วันนี้ (14 ธันวาคม 2564) เวลา 15.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย (H.E. Mr. Emilio de Miguel Calabia) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสเปนฯ และชื่นชมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสเปนที่แน่นแฟ้นและยาวนานกว่า 151 ปี โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตสเปนฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง พร้อมทั้งหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมีโอกาสร่วมมือกันส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์สำหรับประชาชนของทั้งสองประเทศมากขึ้น ตลอดจนเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสองฝ่ายจะได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอีกครั้ง โดยนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีสเปนในโอกาสเยือนประเทศไทยในอนาคต
ด้านเอกอัครราชทูตสเปนฯ ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูนสเปนประจำประเทศไทย โดยได้รับประสบการณ์ที่ดีตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และเห็นพัฒนาการในความร่วมมือระหว่างกันมาตลอดในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการค้าและการลงทุน ความมั่นคง และการศึกษา อย่างไรก็ดี เอกอัครราชทูตสเปนฯ พร้อมผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลสเปนซึ่งเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรปที่ได้จำหน่ายวัคซีนให้แก่ไทย สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ทั้งนี้ ไทยได้เริ่มเดินหน้าเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมขอให้รัฐบาลสเปนพิจารณาให้ประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ยินดีช่วยผลักดัน เพื่อที่ทั้งสองประเทศจะได้มีการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันมากขึ้น ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตชื่นชมนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลในการดำเนินนโยบายป้องกันและควบคุมโควิด ? 19 ในประเทศ จนมีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านเศรษฐกิจ เห็นพ้องเพิ่มพูนการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนนักลงทุนจากสเปนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ ดิจิทัล สุขภาพและการแพทย์ และโลจิสติกส์อัจฉริยะ ซึ่งเอกอัครราชทูตสเปนฯ พร้อมผลักดันและขอให้ไทยพิจารณาอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนสเปน
ด้านความมั่นคง ทั้งสองยินดีที่ไทยและสเปนมีความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะกองทัพเรือ ตลอดจนมีความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรมร่วมกันระหว่างบุคลากรกองทัพของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เอกอัครราชทูตสเปนฯ เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายควรเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีจักได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
ด้านประมง นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทนำของสเปนในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated ? IUU) ซึ่งไทยให้ความสำคัญและหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนเพื่อการแก้ไขปัญหา IUU ได้อย่างยั่งยืน
ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม นายกรัฐมนตรียินดีที่ศูนย์วิจัยพลังงาน สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี (CIEMAT) ของสเปน มีความสนใจร่วมมือกับไทยในด้านพลังงานทดแทน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถจัดทำกรอบข้อตกลงร่วมกันได้ในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรหาแนวทางร่วมมือในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นประเด็นที่มีความท้าทายสำคัญในโลกปัจจุบันด้วย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th