นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ครั้งที่ 4/2565 ที่มีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม วันนี้ (30 กันยายน 2565) เมื่อเวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เขตพญาไท กรุงเทพฯ ซึ่งมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประจำปี 2566 จำนวน 810.0000 ล้านบาท เป็นเงินงบประมาณ จำนวน 570.0000 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 240.0000 ล้านบาท (ใช้เงินคงเหลือกองทุนฯ สมทบ) ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 เพื่อให้การดำเนินงานของ สสว. เป็นไปอย่างต่อเนื่องตามเจตนารมณ์ และวัตถุประสงค์ของกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2543
ทั้งนี้ เงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประจำปี 2566 จำนวน 810.0000 ล้านบาท ที่ได้รับความเห็นชอบจัดสรรในครั้งนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยจำแนกเป็นกิจกรรมผลักดันการส่งเสริม MSME และกิจกรรมสนับสนุนและให้บริการ MSME ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 โดยแผนการส่งเสริม SME ที่สำคัญ ในปี 2566 มีเป้าหมายที่จะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 6,000 ล้านบาท และมี SME ที่จะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนส่งเสริมอยู่ที่ 789,785 ราย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อดำเนินการงานบริหารจัดการโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย (ดำเนินงานโดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) วงเงินงบประมาณ 250,540,000 บาท
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการจัดสรรเงินจากกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ประจำปี 2566 เพื่อช่วยเหลือส่งเสริม SME ในภาวะวิกฤต ตลอดจนภาคธุรกิจของไทยให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ จึงขอเน้นย้ำทุกหน่วยงานให้ความสำคัญและบูรณาการทำงานร่วมกันเป็นพลังสำคัญให้กับ SME ในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง.
ที่มา: http://www.thaigov.go.th