กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยวิกฤตโควิด-19 ไม่กระทบการส่งออกทุเรียนไทย ยอด 4 เดือนพุ่ง 30% เฉพาะตลาดจีนขยายตัวสูงถึง 78% มีสัดส่วน 72% ของการส่งออกทั้งหมด เผยเอฟทีเอเป็นปัจจัยหลักช่วยหนุนการเติบโต หลังจีนไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว แนะติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเพิ่มการแปรรูป เพิ่มโอกาสเจาะตลาดอาหารแห้งที่เก็บได้นาน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามสถิติการส่งออกทุเรียนสดของไทยในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) พบว่า มีการขยายตัวอย่างน่าพอใจ มีมูลค่า 788 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ยังมีการบริโภคสูง แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยการส่งออกในช่วงดังกล่าว มีมูลค่า 567 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 78% หรือมีสัดส่วนการส่งออกถึง 72% ของการส่งออกทั้งหมด รองลงมา เป็นการส่งออกไปฮ่องกง อาเซียน ไต้หวัน และสหรัฐฯ โดยไทยยังเป็นแชมป์ผู้ส่งออกทุเรียนอันดับที่ 1 ของโลก นำหน้าฮ่องกงและมาเลเซียหลายเท่าตัว
ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนผลักดันให้การส่งออกทุเรียนของไทยเติบโต มาจากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่มีส่วนช่วยขจัดอุปสรรคภาษีนำเข้าในประเทศคู่ค้า ทำให้ทุเรียนไทยมีโอกาสส่งออกและแข่งขันได้มากขึ้น โดยปัจจุบันทุเรียนไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าใน 16 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ บรูไน อินเดีย ชิลี และเปรู เหลือเพียง 2 ประเทศ คือ มาเลเซียและเกาหลีใต้ ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าทุเรียนจากไทยอยู่
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการส่งออกทุเรียนของไทยไปยังตลาดจีน โดยดูตัวเลขปี 2562 ที่ผ่านมา ที่ส่งออกได้มูลค่า 850 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2545 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จีนจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าทุเรียนจากไทย ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ที่มีมูลค่าส่งออกเพียง 3 หมื่นเหรียญสหรัฐ การส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 2,832,366% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเอฟทีเอ ได้มีส่วนช่วยในการส่งออกได้เพิ่มขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม แม้ในภาพรวมการส่งออกทุเรียนสดไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 แต่ผู้ประกอบการควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรองรับผลกระทบในด้านอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การขนส่งสินค้า การขาดแคลนแรงงาน และความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และต้องพิจารณาเพิ่มผลิตภัณฑ์เป็นทุเรียนแปรรูป เช่น ทุเรียนทอด และทุเรียนอบแห้ง เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์กระแสความนิยมอาหารแห้งที่เก็บรักษาได้นาน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th