แท็ก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นายสมัคร สุนทรเวช
สนทนาประสาสมัคร
นายกรัฐมนตรี
สถานีวิทยุ
ช่อง 11
นายกรัฐมนตรีเผยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงรับสั่งทำงานหนักเพื่อบ้านเมืองและประชาชนคนไทย และทรงนำรายได้จากการจำหน่ายสินค้าร้านภูฟ้าไปอุดหนุนการศึกษาในชนบท
รายการ “สนทนาประสาสมัคร”
โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
------------------------------------------
สวัสดีครับ รายการ “สนทนาประสาสมัคร” กลับมาพบเหมือนอย่างเคยนะครับ 08.30 น. หลังพระเทศน์ ผมอยากจะอย่างนี้นะครับว่า เวลาที่จะมีใกล้วันสำคัญก็อยากจะได้พูดถึงเรื่องวันสำคัญตามสมควร ฉะนั้น วันสำคัญที่ใกล้ที่สุดของวันที่ผมพูดอยู่วันนี้คือ วันที่ 2 เมษายน เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะได้พูดถวายพระพรทุกพระองค์
ทรงรับสั่งเล่าเรื่องที่เสด็จฯ ฮาวายและฟิจิ
สำหรับพระองค์นี้ท่านคงเห็นว่าทรงงานหนักอย่างไร และนอกจากที่ท่านจะทรงงานตามที่ได้รับพระราชทานมอบหมายให้ทำต่าง ๆ แล้ว ท่านยังเสด็จพระราชดำเนินคือท่านหาความรู้ใส่พระองค์ ดูจากข่าวต่าง ๆ แล้วบางทีก็ตื่นเต้น ผมได้เฝ้าแหนเจ้านาย ธรรมดาเขาจะไม่เอาเรื่องที่เจ้านายรับสั่งมาคุยกัน เรื่องที่ว่าสอบถามมาเพื่อประชาชนจะได้รู้ด้วย อย่างนี้คุยได้ เช่น เสด็จพระราชดำเนิน ฮาวาย และไปฟิจิ ก็กราบบังคมทูลถามว่า ตกลงเขาเชิญทั้งสองหรืองานติดพันอะไรเขาไว้ถึงจะต้องไปรายการยาวอย่างนั้น รับสั่งว่าฮาวายเขาเชิญไว้ ก็ต้องไปให้เขา แต่ฟิจิทรงปรารถนาจะเสด็จพระราชดำเนินเอง นั่นเป็นเรื่องเฝ้าสนทนา เจ้านายก็จะเล่าให้ฟังว่าอย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่าง ๆ คือฟังแล้ว เราไม่เคยคาดคิด ความเจริญอย่างยิ่งไปอยู่ที่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เขาเคยทดลองนิวเคลียร์กัน ฝรั่งเศสเขาดูแลเกาะพวกนี้เรียบร้อยดี รับสั่งว่าที่นั่นมีคนไทยอยู่ไม่ถึง 10 คน และมีคนหนึ่งเป็นกะเหรี่ยง ไทยนะครับ เป็นหมอนวด รับสั่งว่าคนที่ตามเสด็จฯ เขาบอกว่านวดดีด้วย เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ละครับ เวลาพระราชทานให้สัมภาษณ์ว่าใครต่อใครสอบถามอย่างไร เราเห็นว่าทรงทำงานหนัก ทรงสอนหนังสือ
ทรงเปิดร้านภูฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนในชนบท
แต่ที่จะพูดวันนี้คือว่าท่านทั้งหลายรู้จักร้านภูฟ้านะครับ ไปที่ไหนก็เจอภูฟ้า เดี๋ยวนี้ไปที่บองมาร์เช่ก็จะเจอภูฟ้า ร้านภูฟ้า 11 สาขา ทำงานอะไรภูฟ้า ทำธุรกิจ หาเงินเดือนรายได้ แต่รายได้ย้อนกลับไป ต้องเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับว่า ทั่วประเทศเสด็จพระราชดำเนิน และทรงเห็นความทุกข์ยาก การไม่มีหนังสือการทำอะไร ผลิตอะไรต่าง ๆ ขายไม่ได้ ทรงรับมาหมด และเอาของวัตถุดิบที่เขาทำ ฝีมือเทียบกับศิลปาชีพยากครับ เพราะศิลปาชีพสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเอามาฝึกและมาทำกัน แต่อันนี้เขาทำเขาใช้กันอยู่อย่างไร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซื้อเลยครับ ซื้อ ๆ เข้ามา มากองไว้และมาดัดแปลงมาจัด เอาสินค้าซึ่งคุณภาพยังไม่ดี เอามาและมาทำคุณภาพให้ดี ทีนี้ถ้าทำอย่างนั้นตลอดไป มีใครจะซื้อไหมของพรรค์นั้น ไม่มีหรอกครับ ฉะนั้น ก็ทรงคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้ร้าน 11 ร้านที่ทำธุรกิจ ค่อย ๆ มีมา เริ่มต้นคนทำถวายถูกต้อง สถานที่ ถวายน้ำไฟเขาไม่คิด ร้านก็เปิดได้
ร้านภูฟ้าขายของอะไร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเก่งนะครับ ในต่างประเทศเขามีเสื้อที่เขาเรียกภาษาฝรั่งว่า Collection แปลว่าออกมารุ่นนี้ ๆ แบบนี้ ๆ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทำในสิ่ง ผมดูแล้วต้องเรียกว่าทรงเก่ง เพราะว่า Collection เสื้อของพระองค์ท่าน หลากสีออกมา สีหวานแหว หก เจ็ด แปด สี ทรงทำอย่างไร ทรงมีฝีมือในการเขียนรูป รูปนักษัตร ปีนี้หนู ปีที่แล้วหมู หนู ต่อไปต้องเป็นวัว ท่านทรงขายใน 1 ปีของพระองค์ท่าน เสื้อแบบนั้น เสื้อโปโล เสื้อ T-Shirt ต่าง ๆ นี่แหละครับรายได้จากการจำหน่ายของพวกนี้ และของกระจุกกระจิกอะไรที่ชาวบ้านเขาทำมา เอามาดัดแปลงปรับปรุงแล้ว เข้าไปอยู่ร้านภูฟ้า ทั้งหมดนี้คือธุรกิจที่เจ้านายทรงทำ ได้เงินก้อนมาที ทรงซื้อจักร 150 คัน เอาไปให้ชาวบ้าน แทนที่จะนั่งเย็บมือ ก็ได้เย็บจักร และทำงานฝีมือค่อย ๆ ดีขึ้น งานอย่างนี้ละครับคือเจ้านายพระองค์นี้ของเราเป็นเจ้าฟ้าในพระราชวงศ์ ทรงงานหนัก ทรงทำงานไม่เบื่อหน่าย ผมกราบบังคมทูลถามว่า ไม่ทรงเหนื่อยบ้างหรือพะย่ะค่ะ รับสั่งว่า ฉันชอบ รับสั่งว่าทรงชอบในการที่จะทำงานไม่เหนื่อย คำสุดท้ายบอกว่าก็ทำให้บ้านเมืองของเรา ทำให้ผู้คนประชาชนคนไทยของเรา ฟังแล้วต้องซาบซึ้ง
ทรงนำรายได้จากร้านภูฟ้ามาอุดหนุนการศึกษาในชนบท
ที่เอามาเล่าให้ฟังได้คือว่าอย่าลืมนะธรรมเนียมไทยเจ้านายรับสั่งอะไรจะไม่เล่า แต่ว่าเรื่องนี้ได้ของพระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้แล้วว่า ขอเก็บเอามาเล่าให้ประชาชนฟังหน่อย จะได้รู้ว่าภูฟ้า ทั้งหมดแล้วทั้งหลังปลายปีแล้ว บรรดาเสื้อ Collection ก็จะออกมาแบบปกติ ซื้อเสื้อฝรั่งได้ ซื้อยี่ห้อแบรนด์เนมได้ เสื้อของพระองค์ท่านก็ฝีมือดี ใส่แล้วรู้ว่าคนที่ใส่เสื้อตราหนู ตราวัว ต่อไปข้างหน้าจะได้รู้ว่าเงินไปไหน เงินไปช่วยคนไทยในชนบท เรื่องการศึกษา ผมจะต้องเจรจากับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทรงรับภาระเรื่องการศึกษาทั่วไปหมด สนพระราชหฤทัยจริง ๆ ที่จะให้คนในชนบทได้รับการศึกษา ไม่มีงบประมาณ ก็ทรงรับส่วนพระองค์ ผมก็บอกว่าจะทรงแบกไปได้นานเท่าไร ร้านภูฟ้าจะหาเงินได้เท่าไร ท่านจะเอาเรื่องการศึกษาไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายได้ คือแต่ละอันผู้ว่าราชการจังหวัดมีค่าปัจจัยใช้ ถ้าทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือจัดการเสร็จเลยว่าจะได้อุดหนุนการศึกษาในชนบทกันดาร ถ้าถูกต้องอย่างนั้นแล้ว แทนที่ว่าเจ้านายจะต้องทรงแบกเรื่องนี้ไว้ ก็ทำช่วย อย่างนี้ละครับ ทั้งหมดวันนี้เหมือนกับโฆษณาร้านภูฟ้าหน่อย แต่ว่าถ้าใครบางคนไปซื้อเสื้อยังไม่รู้เลยว่าซื้อมาแล้วทำอย่างไร ทั้งหมดในร้านภูฟ้าซื้อได้ แล้วเอาเงินกอง กำไรไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ มี แล้วเอาไปซื้อของไปช่วยคนที่เขายากไร้ในชนบทห่างไกลด้วย ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มานับหนนับแห่งไม่ถ้วน
เปิดนโยบายปราบปรามยาเสพติด 2 เม.ย.นี้
วันที่ 2 เมษายนจะมีงานอีกงานหนึ่งคือ 14.00 น.วันที่ 2 เมษายน วันที่ 1 เมษายนเป็นวันข้าราชการพลเรือน วันที่ 2 เมษายนจะเริ่มงานเกี่ยวกับปราบปรามยาเสพติด ต้องเริ่ม ครับ ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เราจะเริ่มจะทำ เมื่อสักครู่ก่อนเข้ามามีสุภาพสตรีมาร้องทุกข์เรื่องยาเสพติด และกระทบกับตำรวจเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมไม่บอกสถานที่ครับ เพราะผมรับปากเธอไว้ว่า จะช่วยดูแลให้ แต่ว่าที่ไม่ค่อยชอบใจคือว่าต้องฉุดต้องยื้อกันพอขอบใจก็วิ่งเข้ามาจะมากราบ ผมบอกไม่ได้ อย่า ต้องอบรมกันตรงนั้นว่าอย่าห้ามทำอย่างนี้ ผมจะไปดูแลให้
ชี้แจงสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์กรณีไปเดินตลาดที่สิงคโปร์
ถัดไปถึงเรื่องว่าอาทิตย์ที่แล้วไปไหน ความจริงอาทิตย์นี้ไม่ใช่อาทิตย์ที่แล้วหรอกครับ วันพุธ วันพฤหัสบดี 2 วัน ตอนไปสภาฯ ก็บ่น คราวหน้าวันพฤหัสบดีต้องไม่เดินทาง เดี๋ยวโดนบ่น ไปทำอะไร ไปทำหน้าที่ มีคนบอกว่าเลิกเดินทาง เขากำหนดไว้อย่างนั้น กระทรวงการต่างประเทศกำหนดว่า เกี่ยวกับอาเซียนของเรา 10 ประเทศ 9 ประเทศต้องมาก่อน เป็นนายกรัฐมนตรีเพิ่งเข้ามาหน้าตาไม่มีใครรู้จัก ก็ต้องไปแนะนำตัว ต้องเดินทางครับ ไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) กัมพูชา พม่า สิงคโปร์ ไปสิงคโปร์ก็มีนะครับแทนที่จะข่าวดีออกมา เขียนหนังสือว่ากล่าว หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ออกชื่อให้ด้วย ว่ากล่าวบอกว่าไปเดินเป็นพญาน้อยชมตลาด เขาเดือดร้อนกันหมด นักธุรกิจอะไร ร้องกันระเนระนาด นายกรัฐมนตรีไทยเป็นอย่างนี้ ก็มีเวลาอยู่ 3 ชั่วโมงตอนเช้า นั่งกินกาแฟอยู่โรงแรมตรงนั้น
ผมมีเวลาอยู่ 3 ชั่วโมงก็ถามเขาว่า มีไหมตลาด คือผมไปตลาดทุกแห่ง อินโดนีเซียยังไปเลย 5 ประเทศไปมาแล้ว 6 ประเทศ ไปทุกแห่ง แล้วทำไมสิงคโปร์จะไปไม่ได้ ผมอวดเขาไว้ว่าประเทศไทยมีตลาดอยู่ 200 แห่ง เอกชน 165 แห่ง ราชการ 50 กว่าแห่ง ของเรามีเรารักษาตลาดสดไว้ได้อย่างไรครับ ตลาดสดคือราคาของถูกของสด เขาเรียกว่า Fresh Market ก็จะต้องถามว่ามีไหม Fresh Market มาเลเซียจะมี ต้องเหมือนว่าไปตลาดไท ขับรถออกไปค่อนชั่วโมง นั่นแหละมาเลเซีย ในเมืองเขากวาดหมด แต่สิงคโปร์เขายังพอมี ถามตรงไหน ๆ มี ก็ไปดู แล้วเสียหายอย่างไร รู้ไหมพอผมไปตลาดสด คนเขียนว่าผม เยาะเย้ยถากถาง นักธุรกิจสิงคโปร์บอกว่าสนใจดูรายละเอียดนักนายกฯ เมืองไทย แล้วเป็นอย่างไรนายกฯ เมืองไทย มีเวลาว่าง 3 ชั่วโมงแวะไปดูตลาด เขายินดีอย่างยิ่งเพราะตลาดของเขาสะอาด เรียบร้อย เหมือนบองมาร์เช่ เขาขายของเขาเรียบร้อย ทำไมครับมันหนักอะไรใครอย่างไร
นายกฯ ไปเดินตลาด ผมไปถามราคาสินค้า ผมก็อธิบายความให้ฟังว่า ผมรู้ราคาสินค้าหมด รู้ว่าสินค้าแพงกว่าเรา 1 เท่า 2 เท่า 3 เท่า 4 เท่า แต่เงินเดือนมากกว่าเรา 10 เท่า นี่ยังเป็นประเด็นจะคุยอยู่ วันนี้เวลาคงจะไม่เหลือคุย เดี๋ยวจะปรับทุกข์ตอนท้ายหน่อย แต่ว่ามันประหลาดตรงนี้ว่า ผมคิดว่าผมไม่ได้ไปทำอะไรผิด แต่เขียนกระทบกระแทกแดกดันว่าผม นักธุรกิจสิงคโปร์ออกชื่อสิคนไหน คนไหนที่ว่านายกรัฐมนตรีไทยไปเดินตลาด ผมบอกเสร็จผมก็เทียบกับรายได้ ผมก็รู้ว่ารายจ่ายเท่าไร รายได้เท่าไร เขาอยู่ได้ไหม ไปบ้านใครถ้าเข้าไปในครัวเขาได้ เราก็รู้ว่าเขากินอยู่กันอย่างไร รู้ว่าเศรษฐกิจเขาเป็นอย่างไร อย่างง่าย ๆ เท่านั้นในพื้นฐาน ไม่ได้ ท่านต้องมาเขียนกระแนะกระแหน เขาชื่นชมผมไป ผมไม่ได้ไปตลาดเฉย ๆ หรอกครับ ผมแวะไปกินอาหารเช้านอกโรงแรม ผมไปกินบะกุเต๋ที่อังมอเกียว แล้วทำไมครับ เขตอังมอเกียวเขตของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง นายกฯ เขาถึงอาทิตย์หนึ่ง เขาต้องไปคุยกับประชาชนในเขตเลือกตั้งของเขา ของเขาผ่าเป็น 82 เขต รัฐมนตรีเขาต้องกลับไปและคุยกันที่เขต ส.ส.กลับไปคุยกับเขาที่เขต เขตละคน คนละเขต เขตนายกรัฐมนตรี ผมบอกบะกุเต๋ที่นั่นดีในอังมอเกียว ก็ไปนั่งกิน แล้วนายกฯ ก็ขอบอกขอบใจบอกว่าไม่ต้องไปหาเสียง พาท่านนายกฯ มา ที่นี่อร่อยที่นี่เขาดีเพราะเป็นน้ำใส ต้มในน้ำกระเทียมดอง ก็ธรรมดา พอถึงเวลา 10.30 น. ถึงจะเริ่มพิธีการที่จะไปพบอะไรต่าง ๆ มันเป็นอย่างไร อดไม่ได้ต้องมาเขียนกระแนะกระแหนว่ากล่าว ผมก็อดไม่ได้เหมือนกันถ้าคุณทำอย่างนั้นกัน ผมก็ต้องตอบ ถ้าคุณไม่เขียนถึงผม ผมก็ไม่ต้องพูดถึงคุณ เท่านั้นนะครับ
เจรจาซื้อก๊าซ LNG จากอินโดนีเซีย
