วันนี้ (13 สิงหาคม 2564) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมติดตามการบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) และการนำส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการประชุมดังนี้
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและ ศบค. ให้ความสำคัญในการพัฒนา ปรับปรุงมาตรการควบคุมอย่างเป็นลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาและความรุนแรงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ขณะนี้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และจำนวนผู้รักษาหายแล้ว ใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นความสามารถของแพทย์และระบบสาธารณสุขไทย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงระบบ HI/CI มีหลักการสำคัญ คือ เป็นการรองรับผู้ป่วยตามคำวินิจฉัยแพทย์ สามารถลดจำนวนผู้ป่วยรอเตียงในทุกระดับสีอาการ ลดอัตราการเสียชีวิตที่บ้าน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการดูแลระบบ HI/CI ทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพมหานครและ 76 จังหวัดให้มีมาตรฐานและการดำเนินงานที่ชัดเจนในทิศทางเดียวกัน โอกาสนี้ ปลัดกรุงเทพมหานครได้รายงานว่า ได้มีการจัดตั้งศูนย์พักคอยตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีจำนวน 60 แห่งทั่วกรุงเทพมหานครแล้ว และจะจัดทำศูนย์พักคอยเฉพาะกลุ่ม เช่น ศูนย์พักคอยวัดมังกร สำหรับการดูแลพระสงฆ์ ศูนย์พักคอยราชานุกูล สำหรับกลุ่มผู้พิการ รวมทั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อสำหรับเด็กที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ ศูนย์สร้างสุขทุกวัยเกียกกายด้วย นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมด้านเวชภัณท์ ยาฟาวิพิราเวียร์และยาสมุนไพร เพื่อประโยชน์ในการรักษาในแต่ละระดับอาการในระบบ HI/CI ให้เพียงพอด้วย
สำหรับการส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนานั้น นายกรัฐมนตรียังขอให้มีการประสานในระดับจังหวัดตั้งแต่ต้นทาง ปลายทาง การเคลื่อนย้ายต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค ป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปในจังหวัด ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางบก โดยรถและรถไฟ ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการกระทรวงกลาโหม กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับ เข้ามาช่วยเหลือการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ในการขนส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ด้วยเครื่องบินของกองทัพในเส้นทางที่ฝึกบินอยู่แล้ว ต้องขอย้ำการส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา คือ การส่งผู้กลับเข้าระบบการดูแลการรักษาผู้ป่วยในพื้นที่อยู่แล้ว ภายใต้มาตรการสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังขอบคุณภาคประชาสังคม จิตอาสา ที่มีการดำเนินงานในรูปแบบของเพจออนไลน์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการประสานงานซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบ หากแต่ละเพจรับการขอความช่วยเหลือแล้ว ต้องแจ้งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงกระบวนรักษาผู้ป่วยที่รัฐบาลดูแลต่อไป ซึ่งปัจจุบันก็มีความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจเข้ามาช่วยจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยแล้ว
ในช่วงท้ายการประชุม นายกรัฐมนตรีกล่าวพอใจภาพรวมการทำงานของทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในการดูแลผู้ป่วยระบบ HI/CI ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เดินหน้าแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ทั้งการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่อยากเห็นคนไทยมีงานทำ การจัดหาเวชภัณท์ต่าง ๆ ก็ขอให้หน่วยงานที่กำกับดูแล เน้นความถูกต้อง โปร่งใส รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการจัดหาและนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ให้เป็นไปตามแผนการจัดซื้อ ยืนยันว่าไทยสามารถจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีหลากหลาย นายกรัฐมนตรีย้ำว่า สิ่งสำคัญหลังจากนี้ คือ สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ขอให้ลงลึกถึงระดับจังหวัด อำเภอ เร่งแก้ปัญหาข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน พร้อมขอบคุณภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม ที่ร่วมมือกัน เพราะทุกคนมีความสำคัญในการบริหารจัดการโควิด-19 ด้วยกัน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th