วันนี้ (21 สิงหาคม 2563) เวลา 8.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดเข้าร่วมประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล
การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เป็นการประชุมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคของสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน ซึ่งพัฒนามาจากข้อริเริ่มของไทยเมื่อปี 2555 โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี และครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” โดยมีนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานร่วม และผู้เข้าร่วมการประชุมได้แก่ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งที่ประชุมจะมุ่งเน้นการทบทวนความคืบหน้าในการดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้ความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ความมั่นคง เพื่อความยั่งยืนร่วมกัน และรับฟังแนวทางการดำเนินนโยบายจากผู้นำของประเทศสมาชิกที่จะแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันผ่านการรับรองเอกสารผลลัพธ์ 2 ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาเวียงจันทน์ของการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 และถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง กับระเบียงทางการค้าเชื่อมทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศสายใหม่
ทั้งนี้ ไทยจะใช้โอกาสนี้ย้ำเจตนารมณ์ในการสนับสนุนหลักพหุภาคีนิยม ชื่นชมความก้าวหน้าของความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกที่มีอย่างต่อเนื่องแม้ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน โดยมีประเด็นที่มีเป้าหมายสำคัญ ได้แก่
1. ด้านการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขงด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการร่วมกันอย่างเป็นระบบ เช่น การสนับสนุนให้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านทรัพยากรน้ำอย่างต่อเนื่อง
2. ด้านการยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุข ที่ไทยให้ความสำคัญกับความพร้อมของบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ความสามารถในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและยา ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกับนานาชาติ
3. ด้านการยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในทุกมิติ ทั้งกายภาพ กฎระเบียบ และประชาชน ซึ่งไทยยินดีที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลและความมั่นคงทางสาธารณสุขควบคู่กัน
4.ด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 (Post Covid-19 Economic Recovery) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (MSMEs) พร้อมช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศสมาชิก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th