วันนี้ (15 มิถุนายน 2564) เวลา 12.40 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยถึงการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ 7 มิถุนายน ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ฉีดแล้วกว่า 2 ล้านโดส และกระจายวัคซีนไปทั่วประเทศมากกว่า 7 ล้านโดส โดยศบค. เป็นองค์กรสูงสุดในการจัดการสถานการณ์โควิดและการฉีดวัคซีน กำหนดนโยบายและหลักการในการจัดสรรวัคซีนให้แต่ละจังหวัด กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบกำหนดจำนวนวัคซีนจัดส่งในแต่ละรอบ และ จังหวัดจะเป็นผู้กำหนดว่าแต่ละโรงพยาบาลและจุดฉีดจะได้รับวัคซีนเป็นจำนวนเท่าใดและจัดการจัดส่งให้อย่างรวดเร็วที่สุด
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงหลักการ หรือ ?สูตร? ในการจัดสรรวัคซีน 4 ข้อ ประกอบไปด้วย (1) เมื่อมีวัคซีนมา กระทรวงสาธารณสุขต้องส่งให้ทุกจังหวัดทันที จะไม่มีจังหวัดใดที่ไม่ได้เพิ่มเติมในแต่ละรอบ ซึ่งในอนาคตอาจยกเว้นจังหวัดที่ได้ครบตามเป้าหมายแล้ว หรือบางจังหวัดที่ ศบค. พิจารณาว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน (2) จำนวนวัคซีนที่นำส่งให้แต่ละจังหวัดจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่นำมาคำนวณ คือ จำนวนประชากร จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้จองในระบบ ทั้งหมอพร้อมและระบบของจังหวัด และกลุ่มเฉพาะ เช่นอาชีพเสี่ยง พื้นที่เศรษฐกิจ (3) หากจำนวนวัคซีนที่ได้ คำนวณแล้วไม่เพียงพอต่อการฉีด ในระยะเวลา ในรอบนั้น ให้แต่ละจังหวัดและจุดฉีดพิจารณาจัดสรรให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มโรคเสี่ยงที่ลงทะเบียนไว้ก่อน และ (4) หากมีความจำเป็น ต้องชะลอการฉีดวัคซีนตามกำหนดเดิม ระหว่างรอการนำส่งวัคซีน ต้องยึดลำดับเดิมไว้ โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ และจัดการฉีดวัคซีนตามลำดับเดิมทันทีที่ได้รับการจัดสรรวัคซีน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวยอมรับถึงปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกต่างต้องเจอกับปัญหานี้ คือ การนำส่งวัคซีนที่ต้องใช้เวลา ทั้งการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพ ไม่สามารถกำหนดได้แน่นอน และจะการได้รับวัคซีนเป็นรอบ ไม่ใช่ได้ครั้งเดียวจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งผลิตวัคซีนของแอสตราเซเนกา ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยจะทำให้การขนส่งทำได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเป็นฐานการผลิตวัคซีนที่สำคัญในอาเซียนเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีการปรับแผนการฉีดวัคซีนตามสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้น เพื่อควบคุมการระบาดและเพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทุกหน่วยงานพยายามทำงานอย่างเต็มที่
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ว่า ได้ติดตามการจัดสรรวัคซีนโควิดด้วยตนเองอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ทุกอย่างต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส ไม่มีทุจริตเด็ดขาด พร้อมขอบคุณถึงบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ทุ่มเทในการให้บริการพี่น้องประชาชน และขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่ารัฐบาลได้จัดหาวัคซีนอย่างเพียงพอต่อคนทุกคน ขณะนี้สามารถจัดหาวัคซีนได้เป็นไปตามเป้าหมาย 100 ล้านโดส สำหรับประชาชน 50 ล้านคน หรือร้อยละ 70 ของประชากรภายในสิ้นปีนี้และจะดำเนินการจัดหาเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้าด้วย
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th