ทีนี้ถัดไปไปถึงอินโดนีเซีย เขาทำอย่างไร ต้องเล่าให้ฟังหน่อยว่า แต่ละประเทศเหมือนกันคือเขาทำพิธี เขาต้อนรับ เขาอะไรต่าง ๆ เมื่อเวลาที่เราไปทำพิธีต่าง ๆ สิ่งแตกต่างที่ไม่เหมือนกันคือว่าไปประเทศนี้ได้พบอย่างนี้ ประเทศนี้อย่างนี้ พัวพันกับเราทั้งนั้นครับ นี่ 6 ประเทศ ทั้งหมดมี 9 ประเทศ รวมเป็น 10 ประเทศทั้งเรา มาถึงค่อนทางก็รู้แล้วว่าเขาญาติดีกับเรา เขาญาติดีกับเราอย่างไรครับ ต้องเล่าอินโดนีเซีย ประเทศเขาเป็นเกาะยาวเหยียด และเมื่อได้พบกับท่านประธานาธิบดี ดร. ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน (Susilo Bambang Yudhoyono) ก็ได้คุยกันได้แลกเปลี่ยน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นคนมาประจำตัวผม ก็นั่ง ก็คุยและได้รับความรอบรู้ต่าง ๆ ได้รู้ปัญหา ได้พบกับทีมไทยแลนด์ก่อน และได้คุยกับประธานาธิบดี ได้สนทนา เรื่องที่เขาจัดไปต้องพูดกัน มีปัญหาเจรจา ถูกต้องครับ ฟังว่าเหมือนไปแนะนำตัว ไปวันนี้รุ่งขึ้นกลับ แต่ว่าทำงานตลอด คือ ต้องเจรจาความมีปัญหา ผมจะเรียงแถวให้ว่าเราอยากจะซื้อก๊าซ LNG ต้องซื้อก๊าซล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ก๊าซเหลวนะครับ ต้องซื้อต้องเจรจาเขา อังกฤษเป็นคนผลิตคนขุด แต่อินโดนีเซียเป็นคนดูว่าให้ขายใครได้อย่างไรไหม แต่ราคาเขาขายแล้วเขาแบ่งกัน ฉะนั้นอินโดนีเซียเขาก็เหมือนเราคือมีทรัพยากรมากมาย แต่เมื่อก่อนเราต้องจ้างคนอื่นมาขุด เดี๋ยวนี้เราเก่งเราขุดเองแล้วไปจ้างคนอื่นขุดด้วย แต่ที่อินโดนีเซียนั้นเขายังไม่มีทีมขุดเอง คนอื่นมาจ้างขุด เป็นสัมปทานหมด คนอินโดนีเซียใช้น้ำมันราคาเดือดร้อนเหมือนไทยเหมือนกัน ขึ้นไป 104, 107 ก็ต้องแพงกับเขาเหมือนกัน
ไทย-อินโดนีเซียร่วมมือกันด้านความมั่นคงทางอาหาร
ทีนี้ทำอย่างไร เมื่อเวลาที่เราเจรจาความพูดจากัน ท่านประธานาธิบดีบอกว่าขอให้ถืออย่างนี้แล้วกันว่า เรื่อง Energy Security ความมั่นคงทางพลังงาน อินโดนีเซียจะดูแลให้ประเทศไทย และขอตรงที่ว่า Food Security คือความมั่นคงทางอาหาร อินโดนีเซียก็หวังจะพึ่งประเทศไทย เห็นไหมครับเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยถ้อยแลกเปลี่ยน เราไปขอซื้อเขาก็ขายไม่ขัดข้องเลย มีอะไรอย่างไร ถูกต้องครับ เขาไม่ได้เป็นเจ้าของตรง เพราะว่าถูกสัมปทานหมด แต่เขาเป็นคนว่าให้ขายใคร หรือไม่ขายใคร อย่างนี้เขาตกลงและเขามีคนกี่คน 249 ล้านคน เรามี 63 ล้าน แต่เราขายอาหารทั่วโลก ทำไมจะขายอินโดนีเซียด้วยไม่ได้ ถ้าเราอยากได้น้ำมันของเขา ยังจะจับปลากับเขา ทำไมเราจะบอกไม่ได้ เรามีข้าวอยู่ 2 ล้านเวลานี้ ก็ไม่ได้อวดเขา 2 ล้าน แต่เขาอยากได้แสนถึงสามแสน ช่วยพิจารณา บอกพิจารณาได้ อย่างนี้ต้องรับปากได้ทันที ราคาบอก ราคายุติธรรมเพราะเราต้องการแลกกับอะไรครับ ต้องการแลกกับปุ๋ย ประเทศเราปุ๋ยขึ้นราคา อภิปรายกันบ่ายโมงครึ่งถึงสี่ทุ่ม ปุ๋ยตลอด เรารู้ว่าปุ๋ยราคาแพง แต่ที่นั่นราคาเขาไม่แพง มีทั้ง N - P - K เขาผลิตน้ำมัน เขาต้องมีปุ๋ยมีตัว N - P - K มีหมด ขายได้ ราคายุติธรรม ของเราแพงบ้าเลือด มันแพงขึ้นไปบ้างเพราะน้ำมันราคาแพง ตัว N ก็ต้องแพง เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ตกลงกันว่า เจรจากับบริษัทขายปุ๋ย บอกว่าที่กรุงเทพฯ เรากำลังดำเนินการอยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังดำเนินการเรื่องนี้ เราก็บอกให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังช่วยดู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ช่วยเจรจา เช็คสต็อกหมดเลย เอาเรื่องกันก่อนเลยว่าใครจะขึ้นราคา ก็คุยกันเรื่องปุ๋ย เรามีข้าวเป็นหลัก ก็บอกว่าถ้าเผื่อเราขายข้าวให้เขาได้ เขาก็ขายปุ๋ยให้เราได้ ราคาต่ำ และข้าวต้องราคายุติธรรม
ร่วมมือด้านประมงกับอินโดนีเซีย
ปัญหาว่าเขาบอกว่าปลาเก่ง อินโดนีเซียภูมิศาสตร์ของเขาเรียกว่า Emerald Belt เข็มขัดมรกต เริ่มตั้งแต่เกาะสุมาตราใหญ่ตรงอาเจะห์ ยาวไปถึงติมอร์ นั่งเครื่องบินหลายชั่วโมง ถ้านับพื้นที่น้ำรวมด้วย 5 ล้านกว่าตารางกิโลเมตร เป็นเมืองที่เรียกว่าเขาโชคดีกว่าใครในโลกครับ แต่เขาก็โชคร้ายภูเขาไฟเยอะหน่อย แต่เขาอยู่ของเขา เกาะชวาเล็ก ๆ อยู่ 100 ล้านคน ใหญ่ ๆ มหึมาอยู่น้อย แล้วเกาะมากมายก่ายกอง เรียนหนังสือไป แต่ก่อนจำได้เลย 13,800 กว่าเกาะ แต่พอไปถึงเดี๋ยวนี้ 15,000 เกาะ เกาะที่มีคนอยู่ 6,000 เกาะที่ไม่มีคนอยู่ที่เหลือ อย่างนี้การเพาะปลูกอะไรต่าง ๆ ที่ดินมากมายก่ายกอง ปลาก็อยู่ แต่ก่อนเราตีตั๋วไปจับปลาเขา อินโดนีเซียบอกว่าไม่ไหวอย่างนี้ อินโดนีเซียก็ให้คนไปจับปลา เขาอยากให้คนเขาจับปลาเป็น เขาอยากให้เราแปรรูปสินค้าปลาได้ไหม บริษัททางไทยถามกันก่อนไป เขาบอกทางโน้นไม่มีฝีมือไม่มีราคา ไม่มีนักธุรกิจที่ทำเรื่องอย่างนี้ ทำอย่างไร ก็ไปตามเกาะ จับแล้วขึ้นไปตามเกาะ ไม่มีประปาไม่มีไฟฟ้า ผมบอกอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วเกาะที่มีคนอยู่ไม่มีหรือ มี แต่ต้องเดินทางจากที่จับเข้ามา ก็ได้ ก็เดินจับมา ประเทศไทยยังเอากลับมาได้ ทำไมกลับเข้าไปประเทศเขา สุดเลยก็สุราบายาเมืองที่ 2 จากกรุงจาการ์ตา บอกว่าไปตั้งโรงงาน สมุทรสาครตั้งโรงงานเต็ม ไม่มีปลาเข้ามาทำ ก็ไปตั้งที่เขาและเอาคนงานของเขา และจับปลาเขาได้เอาไปเข้าโรงงานก่อน ได้มาอย่างนี้ เขาไม่มีความสามารถเราไปทำ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่เอาเขามาร่วมหน่อย เพื่อเท่ากับตีตั๋ว เป็น Joint Venture เขาเข้าไปจับปลา เขาอยากจะเรียนก็ลงเรือมาด้วยกัน เป็นเจ้าของธุรกิจจับพร้อมกัน ปลาทั้งหมดที่ปาปัว ปลามากมายก่ายกอง จับแล้วก็เดินทางเข้าประเทศเขายังใกล้กว่า เขาเอาปลาไปขึ้นที่สุราบายา ครึ่งหนึ่งทำเป็น Freeze Processing อีกครึ่งหนึ่งเขาเรียก Re-Export ส่งกลับมาเมืองไทย โรงงานเมืองไทยจะได้ใช้ปลาครึ่งหนึ่งที่เอามา ท่านประธานาธิบดีอย่างนี้ตกลงไหม ท่านประธานาธิบดีบอกอย่างนี้ตกลง เห็นไหมครับท่านยังจะจับกับเขาข้างเดียว ก็ไปบอกเกาะโล้น ๆ ไม่มีน้ำไม่มีไฟทำไม่ได้ แต่ว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีไปคุยกับประธานาธิบดี นี่แหละครับไปทำงานให้บ้านเมือง ไปทำงานเจรจาความ เขาก็ตกลงกันตามนี้
พบปะนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจอินโดฯ
ที่น่าชื่นใจ ที่นั่นมีคนอยู่ 800 คน นักเรียน 500 คน นักเรียนมาคุย นักเรียนถามสุภาพเรียบร้อย อย่างนี้แสดงว่าเขาสอนดี เขามีมุสลิมสายกลางอยู่ 2 กลุ่ม เขาช่วยงาน อินโดนีเซียเขาช่วยการเจรจาทางใต้ของเรา คุยกันเรื่องนี้เรื่องอะไรต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่น่าชื่นใจคือได้พบนักธุรกิจไทย เขาก็มาร่วมมา นักธุรกิจเขามา 20-30 คน ไทย 20 คน มีคนมาสังเกตการณ์ร่วมร้อย คุยกันเรื่องธุรกิจไทยไปทำ บางบริษัทไปอยู่ 41ปีแล้ว ทำธุรกิจที่โน่น เขาเล่าให้ฟัง เวลานี้ผลิตกุ้งขาวใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อินโดนีเซีย ธุรกิจของไทยครับ ปลูกข้าวโพด 1 เฮกตาร์ 100 คูณ 100 ที่อื่นเขาใช้กัน เราไม่ได้ใช้ เราใช่ไร่ บางคนใช้เอเคอร์ 1 เฮกตาร์คือ 100 เมตร คูณ 100 เมตร แต่ก่อนปลูก 1 เฮกตาร์ได้ 2 ตัน ต่อมาได้ 4 ,6 เดี๋ยวนี้ได้ 8 ตันครึ่ง แล้วเอามาไม่ขายนะครับ เป็นข้าวโพดพันธุ์ให้คนทั้งโลกซื้อเอาไปปลูก เจ้าของธุรกิจเป็นไทย งานอะไรอื่น ๆ นั้นบางคนไปปลูกปาล์มน้ำมัน ไปปลูกอ้อย ทุกอย่างนั้นเราไปใช้แผ่นดินเขา ธุรกิจของเราเขาให้สัมปทาน นี่ไงครับเพื่อนบ้าน อย่างนี้ครับนายกรัฐมนตรีไปคุยกับประธานาธิบดีทำความเข้าใจกัน ท่านประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เห็นแล้วนึกถึงท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเป็นหัวหน้าพรรคเล็ก แต่ว่าท่านเป็นคนมีศักยภาพ ท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาล พรรคโกลคาร์เสียงข้างมากในสภา แต่ว่าหาคนเป็นประธานาธิบดีไม่ได้ ต้องเอาคนพรรคเล็กมา ท่านก็เก่งครับ เพราะฉะนั้น เมื่อพูดจากันเข้าใจกัน คำหนึ่งที่ว่า ไม่ได้มาเขียนหยอดย้อยอะไรต่าง ๆ แต่ประธานาธิบดีท่านใช้ก่อน ท่านบอกว่าขอต้อนรับวันนี้ ไม่ได้ขอต้อนรับในแบบคนอื่นที่ไหน เพราะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่อะไรนักหนา ผมไม่ได้นับญาติกับท่านหรอกครับ Family เดียวกันคือเป็นอาเซียนด้วยกัน เขาถือว่าอยู่ในตระกูลอาเซียน ทุกอย่างการพูดจา การอะไรต่าง ๆ ไม่มีหรอกครับ ท่านถามโน่นถามนี่
แนะอินโดฯ หาเกาะสร้างโรงงานนิวเคลียร์
สุดท้ายอยากเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์นั่งรถเข้าเมืองจากเครื่องบินทหาร เขาบอกเขาเป็น Non Panisian คือเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ดัง เป็นนักวิชาการ และรัฐบาลชวนก็เป็นรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ ขอถามผมหน่อยปีหน้าจะเลือกตั้ง บอกอินโดนีเซียถึงอย่างนี้บอกไปน้ำมันก็หมด ก๊าซก็หมด เราต้องคิดว่าจะต้องทำนิวเคลียร์ ถามว่าท่านอยู่พรรคการเมือง ท่านทำอย่างไรนิวเคลียร์ บอกนี่ทั่วโลกนะครับ ผมก็อธิบายบอกว่าทั่วโลกกลัวกันอย่างนี้ แต่ว่านโยบายของผม สุภาษิตประจำตัวผมคือความกลัวทำให้เสื่อม ถ้ากลัวไปก็ไม่ได้พัฒนาไม่ได้อะไรต่าง ๆ ผมก็บอกว่าคำอธิบายของผมคือ ตัดสินใจเห็นด้วย ใครจะสร้างบอกสนับสนุน เตรียมการหมด ต้องใช้ 12 ปี เตรียมการเลยครับ ถึงปีที่ 12 ยังกลัวอยู่ ก็ไม่ต้องใช้ แต่ว่าจำเป็นต้องใช้สร้างได้ทันที ไม่กี่เดือนใช้ได้ทันที ต้องเตรียมการ ต้องตระเตรียมหมด ผมบอกว่าบ้านผมมี 76 จังหวัด เขียนรัฐธรรมนูญเดี๋ยวนี้จะต้องฟังเสียงอย่างโน้นอย่างนี้ ผมบอกดูแล้วเหมือนกับทำไม่ได้หรอกครับ 76 เขาค้านกันหมด เขากลัวกันหมด ผมบอกว่าจะต้องไปหาที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ห่าง ๆ ตั้งเป็นจังหวัดที่ 77 และตั้ง 2 คน ผู้ว่า 1 คน รองผู้ว่า 1 คน เท่านั้นเองไม่มีประชากร เสร็จแล้วมาโหวต จังหวัดนี้อนุญาตให้สร้างได้ อย่างนี้ก็ดำเนินการได้ เตรียมการทั้งหมด 12 ปี ถึงเวลายังกลัวอยู่ก็เลิก ไม่ต้องทำ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่กลัวตอนนั้นไม่มีน้ำมันแห้งหมดแล้ว ก็ต้องเดินเครื่องเท่านั้นเอง
ผมบอกท่านว่าในประเทศในโลกทั้งหมด อินโดนีเซีย 15,000 กว่าเกาะเป็นประเทศที่เหมาะจะสร้างนิวเคลียร์ที่สุด ตรวจสอบดูว่าเกาะไหนอยู่ห่างไกลไม่ได้อยู่ในเส้นภูเขาไฟ ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนดูประวัติ เลือกเกาะนั้นเลยไม่มีคนอยู่ สร้างเลยครับ บอกดำเนินการได้เลยอย่างนี้ เหมาะที่สุด ท่านรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์คุยกับผมในรถ ประเดี๋ยวเดียวบ่าย ๆ ท่านประธานาธิบดีท่านฟังรายงานกันแล้ว ท่านบอกไม่น่าเชื่อที่คิด ผมบอกของผมเกาะจริง ๆ หายาก แต่ของท่าน 15,000 กว่าเกาะ เลือกเส้นไหนที่อยู่นอกเคลื่อนไหวของภูเขาไฟ ที่ปลอดภัยมาตลอด 100 ปีไม่มีกระทบกระเทือน เขาจังหวัดนั้นละครับสร้างเลย สายเคเบิ้ลโยงขึ้นมาเลย อย่างนี้ก็เล่าให้ฟังไว้
เดินทางไปต่างจังหวัด
จะต้องคุยกันถึงเรื่องอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเล่าอย่างเดียวหมด เมื่อเวลาที่เราทำงานอย่างนี้ รายการอย่างนี้คือรายการที่หัวหน้ารัฐบาลมีโอกาสจะสื่อความกับประชาชน มีคนเขียนหนังสือกระแนะกระแหนไม่ทำอะไร ยกย่อง ทีนี้ยกย่องนายกฯ ทักษิณนะครับ นายกฯ ทักษิณเที่ยวเดินทางไปโน่นไปนี่แล้วกลับมาเล่าให้ประชาชนฟัง ทำงานอย่างไร แล้วนึกว่าผมไม่เดินทาง เป็นทำนองผมบอกเพียงแต่พูด ๆ ไม่ทำ ก็ 35 คนครับ ช่วยกันทำ ผมก็ทำ แต่ผมไม่ต้องการให้ใครไปเที่ยวเดินตามผม ผมไปต่างจังหวัด ผมก็ไม่เอาช่างภาพ สื่อสารไป ช่างภาพยังไม่ได้เลย นอกจากท้องถิ่นรู้ก็มาถ่าย และส่งผ่านอินเทอร์เน็ตมา นั่นละได้รูปผมไปทำกับข้าว แต่ผมไม่ได้ทำกับข้าวอย่างเดียวหรอกครับ ผมไปผมก็ไปดู ไปโน่นไปนี่
