วันนี้ (30 มกราคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับ มอบหมายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติเครือข่ายสถานประกอบการยอดเยี่ยมในพื้นที่นำร่องการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทำงานในสถานประกอบการด้วย 10 Packages โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 350 คน ภายหลังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประการที่มีความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับสุขภาพของพนักงาน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทำงานในสถานประกอบการ
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมเครือข่ายสถานประกอบการที่ได้รับรางวัลที่ให้ความร่วมมือและเล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ประชากรวัยทำงานที่อยู่ในสถานประกอบการ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรวัยทำงานที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ถึง 59 ปี ประมาณ 56 ล้านคน คิดประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศ และพบว่า ทำงานในสถานประกอบการ ประมาณ 15 ล้านคน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม สร้างผลผลิตให้แก่ประเทศชาติ จึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้ ในทุกๆ ด้าน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาที่มุ่งพัฒนาคนในทุกมิติตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยให้มีความสมบูรณ์ มีสุขภาวะที่ดี ทั้งด้านกายใจ สติปัญญา และสังคม อีกทั้ง ยังพบว่าวัยทำงานส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากไม่มีการดูแลสุขภาพของตนเองที่เหมาะสมจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ได้แก่ โรคอ้วน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มะเร็งระบบสืบพันธุ์ โรคจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ และโรคเครียด อย่างไรก็ตาม การดูแลส่งเสริมสุขภาพคนวัยทำงาน ไม่เฉพาะที่อยู่ในสถานประกอบการเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมในทุกมิติของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยแม้จะยังอยู่ในช่วงของการได้เปรียบทางประชากร คือ มีวัยแรงงาน ซึ่งเป็นวัยที่ก่อให้เกิดผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจ และมีส่วนสำคัญต่อฐานะทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ ขอให้ขยายรูปแบบการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และต่อยอดการดำเนินงานให้มีความต่อเนื่อง เกิดความยั่งยืนต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน”
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า การระบาดของโรคใดๆ เป็นสิ่งที่เกิดได้ทุกประเทศ ทุกเวลา แต่ขอให้มั่นใจระบบการสาธารณสุขของไทย เป็นระบบบูรณาทุกภาคส่วนของราชการ มีความมั่นคงและชำนาญเชี่ยวชาญในการรองรับสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งระบบการแพทย์ และความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข เวชภัณฑ์ การส่งต่อ การรับส่งข้องมูลข่าวสาร การติดตาม ผู้ป่วย เรามีมาตรการและมาตรฐานเชื่อถือได้ และสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ เมื่อพบผู้ป่วยโรคติดต่อ ยิ่งใช้มาตรการเข้มข้นในการค้นหาก็ยิ่งพบมากขึ้น สะท้อนประสิทธิภาพของการควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งไม่ได้วัดจำนวนผู้ป่วย แต่เป็นการวัดจากการพบผู้ป่วยและรักษาได้ ไม่แพร่กระจายโรคไปยังคนอื่น ๆ ได้ รัฐบาลพร้อมดูแลผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าชาติไหนก็ตามและจะเชื่อมั่นว่าผู้ป่วยเหล่านั้นสามารถรักษาได้ ซึ่งจะยิ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขที่จะได้รับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต ด้วย
วันนี้รัฐบาลได้ยกระดับในการต่อสู้กับโรคไวรัสอู่ฮั่นขึ้นมาเป็นระดับชาติ นายกรัฐมนตรีได้รับทราบสถานการณ์ทุกอย่าง โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ โดยได้มอบหมายให้ตนเองเป็นประธานในชุดนี้ พร้อมกันนี้ ขอให้ผู้ประกอบการทุกคนย้ำบุคลากรของตนเองในเรื่อง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโรค การออกกำลังกายจะทำให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนต่อสถานการณ์นี้ และได้สั่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดโดยไม่ต้องมีการปิดบังใด ๆ เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th