นายกรัฐมนตรีแถลงถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ครั้งนี้ทุกอย่างเป็นด้วยความเรียบร้อยดี
วันนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ ว่า การเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ครั้งนี้ทุกอย่างเป็นด้วยความเรียบร้อยดี พร้อมกล่าวถึงการเดินทางไปชมตลาดเตียง บาร์รู ในสิงคโปร์ว่า มีความสะอาดซึ่งเหมือนกับตลาด อตก. และตลาดบองมาร์เช่ของประเทศไทย เพียงแต่ตลาดของสิงคโปร์จะมีความสะอาดมากกว่า ซึ่งอาหารทุกอย่างโดยรวมในตลาดก็สามารถเทียบราคาได้ทั้งหมด อาหารบางอย่างมีราคาแพงกว่าเท่าตัว บางอย่างก็แพง 2 —3 เท่า เช่น เป็ดและไก่ ที่มีราคาแพง 3 เท่า นอกจากนี้ยังได้สอบถามรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เกี่ยวกับประชาชนในสิงคโปร์ที่จบการศึกษาปริญญาตรี ใหม่ ๆ ได้เงินเดือนจำนวนเท่าไร ปรากฏคูณเป็นเงินไทยแล้วได้มากกว่าของประเทศไทย 8 เท่า ซึ่งเท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา ถ้าทำงานต่อสักพักจะได้มาก 10 เท่า ส่วนเงินเดือนของข้าราชการไทยจบปริญญาตรีได้เงินเดือน 6,500 บาท แต่จบปริญญาตรีที่ประเทศสิงคโปร์ได้เงินเดือน 65,000 บาท ราคาสินค้าแพง 3-4 เท่า ซึ่งก่อนจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ก็ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ไปเจอของจริง ฉะนั้นได้ตั้งคำถามว่ารายได้ที่คุ้มกับรายจ่ายมีที่ไหนในโลก ซึ่งก็ได้รับทราบว่ามีใกล้ประเทศไทยเอง บินไป 2 ชั่วโมง 20 นาที
“เมื่อเช้าหนังสือพิมพ์ เซมไทมส์ ลงรูปผม รูปสีขนาดใหญ่กลางหน้าเลย โบราณ ๆ อาจจะเกิดไม่ทัน หนังชื่อ city forty-eight มีหนังชื่อ guess with coming to the dinnerทายสิใครมากินข้าว คำนี้เขาก็ใช้กันแต่ในแวดวงฝรั่ง รูปผมพาดหัวตัวใหญ่เลย guess with coming to the market ก็เป็นข่าวใหญ่ลงข่าวและมีรูปภาพประกอบ คือประหลาดว่าจะมีใครไปเยี่ยม 6 โมงเช้า ไปเยี่ยมตลาด แต่ผมบอกให้ฟังว่า ผมไปเยี่ยมตลาดเพราะเหตุว่า ไปบ้านใครถ้าเราเข้าไปในครัว เราก็จะได้รู้ว่าเขากินอยู่กันอย่างไร เขาพอกินพออยู่ไหม ก็ถามเรื่องรายได้ ได้คำตอบทันที เพราะฉะนั้นก็บอกว่าประเทศไทยเรา ราคาสินค้าถูกต้อง ถูก ๆ เงินเดือนยิ่งแสนถูก ก็ต้องกลับมาคิดต่อในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ในจังหวะสินค้าแพงบ้าเลือด และรายจ่ายมากกว่ารายได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนมีข้อห่วงใยเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนที่ห่วงใย คือ นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ โดยได้ถามถึงคดีของประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีตอบว่า คดีนี้จะไปถึงศาลฎีกา และนายกรัฐมนตรีก็เชื่อมั่นในศาล ซึ่งขณะนี้พ้นวาระของกกต.ไปแล้ว ท่านก็ได้บอกอย่างนั้นหรือ ซึ่งได้ตอบว่าใช่ครับ ท่านก็เป็นห่วงว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เหมือนกับคนไทยว่ามาจนป่านนี้แล้ว ทำไมถึงมีคดีความอย่างนี้อีก ตนเองก็ต้องตอบ อย่างนั้น และขอบคุณท่านที่ท่านถามถึงเรื่องนี้ เพราะสนใจ บ้านอื่นเมืองอื่นคนไม่อ่านหนังสือพิมพ์เมืองไทยก็จะไม่ค่อยติดตาม ซึ่งเรื่องนี้นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถูกถามเช่นเดียวกัน ซึ่งปัญหาเรื่องที่ยังไม่รู้จักจบเขาก็ถามกัน แต่เราต้องมีมารยาทที่จะตอบตามสมควร ซึ่งตนเองก็ได้ทำหน้าที่แสดงความคิดเห็นของตนเองแล้วในวันอาทิตย์ ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่ และไม่ต้องการให้เป็นข่าวอะไรไปมากกว่านี้ เพราะได้แสดงความคิดเห็นเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ตนเองก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร และขอให้ไม่ต้องถามคำถามนี้อีก ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ ซึ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจะดูแลเรื่องนี้เอง
