นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (16 มิถุนายน 2565) เวลา 15.25 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการลดผลกระทบของประชาชนอันเนื่องมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ร่วมกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสำคัญดังนี้
ที่ประชุมได้หารือมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนิน 10 มาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว ซึ่งบางมาตรการใกล้จะครบอายุของมาตรการ โดยที่ประชุมได้พิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มของปีนี้ ที่เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าค่าเฉลี่ยของเงินเฟ้อปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 6.2% แต่แนวโน้มทั้งปีเศรษฐกิจยังคงจะเติบโตได้จากการเปิดภาคการท่องเที่ยว แต่ปัญหาหลักในวันนี้คือราคาพลังงานและค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้น กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังจึงได้นำเสนอมาตรการเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยบางส่วนเป็นเบื้องต้น ดังนี้
การต่ออายุในส่วนของมาตรการที่ใกล้จะหมดอายุ เช่น การให้ความช่วยเหลือเรื่องก๊าซเอ็นจีวีสำหรับรถแท็กซี่ การให้ส่วนลดในการซื้อก๊าซแอลพีจีสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้คงค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร ที่จะต่อถึงสิ้นเดือนกันยายน 2565
มาตรการเรียกเก็บกำไรส่วนหนึ่งจากค่าการกลั่นน้ำมัน ที่กระทรวงพลังงานมีอำนาจดำเนินการได้ตามกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีการอุดหนุนราคาดีเซลและราคาก๊าซต่าง ๆ ที่ประมาณการ ณ สิ้นเดือนมิถุนายนจะมีสถานะกองทุนติดลบอยู่ที่ 9 หมื่นกว่าล้านบาท โดยกระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในการขอให้นำส่งกำไรส่วนหนึ่งที่เกิดจากการกลั่นน้ำมัน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตราคาน้ำมันแพงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เพื่อเป็นการช่วยเหลือกองทุนฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม ถึงกันยายน 2565 โดยเป็นการเก็บจากการกลั่นน้ำมันดีเซลส่วนหนึ่งประมาณ 5,000 ? 6,000 ล้านบาทต่อเดือน และเรียกเก็บจากการกลั่นน้ำมันเบนซิน ที่จะเรียกเก็บน้อยกว่าดีเซล ซึ่งคาดว่าจะเก็บในส่วนของเบนซินได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยในส่วนของเบนซินจะนำมาลดราคาให้กับผู้ใช้น้ำมันเบนซินในทันทีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ คาดว่าจะลดราคาได้ประมาณ 1 บาทจากราคาปัจจุบัน แต่ในส่วนของการกลั่นที่เก็บได้จากน้ำมันดีเซลจะนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อช่วยบรรเทาสถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบอยู่
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการขอความร่วมมือจากโรงแยกก๊าซที่มีต้นทุนแอลพีจีที่จำหน่ายเป็นวัตถุดิบในภาคปิโตรเคมี ที่มีกำไรส่วนเกินอยู่ส่วนหนึ่ง โดยกระทรวงพลังงานจะขอให้นำกำไรส่วนเกินนี้ 50% เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเช่นกัน คาดจะนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 1,500 ล้านบาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานจะเสนอขอความร่วมมือภาคเอกชน โดยเฉพาะห้างร้านต่าง ๆ ได้ช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยจะมีการจัดทำรายละเอียดต่าง ๆ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 21 มิถุนายนนี้
ขณะที่กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว เป็นมาตรการเชิงภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาในประเทศสำหรับบริษัทเอกชนที่เป็นนิติบุคคลต่าง ๆ หักรายจ่ายสำหรับค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าเดินทาง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับอบรมสัมมนาในประเทศ รวมถึงค่าจัดงาน Event/Exhibition เมืองรอง หักภาษีได้ 2 เท่า เมืองหลัก หักภาษีได้ 1.5 เท่า ระยะเวลาตั้งแต่ 15 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม 2565 โดยมาตรการดังกล่าวจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th