นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเวียดนาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การศึกษาดูงาน และความร่วมมือด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ภายหลังเดินทางถึงกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนาม เพื่อร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ จากนั้นนายกรัฐมนตรีหารือข้อราชการเต็มคณะกับ นาย เหวียน เติน สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีในการขจัดการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และการช่วยเหลือเหยื่อของการค้ามนุษย์ระหว่างไทย — เวียดนาม
เมื่อเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีได้แถลงผลการหารือ สรุปดังนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้แสดงความยินดีที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและเชื่อมั่นว่า การมาเยือนของนายกรัฐมนตรีในวันนี้จะช่วยเพิ่มพูนความสัมพันธ์ที่มีต่อกันทางยุทธศาสตร์ การค้า และประชาชน ระหว่างการหารือ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายประการ
สำหรับประเด็นทางเศรษฐกิจการค้านั้น ปัจจุบัน ไทยและเวียดนามมีมูลค่าทางการค้า ถึง 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายเดิมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2553 นายกรัฐมนตรีจึงเสนอให้มีการปรับเป้าหมายในปี 2553 ใหม่ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว เป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แทน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้เวียดนาม สนับสนุนภาคเอกชนไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม อาทิ บริษัท สยามซีเมนต์ ซึ่งกำลังเข้าไปลงทุนโครงการขนาดใหญ่ด้านปิโตรเคมี และรัฐบาลไทยจะช่วยคัดเลือกนักลงทุนคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนทางด้านสินค้าเกษตร โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกประเด็นความเป็นไปได้ของแนวทางร่วมมือระหว่างประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว เนื่องจากไทยเคยริเริ่มและประสบความสำเร็จในการรวมกลุ่มประเทศผู้ค้ายางมาแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีเวียดนามแสดงความสนใจและพร้อมให้ความร่วมมือ
นอกจากนี้ มีการหารือเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างกันและการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่เชื่อมต่อกันหลายประเทศ รวมทั้งความร่วมมือในด้านอื่นๆระหว่างไทยและเวียดนาม อาทิ ความร่วมมือด้านวิชาการ โครงการการแลกเปลี่ยนด้านการอบรมดูงาน การจัดให้มีการสอนภาษาไทยในเวียดนาม การสอนภาษาเวียดนามในไทย
สำหรับประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมสร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคงและสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างหน่วยงาน ปัจจุบันไทยและเวียดนามได้มีความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและระหว่างกระทรวงมหาดไทยของทั้งสองประเทศ ในการนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ขอความร่วมมือเพิ่มเติมด้านการปราบปรามอาชญากรรม การแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานด้านความมั่นคง และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับพหุภาคี ทั้งในกรอบ ACMECS และ GMS รวมถึง มีการหารือถึงความร่วมมือเกี่ยวกับการแบ่งปันทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขง เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเกิดประโยชน์ต่อประเทศในลุ่มน้ำโขง
ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีพบกับทีมไทยแลนด์และนักธุรกิจไทยที่มาลงทุนในเวียดนาม จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมคารวะ นาย เหวียน มิง เจี๊ยด ประธานาธิบดีเวียดนาม ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อแนะนำตัว และเดินทางไปยังที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เพื่อเยี่ยมคารวะ นายนง ดึ๊ก แหม่ง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พร้อมกับหารือกันในเรื่องต่างๆ ซึ่งในโอกาสนี้ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในหลายด้าน และถือเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ เลขาธิการพรรค กล่าวว่า เวียดนามเองมีนโยบายที่จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักให้ได้ในปี 2010 และมีเป้าหมายหลัก มุ่งการพัฒนาคน และคุณภาพชีวิตให้มีความกินดีอยู่ดี สำหรับยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศ เวียดนามให้ความสำคัญแก่ไทยเป็นพันธมิตรอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ เลขาธิการพรรคเวียดนามยังถือโอกาสนี้กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีในการนำเสนอความคิดใหม่ๆที่มีประโยชน์ซึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ไทย เวียดนาม มีความแน่นแฟ้นกว่าเดิมด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
ภายหลังเดินทางถึงกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนาม เพื่อร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ จากนั้นนายกรัฐมนตรีหารือข้อราชการเต็มคณะกับ นาย เหวียน เติน สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีในการขจัดการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และการช่วยเหลือเหยื่อของการค้ามนุษย์ระหว่างไทย — เวียดนาม
เมื่อเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีได้แถลงผลการหารือ สรุปดังนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้แสดงความยินดีที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและเชื่อมั่นว่า การมาเยือนของนายกรัฐมนตรีในวันนี้จะช่วยเพิ่มพูนความสัมพันธ์ที่มีต่อกันทางยุทธศาสตร์ การค้า และประชาชน ระหว่างการหารือ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายประการ
สำหรับประเด็นทางเศรษฐกิจการค้านั้น ปัจจุบัน ไทยและเวียดนามมีมูลค่าทางการค้า ถึง 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายเดิมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2553 นายกรัฐมนตรีจึงเสนอให้มีการปรับเป้าหมายในปี 2553 ใหม่ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว เป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แทน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้เวียดนาม สนับสนุนภาคเอกชนไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม อาทิ บริษัท สยามซีเมนต์ ซึ่งกำลังเข้าไปลงทุนโครงการขนาดใหญ่ด้านปิโตรเคมี และรัฐบาลไทยจะช่วยคัดเลือกนักลงทุนคุณภาพ รวมทั้งการลงทุนทางด้านสินค้าเกษตร โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้หยิบยกประเด็นความเป็นไปได้ของแนวทางร่วมมือระหว่างประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว เนื่องจากไทยเคยริเริ่มและประสบความสำเร็จในการรวมกลุ่มประเทศผู้ค้ายางมาแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีเวียดนามแสดงความสนใจและพร้อมให้ความร่วมมือ
นอกจากนี้ มีการหารือเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างกันและการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่เชื่อมต่อกันหลายประเทศ รวมทั้งความร่วมมือในด้านอื่นๆระหว่างไทยและเวียดนาม อาทิ ความร่วมมือด้านวิชาการ โครงการการแลกเปลี่ยนด้านการอบรมดูงาน การจัดให้มีการสอนภาษาไทยในเวียดนาม การสอนภาษาเวียดนามในไทย
สำหรับประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมสร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคงและสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างหน่วยงาน ปัจจุบันไทยและเวียดนามได้มีความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและระหว่างกระทรวงมหาดไทยของทั้งสองประเทศ ในการนี้ นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ขอความร่วมมือเพิ่มเติมด้านการปราบปรามอาชญากรรม การแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานด้านความมั่นคง และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับพหุภาคี ทั้งในกรอบ ACMECS และ GMS รวมถึง มีการหารือถึงความร่วมมือเกี่ยวกับการแบ่งปันทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขง เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเกิดประโยชน์ต่อประเทศในลุ่มน้ำโขง
ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีพบกับทีมไทยแลนด์และนักธุรกิจไทยที่มาลงทุนในเวียดนาม จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมคารวะ นาย เหวียน มิง เจี๊ยด ประธานาธิบดีเวียดนาม ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อแนะนำตัว และเดินทางไปยังที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เพื่อเยี่ยมคารวะ นายนง ดึ๊ก แหม่ง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พร้อมกับหารือกันในเรื่องต่างๆ ซึ่งในโอกาสนี้ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในหลายด้าน และถือเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ เลขาธิการพรรค กล่าวว่า เวียดนามเองมีนโยบายที่จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักให้ได้ในปี 2010 และมีเป้าหมายหลัก มุ่งการพัฒนาคน และคุณภาพชีวิตให้มีความกินดีอยู่ดี สำหรับยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศ เวียดนามให้ความสำคัญแก่ไทยเป็นพันธมิตรอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ เลขาธิการพรรคเวียดนามยังถือโอกาสนี้กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีในการนำเสนอความคิดใหม่ๆที่มีประโยชน์ซึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ไทย เวียดนาม มีความแน่นแฟ้นกว่าเดิมด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--