วันนี้ (13 เม.ย. 2563) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
โฆษก ศบค. ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีคณะกรรมการเฉพาะกิจ ด้านการบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกันควบคุมหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ โดยชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีแจ้งที่ประชุมฯ ได้เพิ่มผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดการบูรณาการงานให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย คาดว่าจะส่งผลต่อการทำงานด้านการจัดหาอุปกรณ์ และเครื่องมือที่จำเป็นทางการแพทย์ได้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานในภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้รับอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ขอให้คลายความวิตกกังวลได้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงจำนวนตัวเลขของบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 80 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อจากโรงพยาบาลจำนวน 50 ราย การติดเชื้อจากสถานที่ชุมชนจำนวน 18 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนจำนวน 12 ราย โดยการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนั้น อาจจะเกิดขึ้นจากการใกล้ชิดสัมผัสผู้ป่วยในหรือผู้ป่วยนอกที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาล ส่วนการติดเชื้อที่เกิดจากสถานที่ชุมชน เกิดจากการรวมตัว พบปะกันของคนบางกลุ่ม ทั้งการใกล้ชิดจากคนในครอบครัวและคนที่อยู่นอกบ้าน ซึ่งต้องแยกแยะระหว่างสองกลุ่มเนื่องจากมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า การติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง จำเป็นต้องหาต้นเหตุของการติดเชื้อ หากเกิดจากการสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วยจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่าสาเหตุของการติดเชื้อนั้นเชื่อมโยงกับเครื่องมือ อุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์ที่ยังพัฒนาไม่เพียงพอ หรือจากพฤติกรรมของคนที่ทำหัตถการเอง เพื่อหาหนทางที่ถูกต้องในการป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ เพราะบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมโรคโควิด-19
โฆษก ศบค. ได้ชี้แจงถึงการขอผ่อนคลายมาตรการการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home เนื่องจากการที่จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคเอกชนบางแห่งได้ยกเลิกการ Work From Home แล้ว อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นว่า ขอความร่วมมือไม่ให้ผ่อนคลายมาตรการมากเกินไปแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยจะสามารถควบคุมได้ แต่ประเทศอื่น ๆ ยังมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ประเทศไทยสามารถควบคุมจำนวนผู้ป่วยให้ลดลงได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในประเทศทั้งขณะนี้และระยะยาว จากการคาดการณ์ ประเมินการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 3 – 4 เดือน อาจมีการผ่อนคลายมาตรการตามภาคหรือตามจังหวัดโดยเจาะจงบางพื้นที่ไม่มีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ขอให้รอติดตามจากคณะกรรมการวิชาการ ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ ที่จะเป็นผู้วางมาตรการภายหลัง บางอาชีพ บางกิจกรรม ในพื้นที่อาจมีการผ่อนคลายให้สามารถกลับมาปฏิบัติได้ แต่ช่วงนี้เป็นเทศกาลสงกรานต์จึงขอให้ประชาชนทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิม เพื่อที่จะไม่ให้จำนวนของผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการเปิดบริการร้านตัดผมในบางพื้นที่นั้น โฆษก ศบค. ยืนยันให้ทุกจังหวัดยึดตามข้อคำสั่งของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน หากมีการระบุไว้ชัดเจนว่าไม่สามารถทำได้ก็ขอให้ยึดตามนั้น ซึ่งจังหวัดอาจเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการขึ้นเองนั้น การบริการตัดผมขอให้มีการระวังระมัดระวัง เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกัน เนื่องจากต้องใช้กรรไกรหรือใบมีดที่สัมผัสกับร่างกาย เช่น การโกนหนวด ซึ่งอาจจะมีเลือด สารคัดหลั่งปนเปื้อน อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหากมีการผ่อนปรนให้เปิดบริการได้
ตามประกาศของแต่ละจังหวัด ยังห้ามตั้งวงดื่มสุรา กรณีพบเห็นประชาชนตั้งวงดื่มสุราในช่วงกลางวันที่ไม่ใช่เวลาเคอร์ฟิวไม่สามารถทำได้ เพราะไม่อยากให้ประชาชนมารวมกลุ่มกัน อันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงอยากให้ประชาชนอยู่เว้นระยะห่างซึ่งกันและกัน และขอให้ลด ละ เลิก การดื่มสุรา
โฆษก ศบค. ยังได้กล่าวช่วงท้ายถึงปัญหาผู้ป่วยสุราเรื้อรัง ในช่วงเวลานี้ต้องหยุดดื่มทันที อาจจะเกิดอาการขาดเหล้า หรือลงแดง ขอให้รีบไปพบแพทย์ซึ่งมีแนวทางรักษา อาทิ การจ่ายยากล่อมประสาท ยาคลายความเครียด เพื่อทดแทนอาการไม่ให้มีความรุนแรงได้
ที่มา: http://www.thaigov.go.th