วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 08.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำนายเท็ตสึ ชิโอซากิ ประธานและกรรมการบริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ จำกัด (Minebea Mitsumi Inc.) และผู้บริหารบริษัทฯ เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายสุชาติฯ กล่าวถึงบริษัทว่า เอ็นเอ็มบี-มินีแบ เป็นบริษัทใหญ่ที่มีการลงทุนในประเทศไทยยาวนานต่อเนื่อง และผู้บริหารบริษัทฯ ขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้เพื่อขอบคุณการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ส่งผลให้บริษัทยังดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบในวันนี้ ไทยและญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมายาวนาน ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน อีกทั้งมีความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและคำนึงถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลจึงได้ดำเนินโครงการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ รวมทั้งยังมีนโยบายที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี 2608 โดยรัฐสนับสนุนให้เอกชนมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low carbon society)
นายเท็ตสึกล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ให้การดูแลและอำนวยความสะดวกภาคเอกชนให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ รวมทั้งมีนโยบายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนภาคเอกชนต่างประเทศในไทย แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาโดยตลอด โดยเฉพาะการดำเนินโครงการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) ทำให้พนักงานทุกคนได้รับการฉีดวัคซีน จนบริษัทสามารถดำเนินการได้เต็มกำลังการผลิต สามารถจัดส่งชิ้นส่วนที่สำคัญของอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ จากประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
บริษัทฯ เชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการดำเนินนโยบายของรัฐบาล และศักยภาพของประเทศไทยที่มีภาคอุตสาหกรรมที่มั่นคง มี Supply Chain ที่มีความยืดหยุ่นและเข้มแข็ง แม้ยังคงต้องเผชิญกับโควิด-19 โดยในกลุ่มประเทศที่บริษัทได้ลงทุน ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่สามารถรักษาการจ้างงานไว้ได้ และบริษัทยังได้เลือกประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนเพิ่มเติมในฐานการผลิตใหม่ครั้งใหม่ โดยการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ ?BCG" ของไทย และ ?Green Growth Strategy" ของญี่ปุ่น มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3 พันล้านบาท ทั้งในด้านโครงการการผลิต และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยนวัตกรรมการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ขึ้นจริงในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ที่มา: http://www.thaigov.go.th