นายกฯ มอบนโยบายและสั่งการในที่ประชุม ครม. ขอบคุณทุกหน่วยงานสนับสนุนการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ปี 67 วาระ 1 ตลอดระยะเวลา 3 วัน จนสำเร็จลุล่วง และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
วันนี้ (9 มกราคม 2567) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายและมีข้อสั่งการต่อคณะรัฐมนตรี
นายกฯ ได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีทุกท่าน เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะสำนักงบประมาณ ที่ให้การสนับสนุนการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ปี 67 วาระ 1 ตลอดระยะเวลา 3 วัน ที่ผ่านมา จนสำเร็จลุล่วง และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากรัฐบาลมีเวลาในการเตรียมตัวน้อยมากในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ จึงอาจทำให้ขาดความสมบูรณ์ ดังนั้น ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ปี 68 ซึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการนำนโยบายของรัฐบาล มากำหนดเป็นจุดเน้นที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 68 และใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับต่อไป โดยมีการกำหนดสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณที่สะท้อนถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ชัดเจน มีการกำหนดตัวชี้วัดในการดำเนินแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และกรณีจะเพิ่มหรือลดงบประมาณในรายการใด ต้องสามารถอธิบายเหตุผล และความจำเป็นได้อย่างชัดเจน โดยขอให้สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หารือและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดทำโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายปี 68 ตามแนวทางดังกล่าว และให้แต่ละกระทรวงส่งแผนการทำงานตามนโยบายของกระทรวงมาเพื่อประกอบการพิจารณางบประมาณต่อไป
นายกฯ ยังสั่งการในเรื่องการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด KPI และติดตามประเมินผล การปฏิบัติงานของหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนงานการดำเนินงานของหน่วยงานให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล สะท้อนผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานที่ชัดเจน และเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายในการต่ออายุข้าราชการให้กับตำแหน่งราชการใดๆ ที่เกษียณอายุราชการ
นายกฯ ยังกล่าวขอให้ทุกกระทรวง และหน่วยงานของรัฐ ที่มีการตั้งงบประมาณเพื่อจัดหาหรือเช่าระบบ cloud ชะลอการจัดซื้อจัดจ้างไว้ก่อน เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ของประเทศไทย จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลกลางในการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่าง ๆ และหากกระทรวงไหนมีข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวให้ส่งมารวมที่ DGA
นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยเริ่มบังคับใช้มาตรฐาน Euro 5 กับรถยนต์ประเภทต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทสันดาปภายในครั้งสำคัญของประเทศ และเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหา PM2.5 จากรถยนต์ อย่างไรก็ตาม การจะยกระดับจาก Euro 5 ไปเป็น Euro 6 ในระยะต่อไป ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยต้องคำนึงมิติด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกรณีรถยนต์ดีเซลทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ซึ่งเป็นรถเชิงพาณิชย์ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจในวงกว้าง อีกทั้งในภูมิภาคอาเซียน นอกจากสิงคโปร์แล้ว ยังไม่มีประเทศใดประกาศใช้มาตรฐาน Euro 6 การที่ไทยประกาศใช้ก่อนจะเป็นการเพิ่มต้นทุนที่สูงให้กับผู้ประกอบการ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และยังมีผลกระทบกับการขนส่งข้ามแดนอีกด้วย ทั้งนี้ การยกระดับจาก Euro 5 ไปเป็น Euro 6 ผู้ประกอบการต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตพอสมควร และไทยเพิ่งประกาศใช้มาตรฐาน Euro 5 ไปเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ปีนี้ ดังนั้นขอให้ชะลอการบังคับใช้มาตรฐาน Euro 6 กับรถยนต์ดีเซลทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ออกไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาร่วมกันผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้มีความรอบคอบโดยคำนึงถึงมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมให้รอบด้าน แล้วจึงเสนอให้ ครม. พิจารณาใหม่อีกครั้ง
นายกฯ ยังได้กล่าวขอบคุณกระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค ที่จะแก้ไขระเบียบการใช้ไฟฟ้า และน้ำประปา ให้ผู้มีทะเบียนบ้านชั่วคราว ขอใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาได้ เช่นเดียวกับผู้มีทะเบียนบ้านปกติ ซึ่งจะทำให้ประชาชนที่อยู่ในที่ดินของรัฐ สามารถขอใช้ไฟฟ้า และน้ำประปา ได้ด้วยอัตราปกติ และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาวให้แก่พี่น้องประชาชนที่อยู่อาศัยในที่ดินซึ่งระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดินว่าเป็นที่ดินของรัฐหรือของประชาชน ซึ่งไม่มีไฟฟ้าใช้มานานหลายปี ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนที่อยู่ระหว่างพิสูจน์สิทธิในที่ดิน จึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช) ดำเนินการ ดังนี้ 1.) ดำเนินการขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติ ครม 8 เมษายน 2546 โดยเร่งด่วน และให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในที่ดินซึ่งอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดินว่าเป็นที่ดินของรัฐหรือของประชาชน เฉพาะที่อยู่ในที่ดินดังกล่าวมาก่อนอยู่วันที่มีการประชุม ครม. วันนี้ ให้มีไฟฟ้าใช้ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดินเป็นการชั่วคราวตามหลักสิทธิมนุษยชนโดยเร็ว โดยนำร่องในจังหวัดกาญจนบุรี แล้วรายงานผลการดำเนินงานต่อ ครม. ทราบภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกับ สคทช. ในการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อสั่งการนี้ด้วย 2.) เร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิในที่ดินอันเป็นเหตุของปัญหานี้ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แล้วรายงาน ครม ทราบ และ 3.) ให้ถือว่าการดำเนินการตามข้อสั่งการนี้เป็น kpi การปฏิบัติงานของ สคทช. ด้วย
โอกาสนี้ นายกฯ กล่าวว่า ปีพุทธศักราช 2567 เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานตราสัญลักษณ์เนื่องในโอกาสดังกล่าวแล้ว เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกฯ ขอให้หน่วยงานภาครัฐพิจารณาจัดทำโครงการหรือกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการหรือกิจกรรม โดยเสนอผ่านคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) เป็นประธาน และขอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนได้รับทราบและร่วมแสดงความจงรักภักดีในปีมหามงคลนี้โดยทั่วกัน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th