วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายชานโดร์ ชีโปช (H.E. Mr. S?ndor Sipos) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฮังการีฯ ที่ได้เข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย โดยขอให้เอกอัครราชทูตฮังการีฯ ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อพัฒนาความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ พร้อมขอบคุณฝ่ายฮังการีที่ให้การสนับสนุนไทยในเวทีสหภาพยุโรปเสมอมา เชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฮังการีจะยั่งยืนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งกล่าวแสดงความยินดีที่ รศ.ดร. กอตอลิน กอริโก ชาวฮังการี ได้รับพระราชทานรางวัล สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2564 ในสาขาการแพทย์ ในบทบาทการพัฒนานาเทคโนโลยี mRNA มาประยุกต์ใช้กับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งสำคัญยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปัจจุบัน ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยพร้อมขยายความร่วมมือทั้งในทวิภาคีและพหุภาคีอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
ด้านเอกอัครราชทูตฮังการีฯ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ไทยถือเป็นอีกประเทศที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่ได้พบเจอ พร้อมยินดีที่ไทยและฮังการีมีความสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานและจะครบรอบวาระ 50 ปี ในปี 2566 ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการต่อยอดความสัมพันธ์ทุกมิติต่อไป โดยเอกอัครราชทูตฮังการีฯ ยืนยันว่าพร้อมจะเป็นผู้สานต่อเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับฮังการีให้แนบแน่นและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ผ่านอุตสาหกรรมการเกษตร อาหาร ตลอดจนเทคโนโลยีชีวภาพต่าง ๆ
- ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพ อาทิ การพัฒนาวัคซีน การแพทย์ทางเลือก การบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขระหว่างกัน และความร่วมมือในการวิจัย พัฒนา และผลิตอุปกรณ์ ทางการแพทย์ ซึ่งเอกอัครราชทูตฮังการีฯ เห็นพ้องตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวและพร้อมสนับสนุนและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน
- ด้านการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ฝ่ายฮังการีเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี 2566 ซึ่งเอกอัครราชทูตฮังการีฯ เสนอให้นายกรัฐมนตรีฮังการีเยือนไทย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีอย่างนิ่ง และพร้อมให้การตอนรับนายกรัฐมนตรีฮังการีเสมอ
- ด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-ฮังการี ครั้งที่ 3 (Joint Commission on Economic Cooperation ? JCEC) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 นี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยไทยพร้อมจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกล่าวเชิญชวนนักธุรกิจฮังการีให้ลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่ฮังการีมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเอกอัครราชทูตฮังการีฯ ได้มีโอกาสไปเยือนเขต EEC และเล็งเห็นถึงศักยภาพของการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว โดยยินดีส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนฮังการีและไทยให้มากขึ้นเพื่อเป็นช่องทางในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
- ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและด้านการเกษตร นายกรัฐมนตรียินดีกับพัฒนาการความร่วมมือระหว่างไทยกับฮังการี ซึ่งได้มีการจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมครั้งที่ 1 เมื่อปี 2563 และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งจะประสานกับทาง สทนช. ต่อไป ด้านเอกอัครราชทูตฮังการีฯ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือดังกล่าว เนื่องจากฮังการีมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร และการใช้ประโยชน์จากน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้ว
- ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีชื่นชมฮังการีที่เห็นความสำคัญของการศึกษา โดยเฉพาะความร่วมมือจากโครงการแลกเปลี่ยนการศึกษาและวิทยาศาสตร์ไทย-ฮังการี พร้อมขอบคุณรัฐบาลฮังการีที่มอบทุนการศึกษาระดับปริญญาแก่นักศึกษาไทยจำนวนกว่า 40 ทุนต่อปี นับตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งทางเอกอัครราชทูตฮังการีฯ ยินดีที่จะสานต่อการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพแก่ผู้เรียน
- ด้านการกีฬา เอกอัครราชทูตฮังการีฯ ยินดีกับความร่วมมือที่ไทยได้จัดการฝึกอบรมมวยไทยให้แก่ชาวฮังการี โดยล่าสุดได้มีการจัดค่ายฝึกอบรม (Training camp) เมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการศิลปะป้องกันตัวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเชื่อมั่นว่าฮังการีจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมศักยภาพการกีฬาต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th