และนายกฯ ได้ทดลองขับรถ EV ของเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ตามคำเชิญด้วย
วันนี้ (วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2565) เวลา 11.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาเนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิสที่ดำเนินมาอย่างราบรื่นยาวนาน ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองครบรอบ 90 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับมาโดยตลอด แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้ง ได้ขับเคลื่อนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการกงสุลผ่านกลไกการประชุมหารือด้านการกงสุลไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ครั้งที่ 1 ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี และความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ความตกลงปารีสร่วมกัน ซึ่งเป็นการลงนามข้อตกลงถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตร่วมกันเป็นคู่แรกของโลก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ที่มีบทบาทแข็งขันในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิสตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง พร้อมทั้งแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งใหม่ และหวังว่า เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ จะคงบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อไป
เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ยินดีที่ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี ที่ดำรงตำแหน่ง ได้รับความสุขและประสบการณ์ที่ดี ประเทศไทยสวยงาม และน่าตื่นตาตื่นใจ ชาวสวิสนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวระยะสั้น รวมทั้งมีชุมชนชาวสวิสที่พำนักอาศัยในประเทศไทยระยะยาวจำนวนมาก เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือทั้งนักท่องเที่ยวชาวสวิส และชุมชนชาวสวิสที่อยู่ในไทยเป็นอย่างดีในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และเชื่อมั่นว่าการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศของไทยจะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวสวิสเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงขอบคุณนโยบายของไทยที่ออกเป็นมติของคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้คนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อการพำนักระยะยาว 10 ปี จะเป็นสัญญาณที่ดีและดึงดูดผู้เกษียณอายุชาวสวิสจำนวนมากให้มาพำนักยังประเทศไทยในระยะยาว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ พัทยา และเกาะต่าง ๆ ของประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจ และขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลและชาวไทยพร้อมดูแล และอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวสวิสเป็นอย่างดี
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ไทยและสมาพันธรัฐสวิสมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยสมาพันธรัฐสวิสเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย มีมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มพูนการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมเชิญชวนนักลงทุนจากสมาพันธรัฐสวิสเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณสมาพันธรัฐสวิสที่สนับสนุนการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) มาโดยตลอด ด้านเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ พร้อมผลักดันและเร่งรัดให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
สำหรับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ชาวสวิสนิยมเดินทางมาไทย รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศ ผ่านการยกเลิก Thailand Pass เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า นักท่องเที่ยวชาวสวิสจะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้น กระชับความสัมพันธ์ในระดับประชาชนของทั้งสองประเทศด้วย
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับสมาพันธรัฐสวิสที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) วาระปี ค.ศ. 2023-2024 โดยเชื่อมั่นว่า สมาพันธรัฐสวิสจะมีบทบาทที่แข็งขันในการส่งเสริมสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ความเป็นมิตรของไทยสู่สายตานานาประเทศด้วย
ในตอนท้าย เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสฯ ทราบว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการสนับสนุน รถ EV จึงเชิญนายกรัฐมนตรีทดลองขับรถ EV ของเอกอัครราชทูตฯ ด้วย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th