เมื่อวานนี้ผมไปทำเชงเม้ง ไม่มีใครเลยครับเพราะผมไม่บอก เจ้าของค่ายเท่านั้นเขารู้ คุณลุงผมทำมาตลอด ผมทำมา 40 กว่าปีแล้ว ผมก็ไปทำเพราะว่าคุณลุงให้มรดกไว้ บอกให้ช่วยทำ ให้น้องชายทำ น้องชายไม่อยู่ ผมก็ทำ ผมก็ยังไปทำของผม 43 ปี ตอนไปเรียนหนังสือเมืองนอกเท่านั้นที่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ผมทำ และผมก็ไปของผม เมื่อวานผมไป มีผู้บังคับการค่ายเท่านั้นครับ ท่านมาทำวันทยหัตถ์ ผมบอกขอบคุณเจ้าของค่าย เพราะฮวงซุ้ยอยู่ในค่าย เท่านั้นครับ ผมทำเสร็จแล้วผมก็ตระเวนดูที่โน่นที่นี่ ดูว่าเมืองจันทบุรีนั้นเขาต้องการอะไรอย่างไร ผมรับเรื่องราวร้องทุกข์จากพรรคพวกมาส่งเอกสารให้ รปภ.ก็ไม่ไป ผมไปรถของผมคันเดียว เท่านั้นเอง แล้วผมก็แวะกินข้าวและขับรถกลับ ผมก็กลับบ้าน
นี่ครับผมไปทำงานของผม แต่ว่าผมมีรายการมาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ก็บอกว่าเอาแต่มานั่งพูด ๆ ไม่ทำอะไร เขาบอกว่าวันธรรมดาวันหยุดไปตรวจราชการ บางคนเขียนบทความขอให้เลิกซะเถอะรายการทำกับข้าว ไม่ดีมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ผมบอกคนเรานี่ประหลาด ไม่ชอบความจริง รัฐมนตรีของผมวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เขาก็ไปตีกอล์ฟกัน เขาก็พาลูกพาเมียไปวันอาทิตย์วันครอบครัว ไปไหนมาไหน ไม่เป็นไร ตีกอล์ฟเช้าถึงค่ำไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าไม่มีใครกระแนะกระแหน แต่นายกรัฐมนตรีมีรายการทำกับข้าว บันทึกเทปวันเสาร์ 4 ชั่วโมง เสาร์เดียวเท่านั้น 4 ชั่วโมง แล้วออกอากาศ 1 เดือน ถามสิครับว่าเป็นอย่างไรครับ เขียนบทความจะให้ได้ จะให้เลิกให้ได้ เป็นการใช้เวลาราชการไปหากิน ทำไมคิดอะไรอย่างนั้น ผมทำวันหยุด จะออกอากาศก็ออกอากาศวันหยุด อะไรกันนักหนา
สื่อถามคำถามเรื่องปฏิวัติ
แต่จะเล่าให้ฟังเรื่องนี้ มีคนบอกว่ามาทำรายการเที่ยวพูดถึงคนนั้นคนนี้ ผมอยากเรียนถามว่า แล้วถ้าคนอื่นเขาพูดถึงผม แล้วผมบอกผมทำอันนั้น ผมไม่ตอบ ผมจะทำงานทำการผมไม่ตอบ และประชาชนทั้งประเทศนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ นั่งดูโทรทัศน์ นั่งฟังวิทยุ และนายกรัฐมนตรีนั่งทำงาน แล้วเกิดอะไรขึ้นอย่างไร ผมจะให้ดูตัวอย่างนะครับว่าการจุดชนวนนี่คนทำมาหาข่าวนี่ อยากได้มาพูดจา พอเราพูดจาไปนั่น พอแหยมเข้าไปหน่อยเท่านั้นละครับ ฟังให้ดีนะครับ เริ่มต้นผมเป็นคนจุดชนวนพูดมาก่อนครับ เรื่องปฏิวัติรัฐประหารบ้าบออะไรนี่ วันศุกร์ให้สัมภาษณ์ก็มาถามว่า วันอังคารถามก่อนว่ามีข่าวว่ามีใบปลิวมาแจกจ่าย เรื่องอะไรต่าง ๆ ผมบอกว่ามีคนส่งใบปลิวมาให้ผม ผมดูใบปลิวแล้ว ผมเห็นว่ามี ผมก็อธิบายให้ฟังว่ามีคนยังคิดกันอยู่ คนพวกหนึ่งยังคิดยังซ่องสุมประชุมกันอยู่ คนนั้นคนนี้ ก็ตามรายงานข่าวเป็นอย่างไร เพื่อต้องการที่จะไม่อยากมีรัฐบาลนี้
พอถึงวันศุกร์มาถามว่าเกี่ยวข้องกับทหารไหม บอกว่าไม่มีทหารไม่เกี่ยวข้อง ผมบอกชัดเจนว่าทหารไม่เกี่ยวข้อง เขาถามมาเอง ไป ๆ มา ๆ ใช้วิธีไล่ต้อนผม ตกลงได้ใบปลิวมารู้แล้วใช่ไหมมาเป็นใคร พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข่าวน่ะตัวเป็นคนจุดชนวนถามเอง ไปตอบคำถามว่ารู้แล้วก็บอกให้ว่ามีคนคิดอยู่ แล้วไม่ใช่ทหารที่จะทำปฏิวัติ มีคนคิดว่าอยากจะให้มีปฏิวัติ พูดแค่นั้นเอง ดูนี่ “สมัครปูดขบวนการจ้องปฏิวัติ มีชาร์ตรายชื่อครบ...” ดูคนนี้ “สมัครปูดกลุ่มล้มรัฐบาลไม่เลิก คิดปฏิวัติอีก จ้องป่วน ล่อกองทัพออกมา...” นี่ผมพูดหรือครับ ผมพูดชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับทหาร ก็ยังจะบอกอย่างนั้น ดูคำนี้สิครับ “หมักจุดไฟปฏิวัติ ! ...” นี่หนังสือพิมพ์ไทยนะครับ ชื่อไทยโพสต์ ต้องถามว่าอย่างนี้บ้าหรือเปล่า มาถามข่าวแล้วบอกว่ายังมีคนคิดกันอยู่ ไม่ใช่ทหาร เท่านั้นไม่ได้หรือ ดูอันนี้ “ธุรกิจช็อกปูดปฏิวัติ...” ผมจะถามว่านี่บ้าอะไรกันขนาดนี้ครับ นี่วงการสื่อสารมวลชนนะครับทำกันอย่างนี้ นี่มาเมื่อเช้าทันสมัยนะครับ “จี้หมักล่าไอ้โม่งล้มรัฐบาลจับเท็จปฏิวัติ ปชป.ฮึ่มอย่าทำเฉยผิดรัฐธรรมนูญ” เห็นไหมครับ ดูครับ ไทยโพสต์มาอีกวันนี้เช้า “หมักเลี้ยงแกะปฏิวัติ” ลุ้นออกทีวีตีหน้าเศร้าเล่าความทุกข์ วันนี้หน้าเศร้าหรือครับ เล่าความทุกข์เป็นเรื่องที่ผมจะคุยตอนท้าย ว่าทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ยังไม่ทันได้เล่าเลยครับ นี่มาแล้ว “ลุ้นออกทีวีตีหน้าเศร้าเล่าความทุกข์“ “จับตาทักษิณ นายกฯ ตัวจริงมาแล้ว” เป็นทำนองสถานการณ์อย่างนี้นายกทักษิณต้องกระโดดเข้ามาด้วย นี่บ้าอะไรกันอย่างนี้ครับ มีคนสั่งสอนผมว่าอย่าไปพูดจาว่ากล่าวอะไรเขา แต่มันสุดกันอย่างนี้ถ้าท่านเป็นผมท่านจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่ความทุกข์ของผมนะ ความทุกข์เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนท้าย
มีกลุ่มบุคคลอยากให้มีการปฏิวัติแต่ไม่เกี่ยวข้องทหาร
นี่เป็นเรื่องมาถามว่ามีข่าวว่ามีการแจกใบปลิวผู้คนอย่างโน้นอย่างนี้ ผมก็บอกว่าผมก็ได้รับมีคนส่งไปให้อ่านในคณะรัฐมนตรี ใส่ซองไปให้ เท่านั้นละครับ อ่านแล้วไปพูดกับเขาได้ว่ารายละเอียดได้ไหม ไม่ได้ เพราะอะไร ก็มันขุดหลุมล่อกันไว้อย่างนี้ จุดถามด้วยอันนี้เท่านั้นเอง แล้วก็ล่อไปล่อมา ขนาดที่ปรึกษา (นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) มาเลยทันที จะล่อผม นี่จี้แล้ว ทำไมคิดกันได้เท่านี้ มีสติปัญญาจะช่วยดูแลบ้านเมืองกันอย่างนี้หรือครับ แล้วที่ผมไปทำงานทำการ ผมเล่าให้ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่าง ๆ กำลังช่วยกันทำตัวเป็นเกลียว บ้านเมืองก็ลุกคลุกคลานเพิ่งจะเงยหัวขึ้นกำลังทำงานเดี๋ยวนี้ เอากันแล้วหรือครับนี่ น่าเสียดายจริง ๆ ครับ คนดีมีสติปัญญาไม่พูดจาอะไรดูให้ผมทำงานสักพัก ถ้าทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงอะไรอย่างไรก็ยังไม่ว่า นี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลยครับ มาคุย ผมต้องตำหนิคนทางสื่อสารมวลชน ต้องไปหมั่นสัมมนากันหน่อยครับ เอากันแบบนี้ละครับ มาถามว่าได้เห็นว่ามีคนแจกใบปลิว มีอะไรอย่างไร บอกผมไม่ได้รับใบปลิว แล้วคุยอย่างนี้พูดชัดเจนว่าไม่ใช่ทหาร มีคนเขาคงอยากจะให้ปฏิวัติ แต่ไม่ใช่ทหาร เขาไม่ได้เกี่ยวข้องเลย พูดชัดเจนเลย ไปถามทหาร ก็ทหารเขาไม่เกี่ยวข้องแล้วจะไปถามเขาทำไมครับ ไปถามผู้บัญชาการทหารบก ผมต้องพูดเรื่องนี้ครับ แล้วเขาบอกว่าออกทีวีไม่ทำอะไร ส่ายตาหาศัตรูเพิ่ม ศัตรูพูดจาอย่างนั้น ผมจำเป็นต้องพูด
เรียกร้องหนังสือพิมพ์ที่กล่าวหาหน้าห้องนายกฯ ทุจริตนำหลักฐานมาให้นายกฯ ภายใน 3 วัน
ผมจะบอกให้ฟัง โปรดดูตรงนี้ ผมทำงานตามกฎหมายคือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 เริ่มรับ ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วก็นับวันนั้น 6 กุมภาพันธ์ — 6 มีนาคม นี่ยังไม่ 6 เมษายน ยังไม่เต็ม 2 เดือนเลยครับ ดูนะครับแวดวงรอบกรุง “ มาถึงวันนี้ครม.ขี้เหร่ของรัฐบาลสมัคร 1 ชื่อสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคุยโวว่าทำงานได้ กำลังแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นหลายคน และยังไม่รวมถึงคนแถวหน้าห้องนายกสมัครบางคนที่เริ่มแสดงสันดานชั่วออกมาให้เห็น ด้วยการติดต่อเรียกร้องผลประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ แบบไม่ละอายต่อฟ้าดิน ตรวจสอบดูเถอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ให้ถูกมองว่ารัฐบาลนี้อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม และรัฐมนตรีรวมถึงเลขากับผู้ติดตามอาจจะต้องกระเด็นจากตำแหน่ง จึงต้องรีบสวาปามผลประโยชน์ต่าง ๆ กันไว้เนิ่น ๆ พี่น้องชาวไทยเตรียมใจสวดมนต์สาปแช่งไว้ได้ล่วงหน้าเลย ถ้าเป็นเช่นนั้น กลายเป็นรัฐมนตรีที่ถูกมองว่าลุแก่อำนาจสำหรับจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็พูดจาก้าวร้าวเกินตัว แถมยังแสดงธาตุแท้ที่จะเล่นงานพวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่แยแสใคร ผู้เจนเวทีการเมืองมองท่าทีน่าสงสารและเวทนา” รัฐมนตรีฯจักรภพฯ เดี๋ยวเขาจะได้ชี้แจงแก้ตัวของเขา แต่นายกรัฐมนตรีสมัครได้อย่างไรครับ
ผมบอกว่าภายใน 3 วัน ถ้าหนังสือพิมพ์ผมได้ออกชื่อฉบับที่เขียนอย่างนี้ไม่ส่งเอกสารการที่ไปเรียกร้องทุจริตให้ผม ผมจะถือว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เสนอความเท็จ เอาความเท็จสาดใส่คนอื่น เขียนกันได้ตามใจชอบ แต่ก่อนคุณเขียนไป คนที่ถูกเขียนถึงไม่เสียหาย แต่บัดนี้คนที่เขียนถึงไม่ยอมแบบนี้แล้วครับ คุณว่าผมมาอย่างนี้ ผมต้องบอก ใน 3 วันผมจะรอ ส่งที่ทำเนียบรัฐบาล เอาหลักฐานที่คนหน้าห้องผมไปเที่ยวรีดไถใครต่อใครเอามาเลยครับ ทำงานยังไม่ทันจะ 2 เดือนยังไม่ทันจะชนเลย โครงการยังไม่ทำเลย งบประมาณก็ยังทำอะไรไม่ได้ กำลังดำเนินการ กล่าวหาว่าแล้ว ไหวไหมครับอย่างนี้ เขียนหนังสืออย่าไปเขียนพูดจาวกวน เขียนอะไรอย่างไร อ่านให้ฟังว่าเขียนหนังสือไม่เข้าท่า ท่านดูอย่างนี้ครับ “เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลนี้อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม และรัฐมนตรีรวมถึงเลขากับผู้ติดตามอาจจะต้องกระเด็นจากตำแหน่งจึงต้องสวาปามผลประโยชน์ต่าง ๆ กันไว้แต่เนิ่น ๆ พี่น้องชาวไทย...” แล้วตกลงอย่างไรครับ ตกลงนี่โกงหรือยังครับ แล้วคนนี้เขารู้แล้วหรือครับว่าเขาจะอยู่ไม่ได้นาน คนเขียนรู้หรือครับว่าเขาจะอยู่ไม่ได้นาน รู้หรือว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้จะอยู่ไม่ได้นาน เขียนเองเดาเองเออเองทั้งนั้นเอง สำนวนการเขียนก็ใช้ไม่ได้ ผมจะบอกให้ฟัง ถ้าคนอ่านไม่มีวิจารณญาณอ่าน ๆ ไป ก็บอกคนเลวต่าง ๆ เข้ามา เห็นไหมครับ ต้องพูดอย่างนี้ เดี๋ยวจะได้ตอบคำถามตอนท้ายหน่อย
เล่าถึงทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ให้ประชาชนฟัง
“ทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่” อย่าลืมครับ หัวข้อสารคดีของผมวันนี้คือทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ หน้าเก่าเป็นอย่างไร หน้าเก่าก็อยู่นาน ๆ ครับ อยู่มา 10 ปี 15 ปีอย่างนั้นหน้าเก่า อยู่ติดต่อกัน 5 — 6 ปีก็หน้าเก่า อยู่กันไปนาน ๆ สัก 2 ปีก็ยังถือว่าหน้าเก่า แต่ผมอยู่ยังไม่ชน 2 เดือนก็มีความทุกข์ เมื่อเช้าอาจารย์สุขุม นวลสกุล ช่อง 3 บอกว่าขอดูหน่อยจะมีทุกข์อะไร เป็นความทุกข์ที่ผมต้องเอามาปรับทุกข์ ไม่มีปัญหาอื่นหรอกครับ เป็นทุกข์ที่อยู่ในใจผมและผมจะชวนท่านผู้ฟังได้ลองฟังความทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ซึ่งคนเป็นนายกรัฐมนตรีเขาก็ว่ากลายเป็นบุคคลสาธารณะ ใช่ไหมครับ ใครจะดุด่าว่ากล่าวตบตีอะไรได้ทั้งนั้น ผมก็บอกคงไม่ได้ทุกอย่างหรอก
การขาดสิทธิเสรีภาพส่วนตัวเป็นทุกข์อย่างหนึ่งของคนเป็นนายกรัฐมนตรี
มีคนบอกนายกรัฐมนตรีไปไหนมาไหนต้อง รปภ.(รักษาความปลอดภัย) ผมบอกอยู่ดี ๆ อยู่เฉย ๆ มาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียสิทธิเสรีภาพส่วนตัว จะไปนั่นคนเป็นรถ คุมรถหน้ารถหลัง ผมว่าไม่เอา เพราะผมต้องการไปเดินตลาดของผม ผมต้องไปซื้อกับข้าว ผมต้องไปคุยกับราษฎร ผมไปต่างจังหวัดผมก็ไปของผมคันเดียว แล้วเป็นอย่างไร ไม่ได้เดี๋ยว รปภ. เขาเดือดร้อนอย่างโน้นอย่างนี้ คุมกันแจคุมหัวคุมหาง ไหวไหมครับ แต่ผมยังขอบคุณ รปภ.อย่างเดียวกำลังนี้ที่ยังดูแลอยู่ข้างนอก ตามช่องทางต่าง ๆ ถ้า รปภ. เขาต้องเข้าไปถ่ายอุจจาระกับผมด้วยจะทำอย่างไรกัน นี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ พูดจริงครับ ฉะนั้นนี่ก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของคนเป็นนายกรัฐมนตรี คือ รปภ.กันจนเกิดเหตุเลยเหมือนกับเป็นเกียรติยศชนิดหนึ่งต้องเอามาแบกใส่บ่านายกฯ ไว้ คนเป็นนายกฯ ไม่มีอิสรเสรีภาพ ผมเป็นนายกฯ ที่ผมต้องการอิสรภาพของผม ความปลอดภัยใคร ๆ ก็กลัวตายกันทุกคน ไม่ใช่ผมไม่กลัวตาย แต่ว่าเอาการป้องกันมาใส่แอบไว้กับผม ๆ ไม่ชอบอย่างนี้ นี่เป็นทุกข์ข้อหนึ่ง
