วันนี้ (19 สิงหาคม 2565) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคาร 6 อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน ?SME-GP DAY? และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่หน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสูงสุด โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คณะผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วม ซึ่ง สสว. ได้พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในระดับพื้นที่โดยการเชื่อมโยงคู่ค้าและพันธมิตรให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (SME-GP DAY) เพื่อยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้เข้าสู่ตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและก่อให้เกิดมูลค่าเชิงพาณิชย์
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างจาก SME สูงสุด ในปีงบประมาณ 2564 ทั้งในมิติของจำนวนเงิน และสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างจาก SME ตามมาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และขอบคุณหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ที่เห็นความสำคัญของมาตรการนี้ โดยได้ติดตามสถานการณ์การพัฒนายกระดับเพื่อความก้าวหน้า มั่นคง มั่งคั่ง ของผู้ประกอบการ SME ตลอดเวลา เพราะนอกจากจะเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติแล้ว SME ยังเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งรัฐบาลกำหนดเป้าหมายนำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เข้าสู่ประเทศพัฒนาในปี 2570 แต่เมื่อมีเหตุการณ์โรคอุบัติใหม่ คือโรคโควิด-19 รัฐบาลได้มีการแก้ไขปัญหาและเร่งออกมาตรการส่งเสริม SME ทั้งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพด้านองค์ความรู้ และศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนความร่วมมือกับสถาบันการเงินเกี่ยวกับการเสริมสภาพคล่อง การลดค่าใช่จ่าย การรักษาการจ้างงาน และการกระตุ้นความต้องการบริโภคภายในประเทศ โดยมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. เป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินการบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางบริบทของโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งผลให้ SME ต้องเผชิญความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก รัฐบาลได้เร่งปรับตัวให้เท่าทันเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยได้วางกรอบการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ไว้ในร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ในประเด็นการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีเข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ รวมไปถึงการขับเคลื่อนในมิติต่าง ๆ ตามกรอบการเดินหน้าประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐว่า เป็นโอกาสทางการตลาดขนาดใหญ่ในประเทศของ SME ที่มีมูลค่าวงเงินในปีงบประมาณ 2564 กว่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่ที่ผ่านมี SME เข้าถึงได้ไม่มากนัก ดังนั้นการมีระบบ THAI-SME GP เพื่อให้ SME ได้เข้ามาลงทะเบียนกิจการและสินค้าหรือบริการ จะเป็นโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐได้ร่วมกันสนับสนุน SME เพื่อเป็นฟันเฟืองหนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ในขณะเดียวกัน SME จะได้รับประโยชน์จากระบบ THAI-SME GP รวมถึงสิทธิประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยหลังโควิด ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันเตรียมความพร้อมในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพร้อมที่จะเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน ทั้งการแข่งขันทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ พยายามพลิกฟื้นเศรษฐกิจ สร้างเศรษฐกิจในโอกาสรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่ง SME ? GP Day จะมีส่วนช่วยแก้ไขข้อจำกัด อุปสรรคต่าง ๆ ของ SME ผ่านการเชื่อมโยงคู่ค้าและพันธมิตร เพื่อร่วมกันผลักดันอันจะก่อให้เกิดมูลค่าเชิงพาณิชย์ได้จริง ตามคำขวัญ THAI SME ? GP คือ ?รัฐพร้อมซื้อ SME พร้อมขาย? รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และก้าวไปสู่การเติบโตไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตลอดไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th