ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว

ข่าวทั่วไป Monday July 13, 2020 15:22 —สำนักโฆษก

ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว

วันนี้ (13 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,220 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 283 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,090 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม ยังคงเดิมที่ 58 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 ถึงปัจจุบันรวม 49 วันแล้วที่ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยเมื่อ 29 มิ.ย.เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อ 11 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากอียิปต์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อ 12 ก.ค. ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI มีไข้ จึงได้ส่งตรวจหาเชื้อวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ และจากบาร์เรน 1 ราย เป็นชายไทย สัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางถึงไทยเมื่อ 8 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดระยอง ตรวจหาเชื้อวันที่ 10 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ 12 ก.ค. แต่ไม่มีอาการ ส่วนอีก 30 รายเป็นลูกเรือที่เดินทางมาพร้อมกัน ยังไม่พบผลการติดเชื้อ

โฆษก ศบค. กล่าวถึง Timeline ของผู้ป่วยเพศชาย อายุ 43 ปี อาชีพทหาร (ลูกเรือเครื่องบินทหาร) จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ในวันที่ 6 ก.ค. เดินทางออกจากสนามบินไคโร ประเทศอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7 ก.ค. เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปปากีสถาน 8 ก.ค. เดินทางถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง 9 ก.ค. ออกจากโรงแรม จังหวัดระยองไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อบินไปทำภารกิจทางทหารที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไป-กลับวันเดียวกัน กลับเข้าที่พักในโรงแรมจังหวัดระยอง 10 ก.ค. ได้มีทีมเจ้าหน้าที่ CDCU เข้าคัดกรองอาการของคณะเดินทางและลูกเรือ เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ จำนวน 31 ราย และในวันที่ 11 ก.ค. คณะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอียิปต์ ซึ่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ำอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ซึ่งที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กมีการหารือว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่เป็นลูกเรือที่มาจากต่างชาติเข้ามายังประเทศไทย ในข้อกำหนดที่เป็นลักษณะเฉพาะขึ้นมา และขณะนี้มีการเปิดสายการบินหลายสาย เดิมใช้สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในครั้งนี้ได้มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา จึงทำให้มาตรการของการคุมเข้มในข้อดังกล่าวต้องมีการทบทวนและปฏิบัติกันใหม่ ซึ่งโรงแรมที่จังหวัดระยองแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ดังนั้น มาตรการการเข้าไปสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด โดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้รับข้อสั่งการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ออกมาตรการคุมเข้มเรื่องดังกล่าว เพื่อการตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสที่ทางกลุ่มลูกเรือได้เดินทางไป อีกทั้งสำนักงานเขตสุขภาพจังหวัดระยองและทีมส่วนกลางจะเข้าไปร่วมสอบสวนโรคด้วย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยอง

นอกจากนี้ ยังมี Timeline ผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 9 ปี จากภูมิภาคแอฟริกา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว (คณะทูต) โดยในวันที่ 7 ก.ค. มารดานำผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คน ไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลตรวจทุกคนไม่พบเชื้อ เดินทางถึงไทยวันที่ 10 ก.ค. เวลา 05.40 น. คัดกรองไม่มีอาการ เก็บตัวอย่างส่งตรวจผลพบเชื้อ แต่บิดานำส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีการตรวจซ้ำ ผลพบเชื้อ สมาชิกที่เหลือกักกันในที่พำนักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และในวันที่ 11 ก.ค. ผลตรวจพบปอดอักเสบ จึงส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งรายดังกล่าวอยู่ในประเภทที่ 3 คือ คณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานที่ประเทศไทย ซึ่งจะอยู่ในมาตรการข้อ 4 ให้เข้ารับการกักกันในที่พำนักของบุคคลดังกล่าว ภายใต้การดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งรัฐต้องกำหนดมาตรการโดยละเอียดและครอบคลุมเพราะเป็นความเสี่ยง