แต่ว่าทุกข์ยิ่งกว่านั้นคืออะไรครับ เขากำหนดไว้เลยครับว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีจะพูดจาอะไรอย่างที่ต้องการพูดไม่ได้ ผมเป็นคนช่างพูดช่างคิด บางทีแม้แต่คิดเขาก็ไม่ให้คิดอย่างนี้ ยิ่งพูดก็พูดไม่ได้เลย ผมบอกเป็นคนธรรมดาพูดได้ แสดงความคิดเห็นได้ พอเป็นนายกฯ ไม่ได้ มีกรอบมาใส่เลยครับ ที่ผมมาปรับทุกข์ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ผมบอกอย่างนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ บางครั้งก็ต้องพลาดพลั้งไปบ้าง ก็ต้องให้อภัยผมบ้าง ผมจะไปรู้ได้อย่างไรไปบ้านเมืองนี้อยากจะรู้ความเป็นไปของเขา ไปคุยไปฟังความเสร็จแล้วต้องเก็บไว้ พูดไม่ได้เล่าไม่ได้สัมภาษณ์ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะในโลกนี้มีคุณพ่ออยู่หลายคน เขาแบ่งค่ายกัน แต่ก่อนนี้มีค่ายคอมมิวนิสต์ มีค่ายประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้มีค่ายนายทุน แบ่งเป็นค่าย แล้วคนมหาอำนาจทั้งหลายคิดอย่างไร ประเทศเล็ก ๆ อย่างเราต้องคิดทำอย่างนั้นด้วยครับ
การเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ต้องปรับตัว
นี่คือทุกข์ใจของคนเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ผมเกิดมาผมไม่เคยรู้อย่างนี้เลยครับ เป็นนายกรัฐมนตรีคำว่า “เหตุผล” บางครั้งต้องเอาออกจากพจนานุกรม ต้องทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล บางครั้งคำว่าจริงใจใช้ไม่ได้ครับ เห็นใจก็ไม่ได้อีก แล้วคนเราคบค้าสมาคมกันอย่างนี้ได้อย่างไร เห็นไหมครับ ผมต้องบ่นเรื่องนี้ แต่ผมไม่ให้กระทบกระเทือนคนที่เขาต้องรับผิดชอบอยู่ ผมพูดกันลอย ๆ ให้ฟังอย่างนี้เท่านั้น ถ้าคนนี้ ๆ เขาว่าอย่างนี้ ถ้าเราจะอยู่กับคนนี้เราต้องไม่ยุ่งกับคนนี้ แล้วต้องทำอย่างนี้ ผมบอกชอบกลนะ คนนั้นจะสั่งอย่างไรต้องซ้ายหันขวาหันกับเขาหมด แล้วเป็นอย่างไร ถ้าท่านเป็นผมท่านจะรู้สึกอย่างไร ผมหน้าใหม่นะครับ คือต้องเปลี่ยนแปลงตัวไปเลย พูดไม่ได้ จะบอกว่าทำไมอย่างนี้ ๆ ต้องเป็นอย่างนี้ นี่สัญชาตญาณของคนนะครับต้องวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมอย่างนั้นไปทำอย่างนั้นกับเขาได้อย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น เท่านั้นละครับเป็นเรื่องใหญ่ Google เอาที่ผมพูดออกไปออกทั่วโลกเลย เป็นนายกรัฐมนตรีพูดอะไรไม่ได้มันจดหมด แต่ถ้าจดหมดกันดี ๆ จดไป นี่คอยจ้องนะครับ ลูกพี่ว่าอย่างไร เรากลายเป็นลูกน้องเขาไป ต้องคิดตามอย่างนั้นด้วย ลูกพี่บอกไม่ ต้องไม่ ลูกพี่บอกอย่าต้องอย่า นี่ละครับทุกข์ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยหน้าใหม่
ผมบอกอะไรกันนักกันหนาอย่างนี้ อะไรกันครับ ต้องทนครับ คือเรื่องอยากจะแก้ไขปัญหา แต่ไม่ฟังมูลเหตุของปัญหา จะอธิบายมูลเหตุของปัญหา ไม่ได้ พูดอย่างไรแปลว่าไปเข้าใจเขา แล้วก็ไปเห็นใจเขา แล้วก็รับฟังเหตุผล ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคุณมาจากเลือกตั้งคุณเป็นประชาธิปไตย ทางนั้นเป็นเผด็จการ ไปฟังความก็ไม่ได้ เข้าใจก็ไม่ได้ เห็นใจก็ไม่ได้ เอาไปพูดเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้อีกครับ ต้องแอบเล่าเข้าไปในห้อง ต้องเล่าเป็นการส่วนตัว และยังอาจจะไม่ได้อีก นี่ละครับความทุกข์ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ แล้วผมจะเป็นหน้าเก่าไหมครับ ผมต้องบ่นเรื่องนี้เพราะถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็นศตวรรษ ก็ 50 ปีมาแล้วครึ่งศตวรรษเป็นอย่างนี้ ต่อไปถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นไปได้อย่างไรกับประเทศที่รักอิสระเสรีภาพ เทิดทูนอิสระเสรีภาพเหนือสิ่งอื่นใด แต่เอาเท้าไปเหยียบคนอื่นเขาไว้ให้คิดตามตัวเอง ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ได้ อย่างนี้จะกระทบ ถ้าอย่างนี้จะ sanction อย่างนี้ ผมต้องร้องถามเลยว่าแล้วมันอะไรกันครับโลกนี้ อยู่กันได้อย่างไรครับ คำว่าเลือกปฏิบัติ ถ้าอย่างนี้ ๆ ไม่เป็นไรมีผลประโยชน์ไม่ว่า แต่นี่ไม่ได้ อย่างนี้ ๆ โอเค อย่างนี้ ๆ ไม่ได้ ผมไม่ได้ออกชื่อนะ ไม่ได้ออกประเทศด้วย ไม่ได้ออกกระทรวงไหนด้วย แต่ผมมีสิทธิจะต้องบ่น นี่ละครับทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ผมจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวผม ผมจะต้องไปทำอะไรอย่างไร คนนี้ผมไม่ออกชื่อเขานะ ต้องไปเอาคำว่าเหตุผลออกจากพจนานุกรม เอาคำว่าเข้าใจออกจากพจนานุกรม เห็นใจออกจากพจนานุกรม เล่าปัญหาให้ฟัง คำว่าเล่าปัญหาของอีกข้างหนึ่งก็จะต้องเป็นคำที่วงเล็บว่าคำนี้ห้ามปฏิบัติ ถ้าหากจะให้ประเทศอยู่ในลักษณะดี เป็นพวกเป็นพ้องกับทางนี้เขา ไหวไหมครับ ไม่ไหวนะครับ
ทุกข์ของนายกรัฐมนตรีที่ต้องยอมอยู่ในกรอบของการคิด พูด แสดงความเห็น
ทุกข์ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่มีเรื่องประเภทพรรค์อย่างนี้ละครับ ทุกข์ใจเรื่องประเภทคนดุด่าว่ากล่าวโดยไม่มีเหตุผลนั่นก็ส่วนหนึ่ง ยังพอแก้ไขได้ ตอบโต้กันตรงนี้ได้ แต่รายการหลังนี้เขาห้ามตอบโต้ครับ แสดงความเห็นไม่ได้ คิดอะไรไม่ได้ บอกว่าอะไรกันนักกันหนา เขามีกรอบของเขาไว้เลย ผมก็อยู่ในกรอบครับ จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องยอมอยู่ในกรอบ ต้องเป็นคนอย่างนี้ คิดก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แสดงความเห็นก็ไม่ได้ อธิบายเปรียบเทียบยังไม่ได้เลยครับ Google เอาไปลง กลายเป็นว่าถ้านายกฯ ไทยพูด แปลว่านโยบายเป็นอย่างนี้ มันบ้าอะไรกันแบบนี้ นโยบายก็ไปตรวจสิมี แต่ความเห็นส่วนตัว ไม่ได้ เขาห้าม ผมก็ไม่ว่าอะไรแต่เป็นความทุกข์ที่ผมต้องมาบ่น เพราะผมจะต้องทุกข์อยู่ต่อไป เพราะผมเป็นคนประเภทที่อาจจะเป็นนายกฯ ไปไม่ตลอดรอดฝั่งก็เพราะความรู้สึกนึกคิดอันนี้ ผมว่าโลกนี้ไม่เป็นธรรม ประเทศใหญ่โตมโหฬาร บอกว่าสิทธิเสรีภาพอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แต่ในขณะเดียวกันไปกดคนอื่นเขา คิดอย่างอื่นไม่ได้ คิดนอกกรอบไม่ได้ ผมเองมาหลงเข้ากรอบเขาเอง แต่ผมมีสิทธิจะปรับทุกข์ได้ ผมไม่ออกชื่อใคร ไม่ได้ออกประเทศไหน ไม่ได้ออกกระทรวงไหนด้วย
ผมบอกให้ฟังเท่านั้นเองว่าผมมีความทุกข์ในใจเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้โลกนี้จะต้องอยู่กันอย่างนี้ไปอีกเท่าไร อย่างนั้นยอมได้ ๆ อย่างนี้ทำได้ ผมบอกอย่างนั้นทำไมทำเขาอย่างนั้นได้ เท่านั้นละครับ Google เอาไปเลย มันไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลนี้ เอาละครับผมก็จะต้องยอมรับเข้ามากรอบของเขาแล้ว ออกความเห็นไม่ได้ เปรียบเทียบไม่ได้ คำว่าเปรียบเทียบก็ต้องเอาออกจากพจนานุกรมเหมือนกัน เปรียบเทียบไม่ได้ เดี๋ยวลูกพี่เขาจะว่าอย่างนั้นเอา สังคมก็จะเป็นอย่างนี้ ผมบอกว่าผมมาเข้ากรอบเขาแล้ว แต่ต้องพูด พูดให้คนทั้งประเทศรู้ว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความทุกข์เหมือนกันครับ แล้วจะพูดให้สื่อสารมวลชน ไม่ได้เขย้อแขย่ง ไม่ได้อยากได้ใคร่ดี ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือ วันนี้เป็นพรุ่งนี้ไม่เป็นผมก็เฉย ๆ ผมเป็นมาหมดแล้ว แล้วไม่ต้องการจะแสวงหา ไม่ต้องการสะสมอะไรด้วย แต่ว่าผมทำงานให้บ้านเมืองผม
ผมไปมา 6 ประเทศดีมากที่เขาจัดให้ เพราะได้รู้ความสัมพันธ์ว่าเพื่อนบ้านของเรากำลังจะครบ 9 เป็น 10 เรารู้กัน นี่คือความแข็งแรง 500 กว่าล้าน พูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างนี้ ภาษายังแตกต่างแต่ความคิดเขาบอกเราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เห็นไหมครับ ครอบครัวคืออาเซียน คือทำงานร่วมกัน เขาหวังพึ่งเราเราหวังพึ่งเขา และเราเก่ง เขาก็บอกรับความเก่งแต่ไปช่วยเขาหน่อย ได้เลยครับ นี่คืองานที่ไปทำ เหน็ดเหนื่อยไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน เข้าห้องน้ำเสร็จออกห้องน้ำ เขายกป้ายเวลาจะหมดครับ ตอบคำถามให้มีเรื่องหน่อย
คำถาม อยากให้นายกฯ สนับสนุนเรื่องการศึกษาทุกระดับ โดยให้ทุนและให้กู้ยืม
นายกรัฐมนตรี เขาแก้ไขแล้วครับ เขาดำเนินการแก้ไขแล้ว ทีแรกเขาให้กู้เฉย ๆ ทีหลังเขาบอกว่ามีอาชีพที่ทำแล้วได้เงิน เขาเลยทำสัญญาว่าตอนได้เงินเดือนต้องเอามาใช้ เขากำลังจะปรับปรุง 2 อันนี้ให้กู้ยืมแน่นอนไม่มีปัญหาหรอกครับทำให้
คำถาม เทศกาลสงกรานต์จะมีมาตรการแก้ไขเรื่องคนตายน้อยที่สุดอย่างไร
นายกรัฐมนตรี ผมไม่อยากจะพูดคำว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ว่าถ้าคนเราไม่รักชีวิตตัวเอง คนอื่นเขาจะช่วยป้องกันอย่างไร ถนนใหญ่ไม่มีปัญหา ดูสถิติผมอ่าน สถิติถนนใหญ่ที่เขาเรียกว่า trunk road ไม่มีปัญหา คุมอยู่ดูแล พอเข้าไปถนนซอยจังหวัดเท่านั้นเอง ก็ดูแลกันภายใน จะเน้นก็คือว่าท่านผู้ว่าฯ น่าจะช่วยงานหน่อย ในท้องถิ่น และเหตุเกิดร้อยละ 70 — 80 เป็นมอเตอร์ไซค์ ก็รู้เหตุหมดแล้วครับ แต่จะไม่ให้มีคนตาย ขอบอกว่าสงกรานต์ 7 วันเลิกขี่มอเตอร์ไซค์ได้ไหม ทุกจังหวัดมอเตอร์ไซค์เก็บหมดเลย 7 วัน ไปไหนมาไหนเดิน เขาบอกว่าถ้าไม่กินเหล้าเมายาก็ไม่มีอุบัติเหตุ ก็ช่วยกันดูแลสิครับ ป้องกันตรงนั้นหน่อย ผมคิดว่าหนทางป้องกันทำได้ สถิติก็ให้ดำเนินการได้ ผมไม่อาจจะอวดว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ก็ทำอย่างที่เคยทำ แต่เน้นไปที่ท้องถิ่น ออกจากถนนใหญ่ไปแล้วถนนที่เข้าจังหวัดช่วยกันดูหน่อย
คำถาม ประเทศไทยอาชีพหลักเกี่ยวกับการเกษตร อยากให้รัฐบาลสนับสนุนเกษตรให้มาก
นายกรัฐมนตรี ไม่มีปัญหาครับ เราเป็นเกษตรแต่ว่าถึงสมัยนี้ต้องเป็นเกษตรอุตสาหกรรม และจริง ๆ แล้วก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ ความจริงนี้ผมพูดไว้เรื่องรายได้ต่ำ และรายจ่ายสูงเป็นอย่างไร ผมมีคำตอบมาแล้วเป็นวิชาการเลย แต่ผมได้แปลเป็นภาษาผมธรรมดา เขาแจ้งว่าเวลาหมดครับ ผมก็พอหมดเวลาออกจากนี่ไปผมต้องไปขึ้นเครื่องบิน ไปทำหน้าที่ ไปประชุมลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศประชุมกัน [ร่วมประชุมสุดยอด 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 (3rd GMS Summit)
] วันนี้นายกรัฐมนตรี 6 ประเทศใน 10 ประเทศจะประชุมกัน และที่จริงมี 5 ไปบวกจีนเข้า 1 เขาจะมาประชุมกันเรื่องลุ่มแม่น้ำโขง 2 วัน วันนี้พรุ่งนี้ ค่ำ ๆ พรุ่งนี้ดึก ๆ ผมกลับ ก็ไปทำงานครับ อยากจะบอกให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้รู้บ้างว่าผมไม่ได้ไปหมกมุ่นเรื่องไปต่อต้านใครไปปฏิวัติใครอย่างไร แล้วไม่ต้องมาหาเหตุกับผม อย่ามาขุดหลุมล่อเลย ผมไม่บอกหรอก จะชื่อใครอะไรอย่างไร แต่ผมยืนยันไปแล้วว่าทหารเขาไม่เกี่ยวข้อง ยังอุตส่าห์ไปเที่ยวถามเที่ยวซักอะไรเขา ก็มีคนคิด ผมรู้เขาคิดว่า แต่จะมาบอกจะเอามาตรารัฐธรรมนูญ ยากครับ อย่ามานั่นเลย ผมก็บอกให้รู้ไว้เท่านั้นเอง อย่าพยายามมาขุดบ่อล่อให้ผมไปตกหลุมเลย วันนี้ผมต้องขึ้น ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมต้องไปตกหลุมนั่น ผมต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินเพราะจะไปประชุมตอนสาย ๆ วันอาทิตย์หน้า 08.30 น. เจอกันใหม่ครับ วันนี้ลาก่อนสวัสดีครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
