กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดำเนินการตามนโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการเฝ้าระวังเชิงรุก โดยตรวจผู้ที่เข้าข่ายต้องสงสัยอย่างเต็มที่และให้ครอบคลุมทั่วประเทศ อย่างน้อย 100,000 ตัวอย่างภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจับสัญญาณการระบาดของโรคได้
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ดำเนินการทางห้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น โดยแบ่งกลุ่มในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือกลุ่มผู้ที่เข้าข่ายสอบสวนโรค กลุ่มที่ 2 คือผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ และกลุ่มที่ 3 คือการค้นหาเชิงรุก ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายในการเฝ้าระวังเชิงรุกโดยให้มีการตรวจผู้ต้องสงสัยอย่างเต็มที่และครอบคลุมทั่วประเทศ เบื้องต้นต้องตรวจอย่างน้อย 100,000 ตัวอย่าง ภายในเดือนมิถุนายน 2563 นี้ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนในหลายจังหวัด เช่น นครราชสีมา สุราษฏร์ธานี ปัตตานี เป็นต้น คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานเพราะทำพร้อมกัน และมีห้องปฏิบัติการครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งฐานข้อมูลที่ได้จะนำไปสู่การจับสัญญาณการระบาดของโรคได้
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการเฝ้าระวังเชิงรุกจะประเมินอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือผู้ที่ทำงานต้องสัมผัสกับบุคคลจำนวนมากหรือทำงานในที่สาธารณะมีโอกาสที่จะพบผู้ป่วยเยอะ เช่น บุคลากรสาธารณสุข คนที่ขับรถสาธารณะ เป็นต้น อย่างที่ 2 คือสถานที่ที่มีการรวมคนกันอยู่อย่างหนาแน่นและทำเรื่องเว้นระยะห่างหรือ Social Distancing ได้ยาก เช่น แรงงานที่อยู่กันอย่างแออัดในบางกลุ่ม อย่างเช่นที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้นโยบายและดำเนินการไปแล้วที่จังหวัดสมุทรสาคร หรือบางกลุ่มเช่นกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งได้ร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งกลไกสำคัญในการเฝ้าระวังเชิงรุกคือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ทางส่วนกลางจะให้นโยบายว่าจะตรวจกลุ่มไหน สถานที่ไหน และทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จะพิจารณาจากข้อมูลของจังหวัดว่าพื้นที่ไหนและกลุ่มไหนเป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นข้อดีทำให้พื้นที่สามารถปรับนโยบาย นำไปสู่ภาคปฏิบัติของตนเองและกำหนดออกมาว่าจะตรวจกี่คน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th