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ ว่า การเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ครั้งนี้ทุกอย่างเป็นด้วยความเรียบร้อยดี พร้อมกล่าวถึงการเดินทางไปชมตลาดเตียง บาร์รู ในสิงคโปร์ว่า มีความสะอาดซึ่งเหมือนกับตลาด อตก. และตลาดบองมาร์เช่ของประเทศไทย เพียงแต่ตลาดของสิงคโปร์จะมีความสะอาดมากกว่า ซึ่งอาหารทุกอย่างโดยรวมในตลาดก็สามารถเทียบราคาได้ทั้งหมด อาหารบางอย่างมีราคาแพงกว่าเท่าตัว บางอย่างก็แพง 2 —3 เท่า เช่น เป็ดและไก่ ที่มีราคาแพง 3 เท่า นอกจากนี้ยังได้สอบถามรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เกี่ยวกับประชาชนในสิงคโปร์ที่จบการศึกษาปริญญาตรี ใหม่ ๆ ได้เงินเดือนจำนวนเท่าไร ปรากฏคูณเป็นเงินไทยแล้วได้มากกว่าของประเทศไทย 8 เท่า ซึ่งเท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา ถ้าทำงานต่อสักพักจะได้มาก 10 เท่า ส่วนเงินเดือนของข้าราชการไทยจบปริญญาตรีได้เงินเดือน 6,500 บาท แต่จบปริญญาตรีที่ประเทศสิงคโปร์ได้เงินเดือน 65,000 บาท ราคาสินค้าแพง 3-4 เท่า ซึ่งก่อนจะเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ก็ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่าถึงเวลาหรือยังที่จะต้องดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ไปเจอของจริง ฉะนั้นได้ตั้งคำถามว่ารายได้ที่คุ้มกับรายจ่ายมีที่ไหนในโลก ซึ่งก็ได้รับทราบว่ามีใกล้ประเทศไทยเอง บินไป 2 ชั่วโมง 20 นาที
“เมื่อเช้าหนังสือพิมพ์ เซมไทมส์ ลงรูปผม รูปสีขนาดใหญ่กลางหน้าเลย โบราณ ๆ อาจจะเกิดไม่ทัน หนังชื่อ city forty-eight มีหนังชื่อ guess with coming to the dinnerทายสิใครมากินข้าว คำนี้เขาก็ใช้กันแต่ในแวดวงฝรั่ง รูปผมพาดหัวตัวใหญ่เลย guess with coming to the market ก็เป็นข่าวใหญ่ลงข่าวและมีรูปภาพประกอบ คือประหลาดว่าจะมีใครไปเยี่ยม 6 โมงเช้า ไปเยี่ยมตลาด แต่ผมบอกให้ฟังว่า ผมไปเยี่ยมตลาดเพราะเหตุว่า ไปบ้านใครถ้าเราเข้าไปในครัว เราก็จะได้รู้ว่าเขากินอยู่กันอย่างไร เขาพอกินพออยู่ไหม ก็ถามเรื่องรายได้ ได้คำตอบทันที เพราะฉะนั้นก็บอกว่าประเทศไทยเรา ราคาสินค้าถูกต้อง ถูก ๆ เงินเดือนยิ่งแสนถูก ก็ต้องกลับมาคิดต่อในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ในจังหวะสินค้าแพงบ้าเลือด และรายจ่ายมากกว่ารายได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนมีข้อห่วงใยเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนที่ห่วงใย คือ นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ โดยได้ถามถึงคดีของประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีตอบว่า คดีนี้จะไปถึงศาลฎีกา และนายกรัฐมนตรีก็เชื่อมั่นในศาล ซึ่งขณะนี้พ้นวาระของกกต.ไปแล้ว ท่านก็ได้บอกอย่างนั้นหรือ ซึ่งได้ตอบว่าใช่ครับ ท่านก็เป็นห่วงว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เหมือนกับคนไทยว่ามาจนป่านนี้แล้ว ทำไมถึงมีคดีความอย่างนี้อีก ตนเองก็ต้องตอบ อย่างนั้น และขอบคุณท่านที่ท่านถามถึงเรื่องนี้ เพราะสนใจ บ้านอื่นเมืองอื่นคนไม่อ่านหนังสือพิมพ์เมืองไทยก็จะไม่ค่อยติดตาม ซึ่งเรื่องนี้นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถูกถามเช่นเดียวกัน ซึ่งปัญหาเรื่องที่ยังไม่รู้จักจบเขาก็ถามกัน แต่เราต้องมีมารยาทที่จะตอบตามสมควร ซึ่งตนเองก็ได้ทำหน้าที่แสดงความคิดเห็นของตนเองแล้วในวันอาทิตย์ ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่ และไม่ต้องการให้เป็นข่าวอะไรไปมากกว่านี้ เพราะได้แสดงความคิดเห็นเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ตนเองก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร และขอให้ไม่ต้องถามคำถามนี้อีก ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ ซึ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจะดูแลเรื่องนี้เอง
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--