รายการ “สนทนาประสาสมัคร”
โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
------------------------------------------
สวัสดีครับ รายการ “สนทนาประสาสมัคร” กลับมาพบเหมือนอย่างเคยนะครับ 08.30 น. หลังพระเทศน์ ผมอยากจะอย่างนี้นะครับว่า เวลาที่จะมีใกล้วันสำคัญก็อยากจะได้พูดถึงเรื่องวันสำคัญตามสมควร ฉะนั้น วันสำคัญที่ใกล้ที่สุดของวันที่ผมพูดอยู่วันนี้คือ วันที่ 2 เมษายน เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะได้พูดถวายพระพรทุกพระองค์
ทรงรับสั่งเล่าเรื่องที่เสด็จฯ ฮาวายและฟิจิ
สำหรับพระองค์นี้ท่านคงเห็นว่าทรงงานหนักอย่างไร และนอกจากที่ท่านจะทรงงานตามที่ได้รับพระราชทานมอบหมายให้ทำต่าง ๆ แล้ว ท่านยังเสด็จพระราชดำเนินคือท่านหาความรู้ใส่พระองค์ ดูจากข่าวต่าง ๆ แล้วบางทีก็ตื่นเต้น ผมได้เฝ้าแหนเจ้านาย ธรรมดาเขาจะไม่เอาเรื่องที่เจ้านายรับสั่งมาคุยกัน เรื่องที่ว่าสอบถามมาเพื่อประชาชนจะได้รู้ด้วย อย่างนี้คุยได้ เช่น เสด็จพระราชดำเนิน ฮาวาย และไปฟิจิ ก็กราบบังคมทูลถามว่า ตกลงเขาเชิญทั้งสองหรืองานติดพันอะไรเขาไว้ถึงจะต้องไปรายการยาวอย่างนั้น รับสั่งว่าฮาวายเขาเชิญไว้ ก็ต้องไปให้เขา แต่ฟิจิทรงปรารถนาจะเสด็จพระราชดำเนินเอง นั่นเป็นเรื่องเฝ้าสนทนา เจ้านายก็จะเล่าให้ฟังว่าอย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่าง ๆ คือฟังแล้ว เราไม่เคยคาดคิด ความเจริญอย่างยิ่งไปอยู่ที่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ที่เขาเคยทดลองนิวเคลียร์กัน ฝรั่งเศสเขาดูแลเกาะพวกนี้เรียบร้อยดี รับสั่งว่าที่นั่นมีคนไทยอยู่ไม่ถึง 10 คน และมีคนหนึ่งเป็นกะเหรี่ยง ไทยนะครับ เป็นหมอนวด รับสั่งว่าคนที่ตามเสด็จฯ เขาบอกว่านวดดีด้วย เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ละครับ เวลาพระราชทานให้สัมภาษณ์ว่าใครต่อใครสอบถามอย่างไร เราเห็นว่าทรงทำงานหนัก ทรงสอนหนังสือ
ทรงเปิดร้านภูฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนในชนบท
แต่ที่จะพูดวันนี้คือว่าท่านทั้งหลายรู้จักร้านภูฟ้านะครับ ไปที่ไหนก็เจอภูฟ้า เดี๋ยวนี้ไปที่บองมาร์เช่ก็จะเจอภูฟ้า ร้านภูฟ้า 11 สาขา ทำงานอะไรภูฟ้า ทำธุรกิจ หาเงินเดือนรายได้ แต่รายได้ย้อนกลับไป ต้องเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับว่า ทั่วประเทศเสด็จพระราชดำเนิน และทรงเห็นความทุกข์ยาก การไม่มีหนังสือการทำอะไร ผลิตอะไรต่าง ๆ ขายไม่ได้ ทรงรับมาหมด และเอาของวัตถุดิบที่เขาทำ ฝีมือเทียบกับศิลปาชีพยากครับ เพราะศิลปาชีพสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเอามาฝึกและมาทำกัน แต่อันนี้เขาทำเขาใช้กันอยู่อย่างไร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซื้อเลยครับ ซื้อ ๆ เข้ามา มากองไว้และมาดัดแปลงมาจัด เอาสินค้าซึ่งคุณภาพยังไม่ดี เอามาและมาทำคุณภาพให้ดี ทีนี้ถ้าทำอย่างนั้นตลอดไป มีใครจะซื้อไหมของพรรค์นั้น ไม่มีหรอกครับ ฉะนั้น ก็ทรงคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้ร้าน 11 ร้านที่ทำธุรกิจ ค่อย ๆ มีมา เริ่มต้นคนทำถวายถูกต้อง สถานที่ ถวายน้ำไฟเขาไม่คิด ร้านก็เปิดได้
ร้านภูฟ้าขายของอะไร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเก่งนะครับ ในต่างประเทศเขามีเสื้อที่เขาเรียกภาษาฝรั่งว่า Collection แปลว่าออกมารุ่นนี้ ๆ แบบนี้ ๆ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทำในสิ่ง ผมดูแล้วต้องเรียกว่าทรงเก่ง เพราะว่า Collection เสื้อของพระองค์ท่าน หลากสีออกมา สีหวานแหว หก เจ็ด แปด สี ทรงทำอย่างไร ทรงมีฝีมือในการเขียนรูป รูปนักษัตร ปีนี้หนู ปีที่แล้วหมู หนู ต่อไปต้องเป็นวัว ท่านทรงขายใน 1 ปีของพระองค์ท่าน เสื้อแบบนั้น เสื้อโปโล เสื้อ T-Shirt ต่าง ๆ นี่แหละครับรายได้จากการจำหน่ายของพวกนี้ และของกระจุกกระจิกอะไรที่ชาวบ้านเขาทำมา เอามาดัดแปลงปรับปรุงแล้ว เข้าไปอยู่ร้านภูฟ้า ทั้งหมดนี้คือธุรกิจที่เจ้านายทรงทำ ได้เงินก้อนมาที ทรงซื้อจักร 150 คัน เอาไปให้ชาวบ้าน แทนที่จะนั่งเย็บมือ ก็ได้เย็บจักร และทำงานฝีมือค่อย ๆ ดีขึ้น งานอย่างนี้ละครับคือเจ้านายพระองค์นี้ของเราเป็นเจ้าฟ้าในพระราชวงศ์ ทรงงานหนัก ทรงทำงานไม่เบื่อหน่าย ผมกราบบังคมทูลถามว่า ไม่ทรงเหนื่อยบ้างหรือพะย่ะค่ะ รับสั่งว่า ฉันชอบ รับสั่งว่าทรงชอบในการที่จะทำงานไม่เหนื่อย คำสุดท้ายบอกว่าก็ทำให้บ้านเมืองของเรา ทำให้ผู้คนประชาชนคนไทยของเรา ฟังแล้วต้องซาบซึ้ง
ทรงนำรายได้จากร้านภูฟ้ามาอุดหนุนการศึกษาในชนบท
ที่เอามาเล่าให้ฟังได้คือว่าอย่าลืมนะธรรมเนียมไทยเจ้านายรับสั่งอะไรจะไม่เล่า แต่ว่าเรื่องนี้ได้ของพระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้แล้วว่า ขอเก็บเอามาเล่าให้ประชาชนฟังหน่อย จะได้รู้ว่าภูฟ้า ทั้งหมดแล้วทั้งหลังปลายปีแล้ว บรรดาเสื้อ Collection ก็จะออกมาแบบปกติ ซื้อเสื้อฝรั่งได้ ซื้อยี่ห้อแบรนด์เนมได้ เสื้อของพระองค์ท่านก็ฝีมือดี ใส่แล้วรู้ว่าคนที่ใส่เสื้อตราหนู ตราวัว ต่อไปข้างหน้าจะได้รู้ว่าเงินไปไหน เงินไปช่วยคนไทยในชนบท เรื่องการศึกษา ผมจะต้องเจรจากับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทรงรับภาระเรื่องการศึกษาทั่วไปหมด สนพระราชหฤทัยจริง ๆ ที่จะให้คนในชนบทได้รับการศึกษา ไม่มีงบประมาณ ก็ทรงรับส่วนพระองค์ ผมก็บอกว่าจะทรงแบกไปได้นานเท่าไร ร้านภูฟ้าจะหาเงินได้เท่าไร ท่านจะเอาเรื่องการศึกษาไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายได้ คือแต่ละอันผู้ว่าราชการจังหวัดมีค่าปัจจัยใช้ ถ้าทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือจัดการเสร็จเลยว่าจะได้อุดหนุนการศึกษาในชนบทกันดาร ถ้าถูกต้องอย่างนั้นแล้ว แทนที่ว่าเจ้านายจะต้องทรงแบกเรื่องนี้ไว้ ก็ทำช่วย อย่างนี้ละครับ ทั้งหมดวันนี้เหมือนกับโฆษณาร้านภูฟ้าหน่อย แต่ว่าถ้าใครบางคนไปซื้อเสื้อยังไม่รู้เลยว่าซื้อมาแล้วทำอย่างไร ทั้งหมดในร้านภูฟ้าซื้อได้ แล้วเอาเงินกอง กำไรไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ มี แล้วเอาไปซื้อของไปช่วยคนที่เขายากไร้ในชนบทห่างไกลด้วย ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มานับหนนับแห่งไม่ถ้วน
เปิดนโยบายปราบปรามยาเสพติด 2 เม.ย.นี้
วันที่ 2 เมษายนจะมีงานอีกงานหนึ่งคือ 14.00 น.วันที่ 2 เมษายน วันที่ 1 เมษายนเป็นวันข้าราชการพลเรือน วันที่ 2 เมษายนจะเริ่มงานเกี่ยวกับปราบปรามยาเสพติด ต้องเริ่ม ครับ ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เราจะเริ่มจะทำ เมื่อสักครู่ก่อนเข้ามามีสุภาพสตรีมาร้องทุกข์เรื่องยาเสพติด และกระทบกับตำรวจเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมไม่บอกสถานที่ครับ เพราะผมรับปากเธอไว้ว่า จะช่วยดูแลให้ แต่ว่าที่ไม่ค่อยชอบใจคือว่าต้องฉุดต้องยื้อกันพอขอบใจก็วิ่งเข้ามาจะมากราบ ผมบอกไม่ได้ อย่า ต้องอบรมกันตรงนั้นว่าอย่าห้ามทำอย่างนี้ ผมจะไปดูแลให้
ชี้แจงสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์กรณีไปเดินตลาดที่สิงคโปร์
ถัดไปถึงเรื่องว่าอาทิตย์ที่แล้วไปไหน ความจริงอาทิตย์นี้ไม่ใช่อาทิตย์ที่แล้วหรอกครับ วันพุธ วันพฤหัสบดี 2 วัน ตอนไปสภาฯ ก็บ่น คราวหน้าวันพฤหัสบดีต้องไม่เดินทาง เดี๋ยวโดนบ่น ไปทำอะไร ไปทำหน้าที่ มีคนบอกว่าเลิกเดินทาง เขากำหนดไว้อย่างนั้น กระทรวงการต่างประเทศกำหนดว่า เกี่ยวกับอาเซียนของเรา 10 ประเทศ 9 ประเทศต้องมาก่อน เป็นนายกรัฐมนตรีเพิ่งเข้ามาหน้าตาไม่มีใครรู้จัก ก็ต้องไปแนะนำตัว ต้องเดินทางครับ ไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) กัมพูชา พม่า สิงคโปร์ ไปสิงคโปร์ก็มีนะครับแทนที่จะข่าวดีออกมา เขียนหนังสือว่ากล่าว หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ออกชื่อให้ด้วย ว่ากล่าวบอกว่าไปเดินเป็นพญาน้อยชมตลาด เขาเดือดร้อนกันหมด นักธุรกิจอะไร ร้องกันระเนระนาด นายกรัฐมนตรีไทยเป็นอย่างนี้ ก็มีเวลาอยู่ 3 ชั่วโมงตอนเช้า นั่งกินกาแฟอยู่โรงแรมตรงนั้น
ผมมีเวลาอยู่ 3 ชั่วโมงก็ถามเขาว่า มีไหมตลาด คือผมไปตลาดทุกแห่ง อินโดนีเซียยังไปเลย 5 ประเทศไปมาแล้ว 6 ประเทศ ไปทุกแห่ง แล้วทำไมสิงคโปร์จะไปไม่ได้ ผมอวดเขาไว้ว่าประเทศไทยมีตลาดอยู่ 200 แห่ง เอกชน 165 แห่ง ราชการ 50 กว่าแห่ง ของเรามีเรารักษาตลาดสดไว้ได้อย่างไรครับ ตลาดสดคือราคาของถูกของสด เขาเรียกว่า Fresh Market ก็จะต้องถามว่ามีไหม Fresh Market มาเลเซียจะมี ต้องเหมือนว่าไปตลาดไท ขับรถออกไปค่อนชั่วโมง นั่นแหละมาเลเซีย ในเมืองเขากวาดหมด แต่สิงคโปร์เขายังพอมี ถามตรงไหน ๆ มี ก็ไปดู แล้วเสียหายอย่างไร รู้ไหมพอผมไปตลาดสด คนเขียนว่าผม เยาะเย้ยถากถาง นักธุรกิจสิงคโปร์บอกว่าสนใจดูรายละเอียดนักนายกฯ เมืองไทย แล้วเป็นอย่างไรนายกฯ เมืองไทย มีเวลาว่าง 3 ชั่วโมงแวะไปดูตลาด เขายินดีอย่างยิ่งเพราะตลาดของเขาสะอาด เรียบร้อย เหมือนบองมาร์เช่ เขาขายของเขาเรียบร้อย ทำไมครับมันหนักอะไรใครอย่างไร
นายกฯ ไปเดินตลาด ผมไปถามราคาสินค้า ผมก็อธิบายความให้ฟังว่า ผมรู้ราคาสินค้าหมด รู้ว่าสินค้าแพงกว่าเรา 1 เท่า 2 เท่า 3 เท่า 4 เท่า แต่เงินเดือนมากกว่าเรา 10 เท่า นี่ยังเป็นประเด็นจะคุยอยู่ วันนี้เวลาคงจะไม่เหลือคุย เดี๋ยวจะปรับทุกข์ตอนท้ายหน่อย แต่ว่ามันประหลาดตรงนี้ว่า ผมคิดว่าผมไม่ได้ไปทำอะไรผิด แต่เขียนกระทบกระแทกแดกดันว่าผม นักธุรกิจสิงคโปร์ออกชื่อสิคนไหน คนไหนที่ว่านายกรัฐมนตรีไทยไปเดินตลาด ผมบอกเสร็จผมก็เทียบกับรายได้ ผมก็รู้ว่ารายจ่ายเท่าไร รายได้เท่าไร เขาอยู่ได้ไหม ไปบ้านใครถ้าเข้าไปในครัวเขาได้ เราก็รู้ว่าเขากินอยู่กันอย่างไร รู้ว่าเศรษฐกิจเขาเป็นอย่างไร อย่างง่าย ๆ เท่านั้นในพื้นฐาน ไม่ได้ ท่านต้องมาเขียนกระแนะกระแหน เขาชื่นชมผมไป ผมไม่ได้ไปตลาดเฉย ๆ หรอกครับ ผมแวะไปกินอาหารเช้านอกโรงแรม ผมไปกินบะกุเต๋ที่อังมอเกียว แล้วทำไมครับ เขตอังมอเกียวเขตของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง นายกฯ เขาถึงอาทิตย์หนึ่ง เขาต้องไปคุยกับประชาชนในเขตเลือกตั้งของเขา ของเขาผ่าเป็น 82 เขต รัฐมนตรีเขาต้องกลับไปและคุยกันที่เขต ส.ส.กลับไปคุยกับเขาที่เขต เขตละคน คนละเขต เขตนายกรัฐมนตรี ผมบอกบะกุเต๋ที่นั่นดีในอังมอเกียว ก็ไปนั่งกิน แล้วนายกฯ ก็ขอบอกขอบใจบอกว่าไม่ต้องไปหาเสียง พาท่านนายกฯ มา ที่นี่อร่อยที่นี่เขาดีเพราะเป็นน้ำใส ต้มในน้ำกระเทียมดอง ก็ธรรมดา พอถึงเวลา 10.30 น. ถึงจะเริ่มพิธีการที่จะไปพบอะไรต่าง ๆ มันเป็นอย่างไร อดไม่ได้ต้องมาเขียนกระแนะกระแหนว่ากล่าว ผมก็อดไม่ได้เหมือนกันถ้าคุณทำอย่างนั้นกัน ผมก็ต้องตอบ ถ้าคุณไม่เขียนถึงผม ผมก็ไม่ต้องพูดถึงคุณ เท่านั้นนะครับ
เจรจาซื้อก๊าซ LNG จากอินโดนีเซีย
