายอมให้เกาหลีบินตรงจากกรุงโซลไปถึงเสียมเรียบเลย แต่การบินไทยไม่มี มีเพียงบางกอกแอร์เวย์เท่านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่เรามองเห็นคือ ถนนที่จะเข้าไประยะทางชายแดนไทย-ศรีโสภณ 46 กิโลเมตร และอีก 115 กิโลเมตรไปถึงนครวัด นครธม เพียงแค่ 160 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งไทยจะสนับสนุนการพัฒนาถนนสาย 48 สาย 67 ที่จะขอกู้เงิน 1.4 พันล้าน เราก็อนุมัติ เพื่อประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเข้าทางช่องจอม และหวังว่าถ้ามีเครื่องบินชาเตอร์มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา โปรแกรม 3 วันก็เพียงพอ โดยเดินทางมาจากยุโรป 10 ชั่วโมง ลงอู่ตะเภา เที่ยวกรุงเทพฯ 1 วัน ไป นครวัด นครธม 1 วัน กลับมาพัทยาอีก 1 วัน อย่างนี้สบายแน่นอน วิ่งรถจากพัทยาไป 2 ชั่วโมงไปชายแดน ต่อไปอีก 160 กิโลเมตร เที่ยวดูนครวัด นครธม อีก 3-4 ชั่วโมง แล้ว 16.00 น. ก็ออกจากตรงนั้นมาถึงด่าน 18.00 น. แล้ว 20.00 น. กลับมากินข้าว อย่างนี้น่าสนใจ ซึ่งได้บอกนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าเราช่วยท่านเท่ากับเราช่วยตัวเองด้วย ดังนั้น ท่านจึงบอกว่าขอเพิ่มอีก 30 ล้านจึงไม่ขัดข้อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ของที่ถูกขโมยมา 18 ชิ้น เราก็ดูแลให้โดยกระทรวงการต่างประเทศกับกรมศิลปากร ช่วยกันหาคืนให้ก่อน 7 ชิ้น ของไม่ได้หอบไปคืนด้วย แต่นำรูปภาพไปให้ดูก่อน และจะส่งคืนตามไปให้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาบอกว่านำรูปมาก็ดีแล้ว ขอบคุณมากและจะทำพิธีรับให้ใหญ่โต ส่วนอีก 11 ชิ้นกำลังตรวจสอบอยู่เพื่อนำส่งคืน ไปได้ยึดไว้ ทุกอย่างพูดจากันด้วยดี นอกจากนี้เรื่องคนหลบหนีเข้าเมืองทางผู้บัญชาการทหารบกบอกว่าเราช่วยดูแลดีตามมาตรฐาน ทหาร ตำรวจ ยืนยันว่าเราปฏิบัติถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม ส่วนที่ติดคุกก็อยากส่งกลับกัมพูชาไป ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
นอกจากนี้ ได้มีการหารือถึงเรื่องด่านแห่งใหม่ที่จะให้นักท่องเที่ยวผ่านโดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่มีข้อยุติเนื่องจากตรงกับจุดที่ยังปักปันกันไม่ได้ ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกเล่าให้ฟังว่าระยะทาง 700 กิโลเมตรมีหลักปักปันอยู่ 100 หลัก โดยทางไทยบอกว่าลากเส้นตรง แต่กัมพูชาบอกว่าเป็นเส้นโค้ง จึงเป็นปัญหาถกเถียง เลยยังเปิดช่องทางใหม่ไม่ได้ ก็มีการหารือว่าให้หลบไปประมาณ 3-4 กิโลเมตรจะเปิดได้ ซึ่งไทยก็ยินดี และได้ตัดสินใจไป เพราะกระทรวงการต่างประเทศกับฝ่ายทหารก็ยืนยันเป็นที่ตกลงกันได้ เปิดด่านเข้าไปได้
สำหรับกรณีเขาพระวิหารที่ทางกัมพูชาจะนำขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น นายกรัฐมนตรีกัมพูชายืนยันว่าจะนำเฉพาะตัวพระวิหารเท่านั้นไปขึ้นทะเบียน ไม่เกี่ยวกับตัวเขา และเขตแดน โดยมีเงื่อนไข 2 ข้อ ซึ่งทางทหารและกระทรวงการต่างประเทศก็บอกว่าพอใจ และพร้อมที่จะออกแถลงการณ์ แต่ยังไม่ได้มีการลงนามเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าแผนที่ทับซ้อนของไทย-กัมพูชา มีถึง 2.3 หมื่นตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรอยู่มาก ใครก็อยากเข้าไปทำมาหากิน อย่างมาเลเซียก็ต้องการต่อท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปขึ้นที่กัมพูชา เพราะของไทยไม่ให้เขาขึ้น มีแต่เอ็นจีโอคัดค้าน โดยเขามีรายละเอียดในการเจรจา ซึ่งตนได้บอกไปว่าจะส่งฝ่ายเทคนิคไปดูและขอโอกาสให้ไทยเป็นผู้ทำ โดยจะส่ง บริษัท ปตท.ของไทยไปสำรวจ ได้เจรจาไปเพราะต้องทำหน้าที่เป็นเซลล์แมน ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็รับปากว่าจะพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องไม่น่าเชื่อคือ มีการลงทุนไฟฟ้ามูลค่าแสนล้านบาท ทำไฟฟ้าที่เกาะกงส่งมาขายที่ไทย ซึ่งน่าเจ็บใจตรงที่โรงไฟฟ้า 2 โรง ที่หินกรูด สร้างไม่ได้ เพราะมีเอ็นจีโอคัดค้าน และยังมีเอ็นจีโอไปปักธงห้ามขุดแร่โปแตสที่อีสานอีก ซึ่งผิดกับประเทศลาว ที่เขาเปิดให้ทำเหล็ก ทำอะไรต่ออะไรได้ เพราะลาวไม่มีเอ็นจีโอ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--