วันนี้ (11 มีนาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยอน ออสเตริม เกรินดาห์ล (H.E. Mr. Jon ?str?m Gr?ndahl) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย และยินดีกับความสัมพันธ์ของไทย-สวีเดนที่แน่นแฟ้นยาวนานถึง 153 ปี โดยมีความสัมพันธ์ในระดับราชวงศ์เป็นพื้นฐาน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าเอกอัครราชทูตจะช่วยสานต่อความร่วมมือกัน กระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายต่อไป โดยเฉพาะความร่วมมือภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีตระหนักว่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ ในการปรับตัวให้รองรับวิถีชีวิตแบบ New Normal ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือแลกเปลี่ยนในด้านที่มีศักยภาพ
เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทยยินดีที่ได้เข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ ถือเป็นเกียรติและเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างยิ่ง เชื่อมั่นว่าไทยและสวีเดนจะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้นในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ทั้งนี้ สวีเดนให้ความสำคัญกับการลงทุน ไทยเป็นพื้นที่เป้าหมายที่สำคัญของภาคเอกชนสวีเดน โดยปัจจุบันมีนักลงทุนชาวสวีเดนลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก และมีแผนจะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลไทยที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นด้วยกับรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งสวีเดนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเวชภัณฑ์ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับไทยในการจัดหาวัคซีนแก่ประชาชนโดยไม่หวังผลกำไร
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูทางเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยและสวีเดนยังมีช่องทางที่จะร่วมมือกันได้อีกมากในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ เช่น การค้า การลงทุนในสินค้าและบริการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจหมุนเวียน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พร้อมชื่นชมสวีเดนที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่เน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยสามารถนำมาแลกเปลี่ยนและประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาโครงการต่าง ๆ ได้ในอนาคต รวมทั้งร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดผ่านกรอบความร่วมมือพหุภาคี
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้สอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลเปิดโอกาสและให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทุกคนในการแสดงออก แต่ต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายไทย ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ และยืนยันว่ารัฐบาลไทยมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มด้วยความเป็นธรรม
ที่มา: http://www.thaigov.go.th