วันนี้ (18 พฤษภาคม 2564) เวลา 14.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังอยู่ในระดับทรงตัว แม้ว่าจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อได้ในบางพื้นที่ แต่ยังมีการแพร่ระบาดคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงได้หารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงกระสาธารณสุขและ ศบค. เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่เรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยวิธีการตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยมารักษา หากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะนำส่งโรงพยาบาลเฉพาะทางตามระบบเพื่อทำการรักษาต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะทำการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อทุกคนอย่างดีที่สุด บนหลักความเท่าเทียม ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งเป็นระบบปิด โอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนน้อย พร้อมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้การดูแลอย่างเข้มงวด งดการเข้าเยี่ยมญาติจากบุคคลภายนอกจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะต้องเดินหน้าตามแนวทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วยติดเชื้อเพื่อนำส่งตัวไปรักษาพยาบาล และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง ควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด อาทิ การสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกเคหะสถาน การเว้นระยะห่าง การตรวจวัดอุณหภูมิในทุกสถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดในขณะนี้ ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่มีการรวมตัวกันอย่างแออัด อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ศบค. เร่งตรวจพื้นที่ที่อาจเป็นโอกาสเสี่ยงในการแพร่ระบาด อาทิ แคมป์แรงงานก่อสร้าง โรงงาน และสถานที่อื่น ๆ ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด ซึ่งสถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดรวมถึงในเรือนจำจะต้องใช้แนวทาง Bubble and Seal ปิดการเดินทางเข้า - ออก ของบุคคลในสถานที่นั้น ๆ เพื่อไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ภายนอก ทั้งนี้ สถานที่ที่เกิดการแพร่ระบาดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปิด จึงเชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยเร็วและจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน เนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่รักษาหายในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก รวมแล้วกว่า 70,000 คน สำหรับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ มีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วกว่า 40,000 คน คิดเป็นร้อยละ 50 ของผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์และมาตรการที่คัดแยกผู้ป่วยตามอาการและนำไปสู่การรักษาอย่างดี รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอขอบคุณความช่วยเหลือจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปด้วย
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th