นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายและเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” ภายใต้กลยุทธ์ “3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น"
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายและเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” มุ่งลดปัญหาแพร่ระบาด ขจัดความเดือดร้อนประชาชน ภายใต้กลยุทธ์ “3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น” โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการ ป.ป.ส. ผู้นำเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ผู้แทนองค์กรภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 400 คน จัดโดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ศอ.ปส.) กระทรวงยุติธรรม
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวรายงานโดยสรุปว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบและเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อยุติสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติด และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน รัฐบาลทุกชุดจึงได้ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด โดยกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระสำคัญของชาติที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการ ซึ่งการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานที่ทุกหน่วยงานส่วนใหญ่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ที่เป็นผลมาจากการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน จนสถานการณ์ปัญหายาเสพติดอยู่ในภาวะเบาบางสามารถควบคุมได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุขของประชาชน ส่งผลต่อความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการดำเนินงานของภาครัฐในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอยู่ในระดับที่สูง
อย่างไรก็ตาม ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแก้ไขปัญหาจะต้องกระทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและเร่งด่วน โดยเฉพาะในบางพื้นที่ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ตามแนวชายแดน ที่พบว่ายังคงปรากฏแนวโน้มของปัญหายาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขให้ได้ผลอย่างทันท่วงที เพื่อมิให้ปัญหายาเสพติดหวนกลับคืนมาอีก รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อสภาและกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการในปีแรก ในการเร่งรัดแก้ไขปัญหายาเสพติดและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยยังคงยึดหลักการ “ผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ส่วนผู้ค้า คือ ผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม” ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดปราบปรามการค้ายาเสพติด ลดปริมาณผู้เสพยาและป้องกันมิให้กลุ่มเสี่ยงเข้าไปเป็นเหยื่อของยาเสพติด โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ควบคู่กับมาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งใช้มาตรการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตัดช่องทางการหาเงินทุจริตของผู้มีอิทธิพลในทุก ๆ ด้าน และเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้มีปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” ระยะเวลา 1 เมษายน — 30 กันยายน 2551 มีจุดเน้นสำคัญและเร่งด่วนต่อการมุ่งลดปัญหาแพร่ระบาด ขจัดความเดือดร้อนประชาชน ที่จะต้องลดระดับปัญหาให้ลดลงอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ “ 3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น” เพื่อลดระดับปัญหายาเสพติด ทั้งการผลิต นำเข้า ค้าและแพร่ระบาด และสร้างความพึงพอใจของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหาในทุกระดับให้สูงขึ้น สำหรับภารกิจการดำเนินงานต่อไปภายหลังจากได้รับมอบนโยบายในวันนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำนโยบาย มาตรการ และแนวทางดำเนินงานไปสู่การปฏิบัติ และจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้อง รวมทั้งถ่ายทอดนโยบายให้แก่หน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ได้รับทราบ เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวมอบนโยบายและเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” สรุปสาระสำคัญว่า รัฐบาลนี้มีคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ชัดเจนว่ามีความมุ่งมั่นจะปราบปรามยาเสพติด ซึ่งนโยบายการปราบปรามยาเสพติดก็มีอยู่ในทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าในยุคใดสมัยใดที่มีความเข้มข้น เน้นหนักเอาจริงเอาจังเท่าใด โดยบางรัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามยาเสพติดค่อนข้างเด็ดขาด ทำให้จำนวนยาเสพติด ผู้ค้าและผู้เสพได้ลดจำนวนลงไปมาก แต่ก็ยังเกิดปัญหาที่ได้บั่นทอนความรู้สึกความตั้งใจของเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการในทางปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่จะต้องมองปัญหายาเสพติด โดยมองถึงสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ความผาสุกของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะยาเสพติดทำลายความปลอดภัยของสังคม ทำลายสุขภาพอนามัยของประชาชนและความสงบเรียบร้อยอันเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ดังนั้นการปราบปรามยาเสพติดเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
“ ยาเสพติดเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่มีเขี้ยวเล็บร้ายกาจ การปราบปรามยาเสพติดมีปัญหาเรื้อรังกันมา รวมทั้งมีปัญหาการเพิ่มขึ้นของยาเสพติดหรือปัญหาของตัวผู้ปราบปราม เมื่อก่อนเคยพูดถึงว่าเป็นการประกาศสงครามยาเสพติด ทำให้มีมุมมองหนึ่งที่กลายเป็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเหมือนจะไปฆ่าฟันทำร้ายร่างกายคน แต่ที่จริงแล้วคือการทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีหน้าที่ต้องดูแลปราบปราม คนที่ทำผิดกฎหมายทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทหาร ตำรวจ เจ้าพนักงานที่ดูแลก็ต้องดำเนินการให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องเน้นดำเนินคดีกับผู้มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด แต่เมื่อพูดไปถึงเรื่องสงครามก็ทำให้เกิดมุมมองที่น่ากลัว” รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องการเอาจริงเอาจังในการดำเนินคดีกับผู้ค้ายาเสพติดและผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติด จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” โดยเป็นนโยบายที่ไม่ต้องการให้ไปทำร้ายร่างกายหรือฆ่าใคร ผู้ที่ทำความผิดตามกฎหมายจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์ 3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น ด้วยการนำของเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่โดยตรง
“ ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่ทุกท่านมีหน้าที่ดูแลด้วยว่าอย่าให้ใครไปฆ่ากัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเจ้าหน้าที่จะไปฆ่าใคร เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะไปฆ่าใคร การที่มีคนตายจากปืนเจ้าหน้าที่นั้นมีกฎหมายรองรับ ประมวลกฎหมายอาญามีชัดเจน ผู้ใดกระทำการเพื่อป้องกันภยันตรายอันใกล้จะมาถึง และกระทำไปโดยพอสมควรแก่เหตุไม่ต้องรับผิด แต่ต้องขึ้นศาลเพื่อให้ศาลบอกว่าผิดหรือไม่ ขอให้เข้าใจชัดเจนว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ไปฆ่าคน ไปทำร้ายคน และขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแลด้วยว่าอย่าให้เขาฆ่ากันเอง แต่หากมีเหตุการณ์ฆ่ากันเองเกิดขึ้นก็ให้จับดำเนินคดี จะได้ตัดปัญหาคำว่าเป็นนโยบายฆ่าตัดตอน ไม่มีนโยบายนี้เป็นอันขาด นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำเรื่องนี้ รัฐบาลเป็นห่วงสวัสดิภาพของประชาชนแต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เป็นห่วงเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดำเนินการปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดในครั้งนี้ และครั้งที่ผ่านมา เพราะนโยบายของรัฐบาลสำเร็จได้ก็เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมมือกัน” รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าว
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งมอบหมายกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม ให้นำผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่วงจรการบำบัดรักษาเพื่อให้กลับมามีชีวิตปกติอีกครั้งหนึ่ง และสิ่งที่สำคัญมากที่ต้องเน้นคือสถาบันการศึกษาต้องให้ความรู้กับเยาวชนได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพิษภัยของยาเสพติดตั้งแต่วัยเด็กเพื่อป้องกันการเข้าสู่วงจรของยาเสพติด ขณะเดียวกันผู้ที่ควรร่วมดูแลการปราบปรามยาเสพติดที่สำคัญนอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง แล้วก็คือภาคประชาชน ซึ่งหากบุคลากรของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบจ. อบต. ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด มีความเข้าใจและพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐ ก็จะทำให้การสื่อสารกับประชาชนเรื่องการให้ความรู้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ผลดีที่สุด
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวฝากเรื่องการปราบปรามยาเสพติดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องทำเพื่อประเทศชาติ เยาวชน และครอบครัวของทุกคน ซึ่งทั้งหมดจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน โดยมั่นใจว่านโยบายของรัฐบาล รวมทั้งความมุ่งมั่นของทุกคนที่จะร่วมกันทำงานในครั้งนี้จะสัมฤทธิผลเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างสูงที่สุด
ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ทำพิธีเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” ด้วยการปักแท่นสัญลักษณ์ลงบนแท่นพิธี ร่วมกับ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายและเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” มุ่งลดปัญหาแพร่ระบาด ขจัดความเดือดร้อนประชาชน ภายใต้กลยุทธ์ “3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น” โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการ ป.ป.ส. ผู้นำเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ผู้แทนองค์กรภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 400 คน จัดโดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ศอ.ปส.) กระทรวงยุติธรรม
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวรายงานโดยสรุปว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบและเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อยุติสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติด และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน รัฐบาลทุกชุดจึงได้ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด โดยกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระสำคัญของชาติที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการ ซึ่งการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานที่ทุกหน่วยงานส่วนใหญ่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ที่เป็นผลมาจากการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน จนสถานการณ์ปัญหายาเสพติดอยู่ในภาวะเบาบางสามารถควบคุมได้ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุขของประชาชน ส่งผลต่อความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการดำเนินงานของภาครัฐในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอยู่ในระดับที่สูง
อย่างไรก็ตาม ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแก้ไขปัญหาจะต้องกระทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและเร่งด่วน โดยเฉพาะในบางพื้นที่ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ตามแนวชายแดน ที่พบว่ายังคงปรากฏแนวโน้มของปัญหายาเสพติดเพิ่มสูงขึ้น จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขให้ได้ผลอย่างทันท่วงที เพื่อมิให้ปัญหายาเสพติดหวนกลับคืนมาอีก รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อสภาและกำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการในปีแรก ในการเร่งรัดแก้ไขปัญหายาเสพติดและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยยังคงยึดหลักการ “ผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษา ส่วนผู้ค้า คือ ผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม” ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดปราบปรามการค้ายาเสพติด ลดปริมาณผู้เสพยาและป้องกันมิให้กลุ่มเสี่ยงเข้าไปเป็นเหยื่อของยาเสพติด โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ควบคู่กับมาตรการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งใช้มาตรการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตัดช่องทางการหาเงินทุจริตของผู้มีอิทธิพลในทุก ๆ ด้าน และเพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้มีปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” ระยะเวลา 1 เมษายน — 30 กันยายน 2551 มีจุดเน้นสำคัญและเร่งด่วนต่อการมุ่งลดปัญหาแพร่ระบาด ขจัดความเดือดร้อนประชาชน ที่จะต้องลดระดับปัญหาให้ลดลงอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ “ 3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น” เพื่อลดระดับปัญหายาเสพติด ทั้งการผลิต นำเข้า ค้าและแพร่ระบาด และสร้างความพึงพอใจของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหาในทุกระดับให้สูงขึ้น สำหรับภารกิจการดำเนินงานต่อไปภายหลังจากได้รับมอบนโยบายในวันนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำนโยบาย มาตรการ และแนวทางดำเนินงานไปสู่การปฏิบัติ และจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้อง รวมทั้งถ่ายทอดนโยบายให้แก่หน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ได้รับทราบ เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวมอบนโยบายและเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” สรุปสาระสำคัญว่า รัฐบาลนี้มีคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ชัดเจนว่ามีความมุ่งมั่นจะปราบปรามยาเสพติด ซึ่งนโยบายการปราบปรามยาเสพติดก็มีอยู่ในทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าในยุคใดสมัยใดที่มีความเข้มข้น เน้นหนักเอาจริงเอาจังเท่าใด โดยบางรัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามยาเสพติดค่อนข้างเด็ดขาด ทำให้จำนวนยาเสพติด ผู้ค้าและผู้เสพได้ลดจำนวนลงไปมาก แต่ก็ยังเกิดปัญหาที่ได้บั่นทอนความรู้สึกความตั้งใจของเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการในทางปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่จะต้องมองปัญหายาเสพติด โดยมองถึงสวัสดิภาพ ความปลอดภัย ความผาสุกของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะยาเสพติดทำลายความปลอดภัยของสังคม ทำลายสุขภาพอนามัยของประชาชนและความสงบเรียบร้อยอันเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ดังนั้นการปราบปรามยาเสพติดเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
“ ยาเสพติดเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่มีเขี้ยวเล็บร้ายกาจ การปราบปรามยาเสพติดมีปัญหาเรื้อรังกันมา รวมทั้งมีปัญหาการเพิ่มขึ้นของยาเสพติดหรือปัญหาของตัวผู้ปราบปราม เมื่อก่อนเคยพูดถึงว่าเป็นการประกาศสงครามยาเสพติด ทำให้มีมุมมองหนึ่งที่กลายเป็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเหมือนจะไปฆ่าฟันทำร้ายร่างกายคน แต่ที่จริงแล้วคือการทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมีหน้าที่ต้องดูแลปราบปราม คนที่ทำผิดกฎหมายทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทหาร ตำรวจ เจ้าพนักงานที่ดูแลก็ต้องดำเนินการให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องเน้นดำเนินคดีกับผู้มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด แต่เมื่อพูดไปถึงเรื่องสงครามก็ทำให้เกิดมุมมองที่น่ากลัว” รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องการเอาจริงเอาจังในการดำเนินคดีกับผู้ค้ายาเสพติดและผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติด จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” โดยเป็นนโยบายที่ไม่ต้องการให้ไปทำร้ายร่างกายหรือฆ่าใคร ผู้ที่ทำความผิดตามกฎหมายจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์ 3 ลด 3 เพิ่ม 3 เน้น ด้วยการนำของเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่โดยตรง
“ ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่ทุกท่านมีหน้าที่ดูแลด้วยว่าอย่าให้ใครไปฆ่ากัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเจ้าหน้าที่จะไปฆ่าใคร เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะไปฆ่าใคร การที่มีคนตายจากปืนเจ้าหน้าที่นั้นมีกฎหมายรองรับ ประมวลกฎหมายอาญามีชัดเจน ผู้ใดกระทำการเพื่อป้องกันภยันตรายอันใกล้จะมาถึง และกระทำไปโดยพอสมควรแก่เหตุไม่ต้องรับผิด แต่ต้องขึ้นศาลเพื่อให้ศาลบอกว่าผิดหรือไม่ ขอให้เข้าใจชัดเจนว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ไปฆ่าคน ไปทำร้ายคน และขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแลด้วยว่าอย่าให้เขาฆ่ากันเอง แต่หากมีเหตุการณ์ฆ่ากันเองเกิดขึ้นก็ให้จับดำเนินคดี จะได้ตัดปัญหาคำว่าเป็นนโยบายฆ่าตัดตอน ไม่มีนโยบายนี้เป็นอันขาด นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำเรื่องนี้ รัฐบาลเป็นห่วงสวัสดิภาพของประชาชนแต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เป็นห่วงเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ดำเนินการปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดในครั้งนี้ และครั้งที่ผ่านมา เพราะนโยบายของรัฐบาลสำเร็จได้ก็เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมมือกัน” รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าว
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งมอบหมายกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม ให้นำผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่วงจรการบำบัดรักษาเพื่อให้กลับมามีชีวิตปกติอีกครั้งหนึ่ง และสิ่งที่สำคัญมากที่ต้องเน้นคือสถาบันการศึกษาต้องให้ความรู้กับเยาวชนได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพิษภัยของยาเสพติดตั้งแต่วัยเด็กเพื่อป้องกันการเข้าสู่วงจรของยาเสพติด ขณะเดียวกันผู้ที่ควรร่วมดูแลการปราบปรามยาเสพติดที่สำคัญนอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง แล้วก็คือภาคประชาชน ซึ่งหากบุคลากรของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบจ. อบต. ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด มีความเข้าใจและพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐ ก็จะทำให้การสื่อสารกับประชาชนเรื่องการให้ความรู้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ผลดีที่สุด
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวฝากเรื่องการปราบปรามยาเสพติดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องทำเพื่อประเทศชาติ เยาวชน และครอบครัวของทุกคน ซึ่งทั้งหมดจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน โดยมั่นใจว่านโยบายของรัฐบาล รวมทั้งความมุ่งมั่นของทุกคนที่จะร่วมกันทำงานในครั้งนี้จะสัมฤทธิผลเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างสูงที่สุด
ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ทำพิธีเปิดปฏิบัติการ “รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด” ด้วยการปักแท่นสัญลักษณ์ลงบนแท่นพิธี ร่วมกับ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--