ทีนี้ถัดไปไปถึงอินโดนีเซีย เขาทำอย่างไร ต้องเล่าให้ฟังหน่อยว่า แต่ละประเทศเหมือนกันคือเขาทำพิธี เขาต้อนรับ เขาอะไรต่าง ๆ เมื่อเวลาที่เราไปทำพิธีต่าง ๆ สิ่งแตกต่างที่ไม่เหมือนกันคือว่าไปประเทศนี้ได้พบอย่างนี้ ประเทศนี้อย่างนี้ พัวพันกับเราทั้งนั้นครับ นี่ 6 ประเทศ ทั้งหมดมี 9 ประเทศ รวมเป็น 10 ประเทศทั้งเรา มาถึงค่อนทางก็รู้แล้วว่าเขาญาติดีกับเรา เขาญาติดีกับเราอย่างไรครับ ต้องเล่าอินโดนีเซีย ประเทศเขาเป็นเกาะยาวเหยียด และเมื่อได้พบกับท่านประธานาธิบดี ดร. ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน (Susilo Bambang Yudhoyono) ก็ได้คุยกันได้แลกเปลี่ยน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นคนมาประจำตัวผม ก็นั่ง ก็คุยและได้รับความรอบรู้ต่าง ๆ ได้รู้ปัญหา ได้พบกับทีมไทยแลนด์ก่อน และได้คุยกับประธานาธิบดี ได้สนทนา เรื่องที่เขาจัดไปต้องพูดกัน มีปัญหาเจรจา ถูกต้องครับ ฟังว่าเหมือนไปแนะนำตัว ไปวันนี้รุ่งขึ้นกลับ แต่ว่าทำงานตลอด คือ ต้องเจรจาความมีปัญหา ผมจะเรียงแถวให้ว่าเราอยากจะซื้อก๊าซ LNG ต้องซื้อก๊าซล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ก๊าซเหลวนะครับ ต้องซื้อต้องเจรจาเขา อังกฤษเป็นคนผลิตคนขุด แต่อินโดนีเซียเป็นคนดูว่าให้ขายใครได้อย่างไรไหม แต่ราคาเขาขายแล้วเขาแบ่งกัน ฉะนั้นอินโดนีเซียเขาก็เหมือนเราคือมีทรัพยากรมากมาย แต่เมื่อก่อนเราต้องจ้างคนอื่นมาขุด เดี๋ยวนี้เราเก่งเราขุดเองแล้วไปจ้างคนอื่นขุดด้วย แต่ที่อินโดนีเซียนั้นเขายังไม่มีทีมขุดเอง คนอื่นมาจ้างขุด เป็นสัมปทานหมด คนอินโดนีเซียใช้น้ำมันราคาเดือดร้อนเหมือนไทยเหมือนกัน ขึ้นไป 104, 107 ก็ต้องแพงกับเขาเหมือนกัน
ไทย-อินโดนีเซียร่วมมือกันด้านความมั่นคงทางอาหาร
ทีนี้ทำอย่างไร เมื่อเวลาที่เราเจรจาความพูดจากัน ท่านประธานาธิบดีบอกว่าขอให้ถืออย่างนี้แล้วกันว่า เรื่อง Energy Security ความมั่นคงทางพลังงาน อินโดนีเซียจะดูแลให้ประเทศไทย และขอตรงที่ว่า Food Security คือความมั่นคงทางอาหาร อินโดนีเซียก็หวังจะพึ่งประเทศไทย เห็นไหมครับเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยถ้อยแลกเปลี่ยน เราไปขอซื้อเขาก็ขายไม่ขัดข้องเลย มีอะไรอย่างไร ถูกต้องครับ เขาไม่ได้เป็นเจ้าของตรง เพราะว่าถูกสัมปทานหมด แต่เขาเป็นคนว่าให้ขายใคร หรือไม่ขายใคร อย่างนี้เขาตกลงและเขามีคนกี่คน 249 ล้านคน เรามี 63 ล้าน แต่เราขายอาหารทั่วโลก ทำไมจะขายอินโดนีเซียด้วยไม่ได้ ถ้าเราอยากได้น้ำมันของเขา ยังจะจับปลากับเขา ทำไมเราจะบอกไม่ได้ เรามีข้าวอยู่ 2 ล้านเวลานี้ ก็ไม่ได้อวดเขา 2 ล้าน แต่เขาอยากได้แสนถึงสามแสน ช่วยพิจารณา บอกพิจารณาได้ อย่างนี้ต้องรับปากได้ทันที ราคาบอก ราคายุติธรรมเพราะเราต้องการแลกกับอะไรครับ ต้องการแลกกับปุ๋ย ประเทศเราปุ๋ยขึ้นราคา อภิปรายกันบ่ายโมงครึ่งถึงสี่ทุ่ม ปุ๋ยตลอด เรารู้ว่าปุ๋ยราคาแพง แต่ที่นั่นราคาเขาไม่แพง มีทั้ง N - P - K เขาผลิตน้ำมัน เขาต้องมีปุ๋ยมีตัว N - P - K มีหมด ขายได้ ราคายุติธรรม ของเราแพงบ้าเลือด มันแพงขึ้นไปบ้างเพราะน้ำมันราคาแพง ตัว N ก็ต้องแพง เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ตกลงกันว่า เจรจากับบริษัทขายปุ๋ย บอกว่าที่กรุงเทพฯ เรากำลังดำเนินการอยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังดำเนินการเรื่องนี้ เราก็บอกให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังช่วยดู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ช่วยเจรจา เช็คสต็อกหมดเลย เอาเรื่องกันก่อนเลยว่าใครจะขึ้นราคา ก็คุยกันเรื่องปุ๋ย เรามีข้าวเป็นหลัก ก็บอกว่าถ้าเผื่อเราขายข้าวให้เขาได้ เขาก็ขายปุ๋ยให้เราได้ ราคาต่ำ และข้าวต้องราคายุติธรรม
ร่วมมือด้านประมงกับอินโดนีเซีย
ปัญหาว่าเขาบอกว่าปลาเก่ง อินโดนีเซียภูมิศาสตร์ของเขาเรียกว่า Emerald Belt เข็มขัดมรกต เริ่มตั้งแต่เกาะสุมาตราใหญ่ตรงอาเจะห์ ยาวไปถึงติมอร์ นั่งเครื่องบินหลายชั่วโมง ถ้านับพื้นที่น้ำรวมด้วย 5 ล้านกว่าตารางกิโลเมตร เป็นเมืองที่เรียกว่าเขาโชคดีกว่าใครในโลกครับ แต่เขาก็โชคร้ายภูเขาไฟเยอะหน่อย แต่เขาอยู่ของเขา เกาะชวาเล็ก ๆ อยู่ 100 ล้านคน ใหญ่ ๆ มหึมาอยู่น้อย แล้วเกาะมากมายก่ายกอง เรียนหนังสือไป แต่ก่อนจำได้เลย 13,800 กว่าเกาะ แต่พอไปถึงเดี๋ยวนี้ 15,000 เกาะ เกาะที่มีคนอยู่ 6,000 เกาะที่ไม่มีคนอยู่ที่เหลือ อย่างนี้การเพาะปลูกอะไรต่าง ๆ ที่ดินมากมายก่ายกอง ปลาก็อยู่ แต่ก่อนเราตีตั๋วไปจับปลาเขา อินโดนีเซียบอกว่าไม่ไหวอย่างนี้ อินโดนีเซียก็ให้คนไปจับปลา เขาอยากให้คนเขาจับปลาเป็น เขาอยากให้เราแปรรูปสินค้าปลาได้ไหม บริษัททางไทยถามกันก่อนไป เขาบอกทางโน้นไม่มีฝีมือไม่มีราคา ไม่มีนักธุรกิจที่ทำเรื่องอย่างนี้ ทำอย่างไร ก็ไปตามเกาะ จับแล้วขึ้นไปตามเกาะ ไม่มีประปาไม่มีไฟฟ้า ผมบอกอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วเกาะที่มีคนอยู่ไม่มีหรือ มี แต่ต้องเดินทางจากที่จับเข้ามา ก็ได้ ก็เดินจับมา ประเทศไทยยังเอากลับมาได้ ทำไมกลับเข้าไปประเทศเขา สุดเลยก็สุราบายาเมืองที่ 2 จากกรุงจาการ์ตา บอกว่าไปตั้งโรงงาน สมุทรสาครตั้งโรงงานเต็ม ไม่มีปลาเข้ามาทำ ก็ไปตั้งที่เขาและเอาคนงานของเขา และจับปลาเขาได้เอาไปเข้าโรงงานก่อน ได้มาอย่างนี้ เขาไม่มีความสามารถเราไปทำ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่เอาเขามาร่วมหน่อย เพื่อเท่ากับตีตั๋ว เป็น Joint Venture เขาเข้าไปจับปลา เขาอยากจะเรียนก็ลงเรือมาด้วยกัน เป็นเจ้าของธุรกิจจับพร้อมกัน ปลาทั้งหมดที่ปาปัว ปลามากมายก่ายกอง จับแล้วก็เดินทางเข้าประเทศเขายังใกล้กว่า เขาเอาปลาไปขึ้นที่สุราบายา ครึ่งหนึ่งทำเป็น Freeze Processing อีกครึ่งหนึ่งเขาเรียก Re-Export ส่งกลับมาเมืองไทย โรงงานเมืองไทยจะได้ใช้ปลาครึ่งหนึ่งที่เอามา ท่านประธานาธิบดีอย่างนี้ตกลงไหม ท่านประธานาธิบดีบอกอย่างนี้ตกลง เห็นไหมครับท่านยังจะจับกับเขาข้างเดียว ก็ไปบอกเกาะโล้น ๆ ไม่มีน้ำไม่มีไฟทำไม่ได้ แต่ว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีไปคุยกับประธานาธิบดี นี่แหละครับไปทำงานให้บ้านเมือง ไปทำงานเจรจาความ เขาก็ตกลงกันตามนี้
พบปะนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจอินโดฯ
ที่น่าชื่นใจ ที่นั่นมีคนอยู่ 800 คน นักเรียน 500 คน นักเรียนมาคุย นักเรียนถามสุภาพเรียบร้อย อย่างนี้แสดงว่าเขาสอนดี เขามีมุสลิมสายกลางอยู่ 2 กลุ่ม เขาช่วยงาน อินโดนีเซียเขาช่วยการเจรจาทางใต้ของเรา คุยกันเรื่องนี้เรื่องอะไรต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่น่าชื่นใจคือได้พบนักธุรกิจไทย เขาก็มาร่วมมา นักธุรกิจเขามา 20-30 คน ไทย 20 คน มีคนมาสังเกตการณ์ร่วมร้อย คุยกันเรื่องธุรกิจไทยไปทำ บางบริษัทไปอยู่ 41ปีแล้ว ทำธุรกิจที่โน่น เขาเล่าให้ฟัง เวลานี้ผลิตกุ้งขาวใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อินโดนีเซีย ธุรกิจของไทยครับ ปลูกข้าวโพด 1 เฮกตาร์ 100 คูณ 100 ที่อื่นเขาใช้กัน เราไม่ได้ใช้ เราใช่ไร่ บางคนใช้เอเคอร์ 1 เฮกตาร์คือ 100 เมตร คูณ 100 เมตร แต่ก่อนปลูก 1 เฮกตาร์ได้ 2 ตัน ต่อมาได้ 4 ,6 เดี๋ยวนี้ได้ 8 ตันครึ่ง แล้วเอามาไม่ขายนะครับ เป็นข้าวโพดพันธุ์ให้คนทั้งโลกซื้อเอาไปปลูก เจ้าของธุรกิจเป็นไทย งานอะไรอื่น ๆ นั้นบางคนไปปลูกปาล์มน้ำมัน ไปปลูกอ้อย ทุกอย่างนั้นเราไปใช้แผ่นดินเขา ธุรกิจของเราเขาให้สัมปทาน นี่ไงครับเพื่อนบ้าน อย่างนี้ครับนายกรัฐมนตรีไปคุยกับประธานาธิบดีทำความเข้าใจกัน ท่านประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เห็นแล้วนึกถึงท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเป็นหัวหน้าพรรคเล็ก แต่ว่าท่านเป็นคนมีศักยภาพ ท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาล พรรคโกลคาร์เสียงข้างมากในสภา แต่ว่าหาคนเป็นประธานาธิบดีไม่ได้ ต้องเอาคนพรรคเล็กมา ท่านก็เก่งครับ เพราะฉะนั้น เมื่อพูดจากันเข้าใจกัน คำหนึ่งที่ว่า ไม่ได้มาเขียนหยอดย้อยอะไรต่าง ๆ แต่ประธานาธิบดีท่านใช้ก่อน ท่านบอกว่าขอต้อนรับวันนี้ ไม่ได้ขอต้อนรับในแบบคนอื่นที่ไหน เพราะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่อะไรนักหนา ผมไม่ได้นับญาติกับท่านหรอกครับ Family เดียวกันคือเป็นอาเซียนด้วยกัน เขาถือว่าอยู่ในตระกูลอาเซียน ทุกอย่างการพูดจา การอะไรต่าง ๆ ไม่มีหรอกครับ ท่านถามโน่นถามนี่
แนะอินโดฯ หาเกาะสร้างโรงงานนิวเคลียร์
สุดท้ายอยากเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์นั่งรถเข้าเมืองจากเครื่องบินทหาร เขาบอกเขาเป็น Non Panisian คือเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ดัง เป็นนักวิชาการ และรัฐบาลชวนก็เป็นรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ ขอถามผมหน่อยปีหน้าจะเลือกตั้ง บอกอินโดนีเซียถึงอย่างนี้บอกไปน้ำมันก็หมด ก๊าซก็หมด เราต้องคิดว่าจะต้องทำนิวเคลียร์ ถามว่าท่านอยู่พรรคการเมือง ท่านทำอย่างไรนิวเคลียร์ บอกนี่ทั่วโลกนะครับ ผมก็อธิบายบอกว่าทั่วโลกกลัวกันอย่างนี้ แต่ว่านโยบายของผม สุภาษิตประจำตัวผมคือความกลัวทำให้เสื่อม ถ้ากลัวไปก็ไม่ได้พัฒนาไม่ได้อะไรต่าง ๆ ผมก็บอกว่าคำอธิบายของผมคือ ตัดสินใจเห็นด้วย ใครจะสร้างบอกสนับสนุน เตรียมการหมด ต้องใช้ 12 ปี เตรียมการเลยครับ ถึงปีที่ 12 ยังกลัวอยู่ ก็ไม่ต้องใช้ แต่ว่าจำเป็นต้องใช้สร้างได้ทันที ไม่กี่เดือนใช้ได้ทันที ต้องเตรียมการ ต้องตระเตรียมหมด ผมบอกว่าบ้านผมมี 76 จังหวัด เขียนรัฐธรรมนูญเดี๋ยวนี้จะต้องฟังเสียงอย่างโน้นอย่างนี้ ผมบอกดูแล้วเหมือนกับทำไม่ได้หรอกครับ 76 เขาค้านกันหมด เขากลัวกันหมด ผมบอกว่าจะต้องไปหาที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ห่าง ๆ ตั้งเป็นจังหวัดที่ 77 และตั้ง 2 คน ผู้ว่า 1 คน รองผู้ว่า 1 คน เท่านั้นเองไม่มีประชากร เสร็จแล้วมาโหวต จังหวัดนี้อนุญาตให้สร้างได้ อย่างนี้ก็ดำเนินการได้ เตรียมการทั้งหมด 12 ปี ถึงเวลายังกลัวอยู่ก็เลิก ไม่ต้องทำ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่กลัวตอนนั้นไม่มีน้ำมันแห้งหมดแล้ว ก็ต้องเดินเครื่องเท่านั้นเอง
ผมบอกท่านว่าในประเทศในโลกทั้งหมด อินโดนีเซีย 15,000 กว่าเกาะเป็นประเทศที่เหมาะจะสร้างนิวเคลียร์ที่สุด ตรวจสอบดูว่าเกาะไหนอยู่ห่างไกลไม่ได้อยู่ในเส้นภูเขาไฟ ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนดูประวัติ เลือกเกาะนั้นเลยไม่มีคนอยู่ สร้างเลยครับ บอกดำเนินการได้เลยอย่างนี้ เหมาะที่สุด ท่านรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์คุยกับผมในรถ ประเดี๋ยวเดียวบ่าย ๆ ท่านประธานาธิบดีท่านฟังรายงานกันแล้ว ท่านบอกไม่น่าเชื่อที่คิด ผมบอกของผมเกาะจริง ๆ หายาก แต่ของท่าน 15,000 กว่าเกาะ เลือกเส้นไหนที่อยู่นอกเคลื่อนไหวของภูเขาไฟ ที่ปลอดภัยมาตลอด 100 ปีไม่มีกระทบกระเทือน เขาจังหวัดนั้นละครับสร้างเลย สายเคเบิ้ลโยงขึ้นมาเลย อย่างนี้ก็เล่าให้ฟังไว้
เดินทางไปต่างจังหวัด
จะต้องคุยกันถึงเรื่องอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นจะเล่าอย่างเดียวหมด เมื่อเวลาที่เราทำงานอย่างนี้ รายการอย่างนี้คือรายการที่หัวหน้ารัฐบาลมีโอกาสจะสื่อความกับประชาชน มีคนเขียนหนังสือกระแนะกระแหนไม่ทำอะไร ยกย่อง ทีนี้ยกย่องนายกฯ ทักษิณนะครับ นายกฯ ทักษิณเที่ยวเดินทางไปโน่นไปนี่แล้วกลับมาเล่าให้ประชาชนฟัง ทำงานอย่างไร แล้วนึกว่าผมไม่เดินทาง เป็นทำนองผมบอกเพียงแต่พูด ๆ ไม่ทำ ก็ 35 คนครับ ช่วยกันทำ ผมก็ทำ แต่ผมไม่ต้องการให้ใครไปเที่ยวเดินตามผม ผมไปต่างจังหวัด ผมก็ไม่เอาช่างภาพ สื่อสารไป ช่างภาพยังไม่ได้เลย นอกจากท้องถิ่นรู้ก็มาถ่าย และส่งผ่านอินเทอร์เน็ตมา นั่นละได้รูปผมไปทำกับข้าว แต่ผมไม่ได้ทำกับข้าวอย่างเดียวหรอกครับ ผมไปผมก็ไปดู ไปโน่นไปนี่
