นายกฯ เปิดโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชวนคณะอบรมฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ 19-21 ม.ค. 67 ดูงานโครงการพระราชดำริ โปรโมตสินค้า ช่วยเหลือประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำสังคม
วันนี้ (8 มกราคม 2567) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ?Thailand?s Future : อนาคตประเทศไทย? โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับและเข้าร่วม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในวันนี้ พร้อมกล่าวว่าการรวมตัวของทุกคนในวันนี้ เป็นการรวมตัวเพื่อการทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วยการบริจาค การให้ทุนการศึกษาเพื่อช่วยเหลือภาคส่วนที่ยังมีความขาดแคลนซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ถึงแม้จะเป็นการพูดคุยอบรมกันแค่ 10 วัน อยากจะขอเสนอแนะให้ทุกคนไปดูตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ใช่แค่บริจาคเพียงอย่างเดียว โดยทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะมีการเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 - 21 มกราคมนี้ ซึ่งหวังว่าทุกคนในโครงการนี้จะสามารถสละภารกิจไปร่วมกันได้ โดยจะเดินทางไปโครงการพระราชดำริว่าแต่ละโครงการมีสินค้าอะไรบ้าง มีเรื่องอะไรบ้างที่พวกเราจะสามารถช่วยเหลือได้ เช่น การป้องกันภัยไฟป่า การเก็บใบไม้นำมาทำเป็นภาชนะ ถ้าสามารถนำภาชนะนั้นไปใช้บนสายการบินต่าง ๆ มีการฉายวิดีโอให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเห็นว่าประเทศไทยเรามีการทำอะไรบ้างในการป้องกันภัยไฟป่า หรือใช้สิ่งของทดแทนพลาสติก อีกทั้งบางพื้นที่ยังมีปัญหาการทำการตลาด สินค้าดี ๆ หลายอย่างยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นสู่ห้างหรือตลาดที่ขายได้ ซึ่งตนเองหวังว่าทางโครงการฯ จะให้การบ้านก่อนที่จะเดินทางไปดูงาน ไปฟังบรรยายว่าเขาทำอะไรบ้าง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการเสียสละเวลาที่มีค่าของเราไปศึกษา เรียนรู้กับสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นจะเป็นความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้ โดยจะขอเชิญชวนทุกคนในโครงการมาร่วมกัน โดยเราเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความพร้อม แต่ว่ายังมีอีกหลายจังหวัดที่เราจะลงไปศึกษา เรียนรู้ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะมีการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะลงไปดูเรื่องของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม กีฬา อาหารและศิลปกรรมที่เราสามารถหยิบยกขึ้นมา เพื่อทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ตรงนั้นดีขึ้น ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ความมั่นคงของภาคใต้มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้จะยั่งยืนต่อไปได้จะต้องมีความมั่งคั่งด้วย เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการให้ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงค่าแรงขั้นต่ำว่า เป็นเรื่องที่อยู่ภายในใจมาโดยตลอด ซึ่ง 9 ปีที่ผ่านมา ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นจาก 300 บาท เป็น 337 บาท ขึ้นมา 12% คนที่กลับมาจากต่างประเทศเงินเดือน 30,000 บาทเมื่อ 9 ปีที่แล้ว วันนี้เงินเดือนขึ้นมาเป็น 33,700 บาท ตนเองเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยไม่มีความสุข โดยรัฐบาลตั้งใจที่จะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนทุกคน ซึ่งรัฐบาลได้เดินทางไปเปิดตลาด เซ็นสัญญา FTA กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อเป็นการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน แต่จะไม่สามารถทำได้หากค่าแรงขั้นต่ำไม่ถูกยกระดับขึ้นมา ถึงแม้รายได้ฐานบนจะถูกยกขึ้นจากการลงทุนข้ามชาติ แต่รายได้ฐานล่างยังไม่มีความแข็งแรงก็ไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนขึ้นมาได้ รายได้ทั้งสองฐานจะต้องไปควบคู่กัน ทั้งนี้ เชื่อว่าเรื่องของการทำกำไรไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ แต่เรื่องความเสมอภาค ยกระดับสังคมขึ้นมา การดูแลความเหลื่อมล้ำเป็นประเด็นที่สำคัญมากกว่า ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
นอกจากนั้น การดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ใช่แค่เพียงการดึงเม็ดเงิน เทคโนโลยีหรือฐานการผลิต แต่จะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาความสามารถของประชาชน ทั้งนี้ อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ของเราต้องการความรู้ ความสามารถอีกมากซึ่งในปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นการเจรจาการค้าต่าง ๆ ก็อยากจะขอให้ช่วยกันดึงผู้มีความรู้ทางด้านวิชาการมาถ่ายทอดความรู้ในมหาวิทยาลัยหรือบริษัทต่าง ๆ เพื่อยกระดับความรู้ ความสามารถของแรงงานขึ้นไป ให้แรงงานของเรามีคุณภาพเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th