2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก

สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,035,942 ราย จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 193,906 ราย รวมจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 571,571 ราย สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือบราซิลและอินเดียตามลำดับ ซึ่งปัจจุบัน ไทยอยู่อันดับที่ 100 ของโลก โดยประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกงประกาศให้โรงเรียนทุกแห่งในฮ่องกงปิดการเรียนการสอนตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 ก.ค. นี้ เป็นต้นไป หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ทางการฮ่องกงวิตกกังวลว่าจะเกิดการแพร่ระบาดอีกเป็นวงกว้าง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา สวมหน้ากากอนามัยระหว่างเยือนโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด ชานกรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ และเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ สวมหน้ากากอนามัยออกสื่อ นับตั้งแต่ที่โรคโควิด-19 เริ่มระบาดในสหรัฐ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่ารัฐบาลอาจจำเป็นต้องออกกฎที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัย โดยเขาต้องการให้ชาวอังกฤษสวมหน้ากากอนามัยมากขึ้นในร้านค้าต่าง ๆ

3. การดำเนินการตามมาตรการ

รายงานความพร้อมในการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พบว่าสถานศึกษาจำนวน 35,155 แห่ง สามารถเปิดภาคเรียนได้ทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100 แต่เป็นการเปิดเรียนในหลายรูปแบบ เช่น โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีสถานศึกษาทั้งหมด 29,235 แห่ง เป็นการเปิดเรียนในรูปแบบ on-site 24,703 โรงเรียน และในรูปแบบผสมผสาน รูปแบบที่ 1 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันเรียน 1,671 แห่ง รูปแบบที่ 2 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันคู่วันคี่ 565 แห่ง รูปแบบที่ 3 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันมาเรียน 5 วันหยุด 9 วัน 258 แห่ง รูปแบบที่ 4 สลับช่วงเวลามาเรียนทุกวัน 1,400 แห่ง รูปแบบที่ 5 สลับกลุ่มมาเรียนแบบแบ่งนักเรียนในห้องเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม 2,523 แห่ง และรูปแบบอื่น ๆ 1,997 แห่ง

แผนการนำคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้มีคนไทยเดินทางกลับมาจากสิงคโปร์ 109 คน วันพรุ่งนี้จะมีผู้เดินทางกลับจากจอร์แดน 118 คน และเกาหลีใต้ 200 คน โดย แผนเที่ยวบินนำคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 15 ก.ค. มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และบังกลาเทศ วันที่ 16 ก.ค. 4 เที่ยวบิน ได้แก่ อิหร่าน เยอรมนี โคลอมเบีย/เอกวาดอร์/ปานามา/เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน วันที่ 17 ก.ค. 3 เที่ยวบิน ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และอียิปต์ วันที่ 18 ก.ค. 4 เที่ยวบิน ได้แก่ ออสเตรีย เอธิโอเปีย เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา วันที่ 19 ก.ค. 3 เที่ยวบิน ได้แก่ นิวซีแลนด์ บาห์เรน และออสเตรเลีย และวันที่ 20 ก.ค. 5 เที่ยวบินได้แก่ เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร รัสเซีย อินโดนีเซีย และฮ่องกง สำหรับรายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกเดินทางจากมาเลเซีย 126 คน สปป.ลาว 35 คน และกัมพูชา 1 คน รวม 162 คน

ตั้งแต่ 3 เมษายน – 11 ก.ค. ยอดคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) มีจำนวน 56,216 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 508 ราย กลับบ้านแล้ว 47,288 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 408 ราย พบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 280 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 1 ราย รักษาหายและกลับบ้านได้แล้ว 209 ราย

รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการ มีผู้ใช้งาน 35,907,027 คน ร้านค้าลงทะเบียน 268,607 ร้าน โดยสัดส่วนการเช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะอยู่ที่ร้อยละ 96.7 ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะร้อยละ 3.3 และจำนวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 695,662 ครั้ง ด้านรายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลายด้านการดำเนินชีวิต วันที่ 12 ก.ค. 63 ได้ทำการตรวจทั้งหมด 4,705 แห่ง พบกิจการ/กิจกรรมที่ปฏิบัติตามมาตรการไม่ครบ 69 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.47 และไม่มี “ไทยชนะ” 68 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.45 โดย มีชุดตรวจร่วม 90 ชุดตรวจ ชุดตรวจทั่วไป 1,846 ชุดตรวจ และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุดตรวจ

----------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