นายกฯ นำนักธุรกิจลงพื้นที่ จ. เชียงใหม่ Kick Off การทำงานร่วมกันของรัฐบาลและเอกชน เดินหน้าผลักดัน ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของ ปชช.
วันนี้ (20 มกราคม 2567) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเยี่ยมชมโครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายถึงประเด็นการส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่และการใช้เทคโนโลยีในการเพาะปลูก ซึ่งจากข้อมูลของโครงการศูนย์ฯ บ้านไร่ฯ พบว่า ไทยมีศักยภาพในหลายปัจจัย เช่น สภาพภูมิประเทศทั้งพื้นราบและที่สูงสามารถผลิตได้ทั้งไม้ดอกไม้ผลได้หลากหลาย เนื่องจากมีความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งสามารถพัฒนาเป็นพันธุ์พืชชนิดใหม่ ๆ ได้อีกมาก ซึ่งศูนย์ฯ บ้านไร่ฯ เป็นพื้นที่สำคัญในการพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกและไม้ผลให้เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่โครงการพระราชดำริ นำกล้าไม้ไปปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ตลาด รวมถึงยังหาตลาดให้กับเกษตรกรที่อยู่ในโครงการด้วย
สำหรับตัวอย่างพันธุ์พืชที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จในปัจจุบัน คือ พืชกลุ่มปทุมมา และกลุ่มกระเจียว หรือที่ต่างชาตินิยมเรียกว่า ?สยามทิวลิป? ซึ่งมีการคิดค้นสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มีสีสันสวยงาม จนเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของภาคเหนือในปัจจุบัน รวมไปถึง กล้วยไม้แวนด้า ดอกไฮเด็นเยียร์ และล่าสุดมีการส่งเสริมการปลูกต้นวาซาบิ ที่สามารถขายได้ถึงกิโลกรัมละกว่า 10,000 บาท
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครั้งนี้ถือเป็นการ Kick Off ที่นำกลุ่มนักธุรกิจ ในนามกลุ่มรวมมิตรมาลงพื้นที่ร่วมกัน โดยส่วนตัวรู้จักกับ พล.ต.อ. วิสนุ ปราสาททองโอสถ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เป็นการ Kick Off ในหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องซอฟพาวเวอร์ เรื่องมวย และได้พบปะกับหลายหน่วยราชการ พร้อมย้ำว่าทุกคนเป็นผู้ที่มีฐานะดี การที่มีบุคคลสำคัญหลายคนมานั่งรวมกันอยู่ตรงนี้ถือเป็นมิติใหม่หมายที่ดี เป็นสัญลักษณ์ที่ดี เป็นกำลังใจให้คนทำโครงการดีดี เผื่อเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ ยืนยันว่าในฐานะที่เป็นนักการเมืองไม่ได้มาพูดคำหวานอย่างเดียว ต้องให้กำลังใจ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับนักธุรกิจไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของเวลา การต้องเสียสละเวลามาลงพื้นที่ ถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศชาติโดยเฉพาะ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีระหว่างกลุ่มรัฐบาลและกลุ่มรวมมิตรที่มาเชียงใหม่ โดยครั้งต่อไป จะไปจังหวัดยะลาขอให้มาร่วมนั่งกันให้เต็มห้องแบบนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รายละเอียดของโครงการถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่การนำเสนอการขายดอกไม้ ดูแล้วต้อง Amezing ตื่นเต้น จากมุมมองนักธุรกิจ ต้องดูโครงสร้างด้านพาณิชยการ ทางด้านการบิน ถือเป็นประกาศอัพเกรดของที่ดีในประเทศ และถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งวันที่ 1 มีนาคมนี้ จะประกาศให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
ส่วนเรื่องงบประมาณ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ โดยการนำงบประมาณมาใช้ จะต้องดูที่ kpi ขอให้สำนักนายกรัฐมนตรีมาร่วมทำงาน เพื่อให้รู้ว่าลงทุนไปแล้ว จะได้อะไรบ้าง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทยร่วมทำงานด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในหลายหลายเรื่องและจะพัฒนากันต่อไป
จากนั้น ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของศูนย์ฯ บ้านไร่ฯ และหน่วยงานความร่วมมือ จำนวน 6 งาน ได้แก่
1. งานพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ ได้แก่ ลูกผสมปทุมมาและกระเจียว สายพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์พืช และคุ้มครองพันธุ์พืชที่ได้นำไปส่งเสริมอาชีพให้แก่ราษฎรจากภาคเหนือจรดภาคใต้ ลูกผสมแกลดิโอลัส ลูกผสมดาหลา และบานชื่น
2. การขยายพันธุ์แบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชนิดต่างๆ ที่นำไปส่งเสริมอาชีพให้แก่ราษฎร และงานวิจัยเทคโนโลยีการผลิตพืชในระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เช่น ปทุมมา กระเจียว แกลดิโอลัส วาซาบิ และ สตรอว์เบอร์รี
3. ผลิตภัณฑ์สินค้าพืชเมืองหนาว เช่น ไฮเดรนเยีย ลิลลี ลาเวนเดอร์ และ วาซาบิ
4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมาเย็น (Cold Plasma technology) จากความร่วมมือระหว่างศูนย์ฯ บ้านไร่ฯ กับอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ซึ่งได้จัดตั้งศูนย์วิจัยเชิงธุรกิจด้านเทคโนโลยีพลาสมาสำหรับเกษตรและชีวภาพ (Agriculture and Bio Plasma Technology Center : ABPlas) เพื่อพัฒนางานวิจัยด้านไม้ดอกและไม้ผล
5. งานขยายผลกลุ่มไม้ดอก ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ฯ บ้านไร่ฯ (กลุ่มผู้ผลิตแกลดิโอลัส และ กลุ่มผลิตปทุมมาและกระเจียว)
6. งานขยายผลบนพื้นที่สูง งานแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มชนเผ่า เช่น กาแฟภูพยัคฆ์ และการทำเครื่องจักรสาน ฯลฯ
โดยทางโครงการฯ ได้ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ดอกต่าง ๆ รวมไปถึงการศึกษาวิจัยพันธุ์ไม้ ซึ่งมีแผนงานพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกไม้ผล 7 ชนิด ได้แก่ 1. กระเจียว ปทุมมา 2. แกลดิโอลัส 3. บานชื่น 4. ดาหลา 5. แอสเตอร์ 6. หงส์เหิร และ7. สตรอว์เบอร์รี เพื่อนำผลสำเร็จในการขยายพันธุ์พืชไปถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกรในแต่ละภูมิภาคของประเทศ นำไปเพาะปลูกเพื่อประกอบอาชีพ รวมไปถึงร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ภาคเอกชน องค์กรต่าง ๆ โดยสามารถพัฒนาธุรกิจส่งออก ผ่านการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร เชื่อมโยงกับผู้ส่งออก และผู้นำเข้าจากต่างประเทศ สร้างรายได้กว่า 38,668,975 ล้านบาท
ที่มา: http://www.thaigov.go.th