เมื่อวานนี้ผมไปทำเชงเม้ง ไม่มีใครเลยครับเพราะผมไม่บอก เจ้าของค่ายเท่านั้นเขารู้ คุณลุงผมทำมาตลอด ผมทำมา 40 กว่าปีแล้ว ผมก็ไปทำเพราะว่าคุณลุงให้มรดกไว้ บอกให้ช่วยทำ ให้น้องชายทำ น้องชายไม่อยู่ ผมก็ทำ ผมก็ยังไปทำของผม 43 ปี ตอนไปเรียนหนังสือเมืองนอกเท่านั้นที่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ผมทำ และผมก็ไปของผม เมื่อวานผมไป มีผู้บังคับการค่ายเท่านั้นครับ ท่านมาทำวันทยหัตถ์ ผมบอกขอบคุณเจ้าของค่าย เพราะฮวงซุ้ยอยู่ในค่าย เท่านั้นครับ ผมทำเสร็จแล้วผมก็ตระเวนดูที่โน่นที่นี่ ดูว่าเมืองจันทบุรีนั้นเขาต้องการอะไรอย่างไร ผมรับเรื่องราวร้องทุกข์จากพรรคพวกมาส่งเอกสารให้ รปภ.ก็ไม่ไป ผมไปรถของผมคันเดียว เท่านั้นเอง แล้วผมก็แวะกินข้าวและขับรถกลับ ผมก็กลับบ้าน
นี่ครับผมไปทำงานของผม แต่ว่าผมมีรายการมาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ก็บอกว่าเอาแต่มานั่งพูด ๆ ไม่ทำอะไร เขาบอกว่าวันธรรมดาวันหยุดไปตรวจราชการ บางคนเขียนบทความขอให้เลิกซะเถอะรายการทำกับข้าว ไม่ดีมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ผมบอกคนเรานี่ประหลาด ไม่ชอบความจริง รัฐมนตรีของผมวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เขาก็ไปตีกอล์ฟกัน เขาก็พาลูกพาเมียไปวันอาทิตย์วันครอบครัว ไปไหนมาไหน ไม่เป็นไร ตีกอล์ฟเช้าถึงค่ำไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าไม่มีใครกระแนะกระแหน แต่นายกรัฐมนตรีมีรายการทำกับข้าว บันทึกเทปวันเสาร์ 4 ชั่วโมง เสาร์เดียวเท่านั้น 4 ชั่วโมง แล้วออกอากาศ 1 เดือน ถามสิครับว่าเป็นอย่างไรครับ เขียนบทความจะให้ได้ จะให้เลิกให้ได้ เป็นการใช้เวลาราชการไปหากิน ทำไมคิดอะไรอย่างนั้น ผมทำวันหยุด จะออกอากาศก็ออกอากาศวันหยุด อะไรกันนักหนา
สื่อถามคำถามเรื่องปฏิวัติ
แต่จะเล่าให้ฟังเรื่องนี้ มีคนบอกว่ามาทำรายการเที่ยวพูดถึงคนนั้นคนนี้ ผมอยากเรียนถามว่า แล้วถ้าคนอื่นเขาพูดถึงผม แล้วผมบอกผมทำอันนั้น ผมไม่ตอบ ผมจะทำงานทำการผมไม่ตอบ และประชาชนทั้งประเทศนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ นั่งดูโทรทัศน์ นั่งฟังวิทยุ และนายกรัฐมนตรีนั่งทำงาน แล้วเกิดอะไรขึ้นอย่างไร ผมจะให้ดูตัวอย่างนะครับว่าการจุดชนวนนี่คนทำมาหาข่าวนี่ อยากได้มาพูดจา พอเราพูดจาไปนั่น พอแหยมเข้าไปหน่อยเท่านั้นละครับ ฟังให้ดีนะครับ เริ่มต้นผมเป็นคนจุดชนวนพูดมาก่อนครับ เรื่องปฏิวัติรัฐประหารบ้าบออะไรนี่ วันศุกร์ให้สัมภาษณ์ก็มาถามว่า วันอังคารถามก่อนว่ามีข่าวว่ามีใบปลิวมาแจกจ่าย เรื่องอะไรต่าง ๆ ผมบอกว่ามีคนส่งใบปลิวมาให้ผม ผมดูใบปลิวแล้ว ผมเห็นว่ามี ผมก็อธิบายให้ฟังว่ามีคนยังคิดกันอยู่ คนพวกหนึ่งยังคิดยังซ่องสุมประชุมกันอยู่ คนนั้นคนนี้ ก็ตามรายงานข่าวเป็นอย่างไร เพื่อต้องการที่จะไม่อยากมีรัฐบาลนี้
พอถึงวันศุกร์มาถามว่าเกี่ยวข้องกับทหารไหม บอกว่าไม่มีทหารไม่เกี่ยวข้อง ผมบอกชัดเจนว่าทหารไม่เกี่ยวข้อง เขาถามมาเอง ไป ๆ มา ๆ ใช้วิธีไล่ต้อนผม ตกลงได้ใบปลิวมารู้แล้วใช่ไหมมาเป็นใคร พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข่าวน่ะตัวเป็นคนจุดชนวนถามเอง ไปตอบคำถามว่ารู้แล้วก็บอกให้ว่ามีคนคิดอยู่ แล้วไม่ใช่ทหารที่จะทำปฏิวัติ มีคนคิดว่าอยากจะให้มีปฏิวัติ พูดแค่นั้นเอง ดูนี่ “สมัครปูดขบวนการจ้องปฏิวัติ มีชาร์ตรายชื่อครบ...” ดูคนนี้ “สมัครปูดกลุ่มล้มรัฐบาลไม่เลิก คิดปฏิวัติอีก จ้องป่วน ล่อกองทัพออกมา...” นี่ผมพูดหรือครับ ผมพูดชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับทหาร ก็ยังจะบอกอย่างนั้น ดูคำนี้สิครับ “หมักจุดไฟปฏิวัติ ! ...” นี่หนังสือพิมพ์ไทยนะครับ ชื่อไทยโพสต์ ต้องถามว่าอย่างนี้บ้าหรือเปล่า มาถามข่าวแล้วบอกว่ายังมีคนคิดกันอยู่ ไม่ใช่ทหาร เท่านั้นไม่ได้หรือ ดูอันนี้ “ธุรกิจช็อกปูดปฏิวัติ...” ผมจะถามว่านี่บ้าอะไรกันขนาดนี้ครับ นี่วงการสื่อสารมวลชนนะครับทำกันอย่างนี้ นี่มาเมื่อเช้าทันสมัยนะครับ “จี้หมักล่าไอ้โม่งล้มรัฐบาลจับเท็จปฏิวัติ ปชป.ฮึ่มอย่าทำเฉยผิดรัฐธรรมนูญ” เห็นไหมครับ ดูครับ ไทยโพสต์มาอีกวันนี้เช้า “หมักเลี้ยงแกะปฏิวัติ” ลุ้นออกทีวีตีหน้าเศร้าเล่าความทุกข์ วันนี้หน้าเศร้าหรือครับ เล่าความทุกข์เป็นเรื่องที่ผมจะคุยตอนท้าย ว่าทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ยังไม่ทันได้เล่าเลยครับ นี่มาแล้ว “ลุ้นออกทีวีตีหน้าเศร้าเล่าความทุกข์“ “จับตาทักษิณ นายกฯ ตัวจริงมาแล้ว” เป็นทำนองสถานการณ์อย่างนี้นายกทักษิณต้องกระโดดเข้ามาด้วย นี่บ้าอะไรกันอย่างนี้ครับ มีคนสั่งสอนผมว่าอย่าไปพูดจาว่ากล่าวอะไรเขา แต่มันสุดกันอย่างนี้ถ้าท่านเป็นผมท่านจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่ความทุกข์ของผมนะ ความทุกข์เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนท้าย
มีกลุ่มบุคคลอยากให้มีการปฏิวัติแต่ไม่เกี่ยวข้องทหาร
นี่เป็นเรื่องมาถามว่ามีข่าวว่ามีการแจกใบปลิวผู้คนอย่างโน้นอย่างนี้ ผมก็บอกว่าผมก็ได้รับมีคนส่งไปให้อ่านในคณะรัฐมนตรี ใส่ซองไปให้ เท่านั้นละครับ อ่านแล้วไปพูดกับเขาได้ว่ารายละเอียดได้ไหม ไม่ได้ เพราะอะไร ก็มันขุดหลุมล่อกันไว้อย่างนี้ จุดถามด้วยอันนี้เท่านั้นเอง แล้วก็ล่อไปล่อมา ขนาดที่ปรึกษา (นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์) มาเลยทันที จะล่อผม นี่จี้แล้ว ทำไมคิดกันได้เท่านี้ มีสติปัญญาจะช่วยดูแลบ้านเมืองกันอย่างนี้หรือครับ แล้วที่ผมไปทำงานทำการ ผมเล่าให้ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่าง ๆ กำลังช่วยกันทำตัวเป็นเกลียว บ้านเมืองก็ลุกคลุกคลานเพิ่งจะเงยหัวขึ้นกำลังทำงานเดี๋ยวนี้ เอากันแล้วหรือครับนี่ น่าเสียดายจริง ๆ ครับ คนดีมีสติปัญญาไม่พูดจาอะไรดูให้ผมทำงานสักพัก ถ้าทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงอะไรอย่างไรก็ยังไม่ว่า นี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลยครับ มาคุย ผมต้องตำหนิคนทางสื่อสารมวลชน ต้องไปหมั่นสัมมนากันหน่อยครับ เอากันแบบนี้ละครับ มาถามว่าได้เห็นว่ามีคนแจกใบปลิว มีอะไรอย่างไร บอกผมไม่ได้รับใบปลิว แล้วคุยอย่างนี้พูดชัดเจนว่าไม่ใช่ทหาร มีคนเขาคงอยากจะให้ปฏิวัติ แต่ไม่ใช่ทหาร เขาไม่ได้เกี่ยวข้องเลย พูดชัดเจนเลย ไปถามทหาร ก็ทหารเขาไม่เกี่ยวข้องแล้วจะไปถามเขาทำไมครับ ไปถามผู้บัญชาการทหารบก ผมต้องพูดเรื่องนี้ครับ แล้วเขาบอกว่าออกทีวีไม่ทำอะไร ส่ายตาหาศัตรูเพิ่ม ศัตรูพูดจาอย่างนั้น ผมจำเป็นต้องพูด
เรียกร้องหนังสือพิมพ์ที่กล่าวหาหน้าห้องนายกฯ ทุจริตนำหลักฐานมาให้นายกฯ ภายใน 3 วัน
ผมจะบอกให้ฟัง โปรดดูตรงนี้ ผมทำงานตามกฎหมายคือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 เริ่มรับ ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วก็นับวันนั้น 6 กุมภาพันธ์ — 6 มีนาคม นี่ยังไม่ 6 เมษายน ยังไม่เต็ม 2 เดือนเลยครับ ดูนะครับแวดวงรอบกรุง “ มาถึงวันนี้ครม.ขี้เหร่ของรัฐบาลสมัคร 1 ชื่อสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคุยโวว่าทำงานได้ กำลังแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นหลายคน และยังไม่รวมถึงคนแถวหน้าห้องนายกสมัครบางคนที่เริ่มแสดงสันดานชั่วออกมาให้เห็น ด้วยการติดต่อเรียกร้องผลประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ แบบไม่ละอายต่อฟ้าดิน ตรวจสอบดูเถอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ให้ถูกมองว่ารัฐบาลนี้อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม และรัฐมนตรีรวมถึงเลขากับผู้ติดตามอาจจะต้องกระเด็นจากตำแหน่ง จึงต้องรีบสวาปามผลประโยชน์ต่าง ๆ กันไว้เนิ่น ๆ พี่น้องชาวไทยเตรียมใจสวดมนต์สาปแช่งไว้ได้ล่วงหน้าเลย ถ้าเป็นเช่นนั้น กลายเป็นรัฐมนตรีที่ถูกมองว่าลุแก่อำนาจสำหรับจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็พูดจาก้าวร้าวเกินตัว แถมยังแสดงธาตุแท้ที่จะเล่นงานพวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่แยแสใคร ผู้เจนเวทีการเมืองมองท่าทีน่าสงสารและเวทนา” รัฐมนตรีฯจักรภพฯ เดี๋ยวเขาจะได้ชี้แจงแก้ตัวของเขา แต่นายกรัฐมนตรีสมัครได้อย่างไรครับ
ผมบอกว่าภายใน 3 วัน ถ้าหนังสือพิมพ์ผมได้ออกชื่อฉบับที่เขียนอย่างนี้ไม่ส่งเอกสารการที่ไปเรียกร้องทุจริตให้ผม ผมจะถือว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เสนอความเท็จ เอาความเท็จสาดใส่คนอื่น เขียนกันได้ตามใจชอบ แต่ก่อนคุณเขียนไป คนที่ถูกเขียนถึงไม่เสียหาย แต่บัดนี้คนที่เขียนถึงไม่ยอมแบบนี้แล้วครับ คุณว่าผมมาอย่างนี้ ผมต้องบอก ใน 3 วันผมจะรอ ส่งที่ทำเนียบรัฐบาล เอาหลักฐานที่คนหน้าห้องผมไปเที่ยวรีดไถใครต่อใครเอามาเลยครับ ทำงานยังไม่ทันจะ 2 เดือนยังไม่ทันจะชนเลย โครงการยังไม่ทำเลย งบประมาณก็ยังทำอะไรไม่ได้ กำลังดำเนินการ กล่าวหาว่าแล้ว ไหวไหมครับอย่างนี้ เขียนหนังสืออย่าไปเขียนพูดจาวกวน เขียนอะไรอย่างไร อ่านให้ฟังว่าเขียนหนังสือไม่เข้าท่า ท่านดูอย่างนี้ครับ “เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลนี้อาจจะอยู่ไม่ครบเทอม และรัฐมนตรีรวมถึงเลขากับผู้ติดตามอาจจะต้องกระเด็นจากตำแหน่งจึงต้องสวาปามผลประโยชน์ต่าง ๆ กันไว้แต่เนิ่น ๆ พี่น้องชาวไทย...” แล้วตกลงอย่างไรครับ ตกลงนี่โกงหรือยังครับ แล้วคนนี้เขารู้แล้วหรือครับว่าเขาจะอยู่ไม่ได้นาน คนเขียนรู้หรือครับว่าเขาจะอยู่ไม่ได้นาน รู้หรือว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้จะอยู่ไม่ได้นาน เขียนเองเดาเองเออเองทั้งนั้นเอง สำนวนการเขียนก็ใช้ไม่ได้ ผมจะบอกให้ฟัง ถ้าคนอ่านไม่มีวิจารณญาณอ่าน ๆ ไป ก็บอกคนเลวต่าง ๆ เข้ามา เห็นไหมครับ ต้องพูดอย่างนี้ เดี๋ยวจะได้ตอบคำถามตอนท้ายหน่อย
เล่าถึงทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ให้ประชาชนฟัง
“ทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่” อย่าลืมครับ หัวข้อสารคดีของผมวันนี้คือทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ หน้าเก่าเป็นอย่างไร หน้าเก่าก็อยู่นาน ๆ ครับ อยู่มา 10 ปี 15 ปีอย่างนั้นหน้าเก่า อยู่ติดต่อกัน 5 — 6 ปีก็หน้าเก่า อยู่กันไปนาน ๆ สัก 2 ปีก็ยังถือว่าหน้าเก่า แต่ผมอยู่ยังไม่ชน 2 เดือนก็มีความทุกข์ เมื่อเช้าอาจารย์สุขุม นวลสกุล ช่อง 3 บอกว่าขอดูหน่อยจะมีทุกข์อะไร เป็นความทุกข์ที่ผมต้องเอามาปรับทุกข์ ไม่มีปัญหาอื่นหรอกครับ เป็นทุกข์ที่อยู่ในใจผมและผมจะชวนท่านผู้ฟังได้ลองฟังความทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ซึ่งคนเป็นนายกรัฐมนตรีเขาก็ว่ากลายเป็นบุคคลสาธารณะ ใช่ไหมครับ ใครจะดุด่าว่ากล่าวตบตีอะไรได้ทั้งนั้น ผมก็บอกคงไม่ได้ทุกอย่างหรอก
การขาดสิทธิเสรีภาพส่วนตัวเป็นทุกข์อย่างหนึ่งของคนเป็นนายกรัฐมนตรี
มีคนบอกนายกรัฐมนตรีไปไหนมาไหนต้อง รปภ.(รักษาความปลอดภัย) ผมบอกอยู่ดี ๆ อยู่เฉย ๆ มาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียสิทธิเสรีภาพส่วนตัว จะไปนั่นคนเป็นรถ คุมรถหน้ารถหลัง ผมว่าไม่เอา เพราะผมต้องการไปเดินตลาดของผม ผมต้องไปซื้อกับข้าว ผมต้องไปคุยกับราษฎร ผมไปต่างจังหวัดผมก็ไปของผมคันเดียว แล้วเป็นอย่างไร ไม่ได้เดี๋ยว รปภ. เขาเดือดร้อนอย่างโน้นอย่างนี้ คุมกันแจคุมหัวคุมหาง ไหวไหมครับ แต่ผมยังขอบคุณ รปภ.อย่างเดียวกำลังนี้ที่ยังดูแลอยู่ข้างนอก ตามช่องทางต่าง ๆ ถ้า รปภ. เขาต้องเข้าไปถ่ายอุจจาระกับผมด้วยจะทำอย่างไรกัน นี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ พูดจริงครับ ฉะนั้นนี่ก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของคนเป็นนายกรัฐมนตรี คือ รปภ.กันจนเกิดเหตุเลยเหมือนกับเป็นเกียรติยศชนิดหนึ่งต้องเอามาแบกใส่บ่านายกฯ ไว้ คนเป็นนายกฯ ไม่มีอิสรเสรีภาพ ผมเป็นนายกฯ ที่ผมต้องการอิสรภาพของผม ความปลอดภัยใคร ๆ ก็กลัวตายกันทุกคน ไม่ใช่ผมไม่กลัวตาย แต่ว่าเอาการป้องกันมาใส่แอบไว้กับผม ๆ ไม่ชอบอย่างนี้ นี่เป็นทุกข์ข้อหนึ่ง
