วันนี้ (25 ส.ค. 63) เวลา 07.30 น. ณ โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่จังหวัดระยอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมกิจกรรมโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้ 1) โครงการ Circular Living โดยกลุ่มบริษัท ปตท. ได้ผสานความรับผิดชอบต่อสังคมและความใส่ใจสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยได้ผลักดัน โครงการ Upcycling มีเป้าหมายเพื่อบริหารและจัดการขยะพลาสติกอย่างครบวงจรและยั่งยืน ตามกระบวนการรีไซเคิลของใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ เสื้อโปโล เสื้อยืด กระเป๋าเป้ และถุงผ้า โดยได้นำนายจิรศักดิ์ ปิตุรักษ์วงศ์ อายุ 57 ที่นำขยะมาสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานศิลปะ และนำออกขายมีรายได้จากศิลป์อาร์ตเขียนรูป 2) ระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือ iSEE 2.0 เพื่อรายงานสถานการณ์นักเรียนยากจนพิเศษที่เพิ่มขึ้นหลังได้รับผลการกระทบจากวิกฤตโควิด -19 3) ผลิตภัณฑ์ กศน. พรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ ONE (จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี) 4) ผลงานนวัตกรรม : แอปพลิเคชัน depa PM 2.5 ที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่จะเป็นเครื่องมือให้กับประชาชนได้ใช้รับมือกับปัญหาฝุ่นควันและมลพิษ โดยนำร่องในพื้นที่ 3 จังหวัดในอีอีซี (ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหามลพิษ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานขนาดใหญ่ และระบบการขนส่งทั้งทางรถบรรทุกและเรือจำนวนมาก
ภายหลังจากชมนิทรรศการ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมสินค้าโอทอประยอง ที่นำวัสดุเหลือใช้มาแปรรูป สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่ม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเสนอแนะให้นำทักษะต่าง ๆ เหล่านี้บรรจุอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนและนักเรียนเกิดการเรียนรู้ สร้างงาน สร้างอาชีพ สำหรับในพื้นที่ EEC ต้องเตรียมพร้อมทั้งพลังงานและโครงข่ายโลจิสติกส์ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้เกิดการสร้างงานอย่างแท้จริง
พร้อมกับนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้การทำงานกระทรวงเดียวทำไม่ได้ งานหนึ่งชิ้นหรือสินค้าหนึ่งอย่าง ต้องมาจากการร่วมมือการทำงานของหลายกระทรวงที่ต้องบูรณาการร่วมกัน วันนี้รัฐบาลทำงานในทุกมิติ เน้นการตลาดนำการผลิต คำนึงถึงการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า การใช้เทคโนโลยี ควบคู่วิถีธรรมชาติที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ส่งเสริมเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชัน เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 การจัดการขยะ เกษตรอัจฉริยะ เกษตร BCG สร้างความเชื่อมั่น ลดความเหลื่อมล้ำ ดูแลกลุ่มเปราะบาง
“ทั้งนี้ การทำงานทุกอย่างย่อมมีปัญหา แต่รัฐบาลมีมาตรการป้องกันที่ดีพอ เช่น การแก้ปัญหาโควิด-19 ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทุกคนต้องมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน รัฐบาลมีมาตรการดูแลที่ดีพอ สิ่งสำคัญต้องไม่ตื่นตระหนก และรับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำแนวทางนี้ไปขับเคลื่อนการทำงาน ขับเคลื่อนสังคมไทยตามแนวทางรวมไทยสร้างชาติ และสิ่งสำคัญคือต้องคิดและทำให้กับเด็ก และเยาวชน เพราะเป็นอนาคตของชาติ พร้อมทั้งทุกคนต้องเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ก่อนเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง)
****************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th