นายกฯ พอใจกับครั้งแรกของการนำนักธุรกิจลงพื้นที่พบ ประชาชน - ผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ จ. เชียงใหม่ เล็งขยายผลไปสู่พื้นที่และภาคอื่นของประเทศต่อไป
วันนี้ (21 มกราคม 2567) เวลา 09.30 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเสียงตอบรับจากการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้ว่า เป็นครั้งแรกที่เรานำนักธุรกิจลงมา ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อยที่สละเวลามาพูดคุยให้ความรู้กับนักธุรกิจรายใหญ่ รายกลาง รายย่อยที่เรียนกับหลักสูตรรวมมิตร รวมทั้งขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสกับผู้ประกอบการที่จะมาช่วยในระยะยาว ซึ่งเน้นถึงความยั่งยืน ที่ไม่ใช่ว่าอยากให้เขามาซื้อของไปแล้วก็จบ แต่อยากให้ภาคเอกชนช่วยไปเปิดตลาดให้กับสินค้าที่ดีหลายอย่าง ซึ่งหากมีปัญหาอะไรเฉพาะกิจ เชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจหลายท่านก็ยินดี
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยกตัวอย่างถึงกรณีเมื่อวานนี้ ซึ่งพบชาวเขาที่ปลูกกาแฟอยู่แล้ว มีกาแฟเหลืออยู่จำนวนมาก ซึ่งทางภาคธุรกิจ ก็ตอบรับและรับซื้อต่อไป จึงเป็นการแก้ไขเฉพาะเฉพาะหน้าด้วย ซึ่งอยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีกบ่อย ๆ จะได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และมีปัญหาอะไรก็ได้ช่วยเหลือกัน คนมีมากก็ให้มาก มีน้อยก็ให้น้อย ทั้งนี้การดำเนินการลักษณะดังกล่าวสามารถต่อยอดไปในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ได้ด้วย ซึ่งอยากจะไปทำในทุกพื้นที่ ทั้งภาคอีสานและภาคใต้ด้วย ทั้งนี้ การมีหลักสูตรรวมมิตรนั้น มีปีละหน แต่ก็ทราบว่ามีหลักสูตรอื่น ๆ อีกที่สามารถทำได้ลักษณะนี้เช่นกัน เช่น วปอ. หรือหลักสูตรอื่น ๆ จึงอยากให้ขยายแนวทางในการมาลงพื้นที่เช่นนี้กับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ รวมถึง กปร. ที่ดูแลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วย โดยอยากจะเปิดให้โอกาสให้กับนักธุรกิจหรือนักเรียนที่ร่วมเรียนหลักสูตรเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในการได้พบปะกับประชาชนด้วย
ส่วนเรื่องการขอใบอนุญาต อย. นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าใบอนุญาตต่าง ๆ ที่มีการร้องขอก็จะดำเนินการให้ต่อไป เรื่องเปิดตลาด ทางผู้ประกอบการรายใหญ่รับไปช่วยดูให้ ส่วนเรื่องแหล่งเงินทุน ทางนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ร่วมลงพื้นที่ด้วยจะดูแลด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องของการขอใบอนุญาตสอดคล้องกับล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางดาววอส สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขามีสินค้าพวกเวชภัณฑ์ยารักษาโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาแล้วก็ติดปัญหาตรงนี้อยู่มาก โดยจะร่วมกันดูแลเรื่องนี้อย่างบูรณาการ ไม่ใช่แค่ของสวิตเซอร์แลนด์อย่างเดียว ของพี่น้องประชาชนด้วยเช่นกัน ซึ่งจะไปช่วยปรับปรุงดูแลตรงนี้ต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีสถานการณ์ฝุ่นในจังหวัดเชียงใหม่ที่นายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการให้ดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจังว่า เมื่อเช้าพบว่าค่าฝุ่นดีขึ้น แต่ก็ไม่นิ่งนอนใจ ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ถือว่าดีขึ้นมาก ยืนยันว่ารัฐบาลและหน่วยงานประสานงานกันต่อเนื่อง เราพยายามเต็มที่ให้มันดี ซึ่งตอนนี้ลดลงไปกว่า4 - 5 เท่าแล้วในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจและให้ทำต่อไป ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นในกรุงเทพฯ ก็ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งจะแก้ไขปัญหา มีแผนบริหารจัดการต่อไป
ส่วนประเด็นศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษา กรณีภาคประชาชน นักวิชาการ ฟ้องหน่วยงานรัฐ ละเลยแก้ปัญหา PM 2.5 ล่าช้า นั้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ต้องทำตามคำสั่งแน่นอน ซึ่งจะเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมา และปรับปรุงแผนตามที่ประชาชนขอร้องมา
สำหรับกรณีครม. สัญจร จ.ระนองถึงวัตถุประสงค์ของการเลือกพื้นที่ตรงนี้นอกจากเรื่องพื้นที่และโลจิสติกส์แล้วมีเรื่องอื่นที่ใช้ในการพิจารณาหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความจริงแล้ว ครม. สัญจรนัดแรกเราก็ไปภาคอีสานมาที่จังหวัดหนองบัวลำภู และก็มาภาคใต้ ต่อไปก็ภาคเหนือ ซึ่งมีการสับเปลี่ยนกันไป ต้องไปดูแลให้ทั่วถึงทุกจังหวัด เพื่อไปรับฟังปัญหา และไปชี้แจงถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ส่วนจะมีการได้พูดคุยกับประชาชนเรื่องของ Landbridge หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น่าจะได้มีโอกาสพูดคุย รวมถึงกรณีที่มีผู้ไม่เห็นด้วย ก็มีการชี้แจงตลอด ซึ่งการที่คนมาร้องเรียนต่าง ๆ เวลาลงพื้นที่ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เราต้องรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นราคาพืชผล เรื่องถนน Infrastructure ต่าง ๆ ต้องรับฟังอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรีย้ำว่ากรณี Landbridge ที่มีการคัดค้าน ยืนยันว่ารัฐบาลรับฟังทุกความคิดเห็น ซึ่งในการลงพื้นที่จะให้ความสำคัญสูงสุดกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยพรุ่งนี้ (22 มกราคม 2567) จะลงไประนอง และยังมีอีกหลาย ๆ จังหวัดที่จะเดินทงไปด้วย ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการปรับ ครม.นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ยังทำงานกันดีอยู่กับพรรคร่วมและรัฐมนตรีทุกคน ซึ่งรัฐมนตรีทุกคนพยายามทำงานกันหนักมาก โดยทุกคนมีการประเมินผลการทำงานกันตลอดเวลา รวมทั้งมีการติชม มีการเสนอแนะกันตลอด ไม่จำเป็นว่าต้องประเมิน 6 เดือนหรือ 3 เดือน หรือหนึ่งปี เพราะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมีเยอะอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้รัฐมนตรีแต่ละท่านก็ลงพื้นที่กันอยู่ต่อเนื่อง เช่น ครม.สัญจร รัฐมนตรีหลายท่านก็ลงไปเตรียมงานในพื้นที่แล้ว ซึ่ง ครม. สัญจร เราก็อยากจะรับฟังเรื่องที่พี่น้องประชาชนเดือดร้อน เรื่องร้องเรียนของความช่วยเหลือ รัฐบาลต้องฟังความเห็นของพี่น้องประชาชน อะไรทำได้เราก็ต้องพยายามทำให้ได้ ซึ่งเรื่องความเดือดร้อนเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีทุกท่านต้องให้ความสนใจ และต้องใส่ใจด้วย
ที่มา: http://www.thaigov.go.th