แต่ว่าทุกข์ยิ่งกว่านั้นคืออะไรครับ เขากำหนดไว้เลยครับว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีจะพูดจาอะไรอย่างที่ต้องการพูดไม่ได้ ผมเป็นคนช่างพูดช่างคิด บางทีแม้แต่คิดเขาก็ไม่ให้คิดอย่างนี้ ยิ่งพูดก็พูดไม่ได้เลย ผมบอกเป็นคนธรรมดาพูดได้ แสดงความคิดเห็นได้ พอเป็นนายกฯ ไม่ได้ มีกรอบมาใส่เลยครับ ที่ผมมาปรับทุกข์ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ผมบอกอย่างนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ บางครั้งก็ต้องพลาดพลั้งไปบ้าง ก็ต้องให้อภัยผมบ้าง ผมจะไปรู้ได้อย่างไรไปบ้านเมืองนี้อยากจะรู้ความเป็นไปของเขา ไปคุยไปฟังความเสร็จแล้วต้องเก็บไว้ พูดไม่ได้เล่าไม่ได้สัมภาษณ์ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะในโลกนี้มีคุณพ่ออยู่หลายคน เขาแบ่งค่ายกัน แต่ก่อนนี้มีค่ายคอมมิวนิสต์ มีค่ายประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้มีค่ายนายทุน แบ่งเป็นค่าย แล้วคนมหาอำนาจทั้งหลายคิดอย่างไร ประเทศเล็ก ๆ อย่างเราต้องคิดทำอย่างนั้นด้วยครับ
การเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ต้องปรับตัว
นี่คือทุกข์ใจของคนเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ผมเกิดมาผมไม่เคยรู้อย่างนี้เลยครับ เป็นนายกรัฐมนตรีคำว่า “เหตุผล” บางครั้งต้องเอาออกจากพจนานุกรม ต้องทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล บางครั้งคำว่าจริงใจใช้ไม่ได้ครับ เห็นใจก็ไม่ได้อีก แล้วคนเราคบค้าสมาคมกันอย่างนี้ได้อย่างไร เห็นไหมครับ ผมต้องบ่นเรื่องนี้ แต่ผมไม่ให้กระทบกระเทือนคนที่เขาต้องรับผิดชอบอยู่ ผมพูดกันลอย ๆ ให้ฟังอย่างนี้เท่านั้น ถ้าคนนี้ ๆ เขาว่าอย่างนี้ ถ้าเราจะอยู่กับคนนี้เราต้องไม่ยุ่งกับคนนี้ แล้วต้องทำอย่างนี้ ผมบอกชอบกลนะ คนนั้นจะสั่งอย่างไรต้องซ้ายหันขวาหันกับเขาหมด แล้วเป็นอย่างไร ถ้าท่านเป็นผมท่านจะรู้สึกอย่างไร ผมหน้าใหม่นะครับ คือต้องเปลี่ยนแปลงตัวไปเลย พูดไม่ได้ จะบอกว่าทำไมอย่างนี้ ๆ ต้องเป็นอย่างนี้ นี่สัญชาตญาณของคนนะครับต้องวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมอย่างนั้นไปทำอย่างนั้นกับเขาได้อย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น เท่านั้นละครับเป็นเรื่องใหญ่ Google เอาที่ผมพูดออกไปออกทั่วโลกเลย เป็นนายกรัฐมนตรีพูดอะไรไม่ได้มันจดหมด แต่ถ้าจดหมดกันดี ๆ จดไป นี่คอยจ้องนะครับ ลูกพี่ว่าอย่างไร เรากลายเป็นลูกน้องเขาไป ต้องคิดตามอย่างนั้นด้วย ลูกพี่บอกไม่ ต้องไม่ ลูกพี่บอกอย่าต้องอย่า นี่ละครับทุกข์ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยหน้าใหม่
ผมบอกอะไรกันนักกันหนาอย่างนี้ อะไรกันครับ ต้องทนครับ คือเรื่องอยากจะแก้ไขปัญหา แต่ไม่ฟังมูลเหตุของปัญหา จะอธิบายมูลเหตุของปัญหา ไม่ได้ พูดอย่างไรแปลว่าไปเข้าใจเขา แล้วก็ไปเห็นใจเขา แล้วก็รับฟังเหตุผล ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคุณมาจากเลือกตั้งคุณเป็นประชาธิปไตย ทางนั้นเป็นเผด็จการ ไปฟังความก็ไม่ได้ เข้าใจก็ไม่ได้ เห็นใจก็ไม่ได้ เอาไปพูดเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้อีกครับ ต้องแอบเล่าเข้าไปในห้อง ต้องเล่าเป็นการส่วนตัว และยังอาจจะไม่ได้อีก นี่ละครับความทุกข์ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ แล้วผมจะเป็นหน้าเก่าไหมครับ ผมต้องบ่นเรื่องนี้เพราะถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเป็นศตวรรษ ก็ 50 ปีมาแล้วครึ่งศตวรรษเป็นอย่างนี้ ต่อไปถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นไปได้อย่างไรกับประเทศที่รักอิสระเสรีภาพ เทิดทูนอิสระเสรีภาพเหนือสิ่งอื่นใด แต่เอาเท้าไปเหยียบคนอื่นเขาไว้ให้คิดตามตัวเอง ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ได้ อย่างนี้จะกระทบ ถ้าอย่างนี้จะ sanction อย่างนี้ ผมต้องร้องถามเลยว่าแล้วมันอะไรกันครับโลกนี้ อยู่กันได้อย่างไรครับ คำว่าเลือกปฏิบัติ ถ้าอย่างนี้ ๆ ไม่เป็นไรมีผลประโยชน์ไม่ว่า แต่นี่ไม่ได้ อย่างนี้ ๆ โอเค อย่างนี้ ๆ ไม่ได้ ผมไม่ได้ออกชื่อนะ ไม่ได้ออกประเทศด้วย ไม่ได้ออกกระทรวงไหนด้วย แต่ผมมีสิทธิจะต้องบ่น นี่ละครับทุกข์ของนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่ ผมจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวผม ผมจะต้องไปทำอะไรอย่างไร คนนี้ผมไม่ออกชื่อเขานะ ต้องไปเอาคำว่าเหตุผลออกจากพจนานุกรม เอาคำว่าเข้าใจออกจากพจนานุกรม เห็นใจออกจากพจนานุกรม เล่าปัญหาให้ฟัง คำว่าเล่าปัญหาของอีกข้างหนึ่งก็จะต้องเป็นคำที่วงเล็บว่าคำนี้ห้ามปฏิบัติ ถ้าหากจะให้ประเทศอยู่ในลักษณะดี เป็นพวกเป็นพ้องกับทางนี้เขา ไหวไหมครับ ไม่ไหวนะครับ
ทุกข์ของนายกรัฐมนตรีที่ต้องยอมอยู่ในกรอบของการคิด พูด แสดงความเห็น
ทุกข์ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีหน้าใหม่มีเรื่องประเภทพรรค์อย่างนี้ละครับ ทุกข์ใจเรื่องประเภทคนดุด่าว่ากล่าวโดยไม่มีเหตุผลนั่นก็ส่วนหนึ่ง ยังพอแก้ไขได้ ตอบโต้กันตรงนี้ได้ แต่รายการหลังนี้เขาห้ามตอบโต้ครับ แสดงความเห็นไม่ได้ คิดอะไรไม่ได้ บอกว่าอะไรกันนักกันหนา เขามีกรอบของเขาไว้เลย ผมก็อยู่ในกรอบครับ จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องยอมอยู่ในกรอบ ต้องเป็นคนอย่างนี้ คิดก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แสดงความเห็นก็ไม่ได้ อธิบายเปรียบเทียบยังไม่ได้เลยครับ Google เอาไปลง กลายเป็นว่าถ้านายกฯ ไทยพูด แปลว่านโยบายเป็นอย่างนี้ มันบ้าอะไรกันแบบนี้ นโยบายก็ไปตรวจสิมี แต่ความเห็นส่วนตัว ไม่ได้ เขาห้าม ผมก็ไม่ว่าอะไรแต่เป็นความทุกข์ที่ผมต้องมาบ่น เพราะผมจะต้องทุกข์อยู่ต่อไป เพราะผมเป็นคนประเภทที่อาจจะเป็นนายกฯ ไปไม่ตลอดรอดฝั่งก็เพราะความรู้สึกนึกคิดอันนี้ ผมว่าโลกนี้ไม่เป็นธรรม ประเทศใหญ่โตมโหฬาร บอกว่าสิทธิเสรีภาพอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แต่ในขณะเดียวกันไปกดคนอื่นเขา คิดอย่างอื่นไม่ได้ คิดนอกกรอบไม่ได้ ผมเองมาหลงเข้ากรอบเขาเอง แต่ผมมีสิทธิจะปรับทุกข์ได้ ผมไม่ออกชื่อใคร ไม่ได้ออกประเทศไหน ไม่ได้ออกกระทรวงไหนด้วย
ผมบอกให้ฟังเท่านั้นเองว่าผมมีความทุกข์ในใจเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้โลกนี้จะต้องอยู่กันอย่างนี้ไปอีกเท่าไร อย่างนั้นยอมได้ ๆ อย่างนี้ทำได้ ผมบอกอย่างนั้นทำไมทำเขาอย่างนั้นได้ เท่านั้นละครับ Google เอาไปเลย มันไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลนี้ เอาละครับผมก็จะต้องยอมรับเข้ามากรอบของเขาแล้ว ออกความเห็นไม่ได้ เปรียบเทียบไม่ได้ คำว่าเปรียบเทียบก็ต้องเอาออกจากพจนานุกรมเหมือนกัน เปรียบเทียบไม่ได้ เดี๋ยวลูกพี่เขาจะว่าอย่างนั้นเอา สังคมก็จะเป็นอย่างนี้ ผมบอกว่าผมมาเข้ากรอบเขาแล้ว แต่ต้องพูด พูดให้คนทั้งประเทศรู้ว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความทุกข์เหมือนกันครับ แล้วจะพูดให้สื่อสารมวลชน ไม่ได้เขย้อแขย่ง ไม่ได้อยากได้ใคร่ดี ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือ วันนี้เป็นพรุ่งนี้ไม่เป็นผมก็เฉย ๆ ผมเป็นมาหมดแล้ว แล้วไม่ต้องการจะแสวงหา ไม่ต้องการสะสมอะไรด้วย แต่ว่าผมทำงานให้บ้านเมืองผม
ผมไปมา 6 ประเทศดีมากที่เขาจัดให้ เพราะได้รู้ความสัมพันธ์ว่าเพื่อนบ้านของเรากำลังจะครบ 9 เป็น 10 เรารู้กัน นี่คือความแข็งแรง 500 กว่าล้าน พูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างนี้ ภาษายังแตกต่างแต่ความคิดเขาบอกเราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เห็นไหมครับ ครอบครัวคืออาเซียน คือทำงานร่วมกัน เขาหวังพึ่งเราเราหวังพึ่งเขา และเราเก่ง เขาก็บอกรับความเก่งแต่ไปช่วยเขาหน่อย ได้เลยครับ นี่คืองานที่ไปทำ เหน็ดเหนื่อยไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน เข้าห้องน้ำเสร็จออกห้องน้ำ เขายกป้ายเวลาจะหมดครับ ตอบคำถามให้มีเรื่องหน่อย
คำถาม อยากให้นายกฯ สนับสนุนเรื่องการศึกษาทุกระดับ โดยให้ทุนและให้กู้ยืม
นายกรัฐมนตรี เขาแก้ไขแล้วครับ เขาดำเนินการแก้ไขแล้ว ทีแรกเขาให้กู้เฉย ๆ ทีหลังเขาบอกว่ามีอาชีพที่ทำแล้วได้เงิน เขาเลยทำสัญญาว่าตอนได้เงินเดือนต้องเอามาใช้ เขากำลังจะปรับปรุง 2 อันนี้ให้กู้ยืมแน่นอนไม่มีปัญหาหรอกครับทำให้
คำถาม เทศกาลสงกรานต์จะมีมาตรการแก้ไขเรื่องคนตายน้อยที่สุดอย่างไร
นายกรัฐมนตรี ผมไม่อยากจะพูดคำว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ว่าถ้าคนเราไม่รักชีวิตตัวเอง คนอื่นเขาจะช่วยป้องกันอย่างไร ถนนใหญ่ไม่มีปัญหา ดูสถิติผมอ่าน สถิติถนนใหญ่ที่เขาเรียกว่า trunk road ไม่มีปัญหา คุมอยู่ดูแล พอเข้าไปถนนซอยจังหวัดเท่านั้นเอง ก็ดูแลกันภายใน จะเน้นก็คือว่าท่านผู้ว่าฯ น่าจะช่วยงานหน่อย ในท้องถิ่น และเหตุเกิดร้อยละ 70 — 80 เป็นมอเตอร์ไซค์ ก็รู้เหตุหมดแล้วครับ แต่จะไม่ให้มีคนตาย ขอบอกว่าสงกรานต์ 7 วันเลิกขี่มอเตอร์ไซค์ได้ไหม ทุกจังหวัดมอเตอร์ไซค์เก็บหมดเลย 7 วัน ไปไหนมาไหนเดิน เขาบอกว่าถ้าไม่กินเหล้าเมายาก็ไม่มีอุบัติเหตุ ก็ช่วยกันดูแลสิครับ ป้องกันตรงนั้นหน่อย ผมคิดว่าหนทางป้องกันทำได้ สถิติก็ให้ดำเนินการได้ ผมไม่อาจจะอวดว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ก็ทำอย่างที่เคยทำ แต่เน้นไปที่ท้องถิ่น ออกจากถนนใหญ่ไปแล้วถนนที่เข้าจังหวัดช่วยกันดูหน่อย
คำถาม ประเทศไทยอาชีพหลักเกี่ยวกับการเกษตร อยากให้รัฐบาลสนับสนุนเกษตรให้มาก
นายกรัฐมนตรี ไม่มีปัญหาครับ เราเป็นเกษตรแต่ว่าถึงสมัยนี้ต้องเป็นเกษตรอุตสาหกรรม และจริง ๆ แล้วก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ ความจริงนี้ผมพูดไว้เรื่องรายได้ต่ำ และรายจ่ายสูงเป็นอย่างไร ผมมีคำตอบมาแล้วเป็นวิชาการเลย แต่ผมได้แปลเป็นภาษาผมธรรมดา เขาแจ้งว่าเวลาหมดครับ ผมก็พอหมดเวลาออกจากนี่ไปผมต้องไปขึ้นเครื่องบิน ไปทำหน้าที่ ไปประชุมลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศประชุมกัน [ร่วมประชุมสุดยอด 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 (3rd GMS Summit)
] วันนี้นายกรัฐมนตรี 6 ประเทศใน 10 ประเทศจะประชุมกัน และที่จริงมี 5 ไปบวกจีนเข้า 1 เขาจะมาประชุมกันเรื่องลุ่มแม่น้ำโขง 2 วัน วันนี้พรุ่งนี้ ค่ำ ๆ พรุ่งนี้ดึก ๆ ผมกลับ ก็ไปทำงานครับ อยากจะบอกให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้รู้บ้างว่าผมไม่ได้ไปหมกมุ่นเรื่องไปต่อต้านใครไปปฏิวัติใครอย่างไร แล้วไม่ต้องมาหาเหตุกับผม อย่ามาขุดหลุมล่อเลย ผมไม่บอกหรอก จะชื่อใครอะไรอย่างไร แต่ผมยืนยันไปแล้วว่าทหารเขาไม่เกี่ยวข้อง ยังอุตส่าห์ไปเที่ยวถามเที่ยวซักอะไรเขา ก็มีคนคิด ผมรู้เขาคิดว่า แต่จะมาบอกจะเอามาตรารัฐธรรมนูญ ยากครับ อย่ามานั่นเลย ผมก็บอกให้รู้ไว้เท่านั้นเอง อย่าพยายามมาขุดบ่อล่อให้ผมไปตกหลุมเลย วันนี้ผมต้องขึ้น ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมต้องไปตกหลุมนั่น ผมต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินเพราะจะไปประชุมตอนสาย ๆ วันอาทิตย์หน้า 08.30 น. เจอกันใหม่ครับ วันนี้ลาก่อนสวัสดีครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--