วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2565) เวลา 08.45 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล คณะโครงการสัมมนาผู้นำเยาวชนและนิสิตนักศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย นายศราวุธ ศรีวรรณยศ รองประธานสภาดะฮ์วะหฺอิสลามแห่งเอเชียอาคเนย์และแปซิฟิก ดาโต๊ะ มูฮัมหมัด มัรซูกี มูฮัมหมัด โอมาร เลขาธิการใหญ่สภาดะฮ์วะหฺอิสลามแห่งเอเชียอาคเนย์และแปซิฟิก ดาโต๊ะ อะหมัด อาสัม อับดุลเราะห์มาน กรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชน องค์การความร่วมมือโลกอิสลาม (OIC) นายอีนาส ยาลมาล เลขาธิการสหพันธ์องค์กรนักศึกษามุสลิมโลก พร้อมด้วยผู้นำเยาวชนและนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรระหว่างประเทศ และผู้แทนจากมหาวิทยาลัยเข้าคารวะและรับโอวาทจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ดาโต๊ะ มูฮัมหมัด มัรซูกี มูฮัมหมัด โอมาร เลขาธิการใหญ่สภาดะฮ์วะหฺอิสลามแห่งเอเชียอาคเนย์และแปซิฟิก กล่าวขอบคุณและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำคณะโครงการสัมมนาผู้นำเยาวชนฯ เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พร้อมชื่นชมประเทศไทยที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและอบอุ่น โดยเชื่อมั่นว่าตลอดระยะเวลาของการจัดสัมมนาจะเป็นความทรงจำที่ดีเมื่อเดินทางกลับไปยังประเทศ ซึ่งจะนำประสบการณ์ที่ได้แลกเปลี่ยนกลับไปพัฒนาเพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไป
นายอะหมัด ฟัรฮาน โรสลี เลขาธิการสหพันธ์มุสลิม แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (PEPIAT) กล่าวเป็นเกียรติและยินดีที่ได้เข้าคารวะและรับโอวาทจากรองนายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างกันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชน ซึ่งถือเป็นตัวแทนและผู้สังเกตการณ์สำคัญที่จะสามารถนำพาความสงบสุข สร้างสันติภาพให้แก่ประเทศได้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กและเยาวชนบนหลักความรู้คู่คุณธรรมซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของความดีและความเจริญ ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติและนานาชาติ โดยเฉพาะหลักการของศาสนาอิสลามที่ถือว่า มุสลิมทุกคนล้วนเป็นอันหนี่งอันเดียวกัน รัฐบาลยินดีสนับสนุนการสร้างผู้นำเยาวชน มุสลิมและมุสลิมะห์ ที่มีคุณภาพ พร้อมเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างเยาวชนและนิสิตมุสลิมในองค์กรและสถาบัน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นปึกแผ่น
รองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยให้อิสระประชาชนนับถือศาสนาอย่างเสรี ส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบพิธีกรรมของทุกศาสนา เท่าเทียม ไม่แบ่งแยก หรือ เลือกปฏิบัติ เพื่อให้ทุกศาสนาเจริญงอกงามได้ตามหลักการ ซึ่งประเทศไทยมีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก รวมทั้งทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา จึงก่อให้เกิดพลังความสามัคคีในชาติ ไม่บาดหมางกัน ดังจะเห็นจากในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานรางวัลการทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และพระราชทานรางวัลแก่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและนักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาภาคใต้ ณ จังหวัดปัตตานี ทุกปี ขณะที่รัฐบาลได้มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายโครงการที่สำคัญ เช่น การจัดอาหารกลางวันให้โรงเรียนตาดีกา การจัดเงินค่าตอบแทนผู้นำศาสนาอิสลามเพื่อให้ปฏิบัติศาสนกิจการเผยแพร่หลักการศาสนาได้ การส่งเสริมการเรียนการสอนด้านอาชีพแก่นักเรียนในสถาบันปอเนาะ การส่งเสริมบทบาทสตรีและเยาวชนมุสลิมให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรศาสนา เป็นต้น
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการสัมมนาฯ ในครั้งนี้ ช่วยกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความงดงามทางศิลปะวัฒนธรรมและความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย สนับสนุนองค์กรเยาวชนและนิสิตนักศึกษามุสลิมกับภารกิจเพื่อสังคม สาธารณประโยชน์ และมนุษยธรรม และส่งเสริมความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม และหากมีสิ่งใดที่รัฐบาลสามารถสนับสนุนได้ จะมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือและประสานงานให้โดยเร็วต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th