วันนี้ (21 กรกฎาคม 2565) เวลา 18.48 น. ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ยืนยันเศรษฐกิจไทยเดินหน้าอยู่ในระดับที่ดี ขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน ปี 2565-2566 มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นถึง 3.3 และ 4.3 ตามลำดับจาก เงินสำรองระหว่างประเทศระดับสูง หนี้ต่อ GDP ต่ำ และหนี้ต่างประเทศน้อยมาก อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง มั่นใจประเทศไทยไม่เกิดเหตุการณ์อย่างในศรีลังกาแน่นอน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงทิศทางและมาตรการเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจน ทำให้ไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเห็นได้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาสแรกปี 2565 มีมูลค่ารวม 288,019 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.8% จากปี 2564 ขยายตัว 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุน BOI ดีขึ้น จำนวนโครงการและมูลค่าที่ขอรับการส่งเสริม มูลค่าที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 2 ไตรมาสแรก มีมูลค่า 219,708 ล้านบาท จาก 784 โครงการ กลับมาสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 รัฐบาลได้สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ให้มีการย้ายฐานการลงทุนที่ครบวงจร เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบให้ครอบคลุมถึงการผลิตชิ้นส่วน มอเตอร์ต่าง ๆ และหลายประเทศและหลายบริษัทได้ตกลงที่จะมาร่วมลงทุนแล้ว กรณีอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล รวมทั้งการให้วีซ่าระยะยาวกับผู้มีศักยภาพสูงทั่วโลก (Long-term resident) และส่งเสริม soft power ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินลงทุนได้กว่าสองล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP ได้กว่า 1.7 ล้านล้านบาท ไปจนถึงเรื่องของการจัดตั้งกองทุน เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ซึ่งล้วนแต่เป็นมาตรการที่รองรับสถานการณ์ในอนาคตซึ่งทำให้ประเทศจะได้รับผลตอบแทนที่มีมูลค่าในระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน รัฐบาลพยายามจะฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของไทยทั้งระดับบน กลาง และระดับล่าง SMEs และวิสาหกิจชุมชน รวมไปถึง Startup ให้กลายเป็นบริษัทที่แข็งแรงขึ้นในอนาคต โดยเห็นได้จากสถิติการเปิด-ปิดกิจการ ในเดือนเมษายน 2565 ในช่วงเวลาที่มีทุนการจดทะเบียนของกิจการตั้งใหม่มากที่สุด (All time high) อยู่ที่ 171,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2564 ถึง 726.7 เปอร์เซ็นต์ สอดคล้องกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม 2565 โดยมีจำนวนกิจการจัดตั้งใหม่ 5,917 ราย เพิ่มขึ้น 6.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า นับว่าเป็นการกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากที่มีการชะลอตัวของการเปิดกิจการ ซึ่งในช่วงโควิด-19 ยังสั่งการให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน เพื่อไม่ให้ลดการจ้างงานทำให้หลายบริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะนี้ ไทยเจรจากับซาอุดีอาระเบียจนประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องการส่งแรงงานไทยที่มีทักษะไปทำงาน อิสราเอล และอีกหลายประเทศก็ต้องการแรงงานจากไทยมากขึ้น ซึ่งได้สั่งการให้ต้องทำงานบูรณาการกันเป็นระบบเพื่อผลิตคนให้ตรงตามความต้องการของประเทศ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากกว่าขึ้นให้ถึง 10 ล้านคนในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วง High Season ซึ่งขณะนี้คาดว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยประมาณ 5 ล้านคนแล้ว รัฐบาลยังมีการดำเนินการปรับปรุงคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ซึ่งทุกจังหวัดมีการโปรโมทออกมา และมียอดจองจำนวนมากพอสมควรจากบริษัทนักท่องเที่ยว ซึ่งภาคการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เป็นรายได้หลักของประเทศ ยังยืนยันว่า การกำหนดค่าเหยียบแผ่นดินไม่ใช่ข้อเท็จจริง ยังไม่มีการเรียกเก็บ และปัจจุบันถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ซึ่งนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ความสำเร็จของการเปิดการท่องเที่ยวไทยในรูปแบบ Sandbox ของไทยยังกลายเป็นโมเดลที่หลายประเทศนำไปใช้ ขอเพียงทุกคนร่วมมือกัน ทำให้บ้านเมืองสงบ ปลอดภัย มั่นใจว่า นักท่องเที่ยวจะมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้นแน่นอน
ทั้งนี้ แม้ผ่านวิกฤตสองปี แต่เศรษฐกิจไทยยังมีหลายอย่างที่หลายประเทศไม่มี โดยเฉพาะ หนี้ต่อ GDP ในระดับต่ำ หนี้เงินตราต่างประเทศน้อยมาก ระบบธนาคารที่แข็งแรง สภาพคล่องในประเทศที่ดี ทำให้หลายสถาบันจัดอันดับก็ยังคงระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังที่ดี และไทยยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะรับมือกับทุกวิกฤต เพียงแต่ขอทุกคนร่วมมือ มั่นใจว่าในเวลาที่เหลือกว่า 250 วันของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะทำทุกวิถีทาง เพื่อพาประเทศ และประชาชนออกจากวิกฤตที่หนักและยาวนานอยู่ และเตรียมความพร้อมประเทศและประชาชนกับการให้กลับมาฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th