นรม. แจ้งข้อสั่งการก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567
วันนี้ (23 มกราคม 2567) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณครูซึ่งต้องอยู่เวรรักษาการณ์ในโรงเรียน ซึ่งการอยู่เวรรักษาการณ์ดังกล่าวแม้จะเป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2542 แต่นายกรัฐมนตรีเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีนั้นไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่มีบุคคลหรือเครื่องมือในการช่วยเหลือดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการมากมาย เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย นักการภารโรง กล้องวงจรปิด อีกทั้งการให้ครูต้องมาอยู่เวรรักษาการณ์ก็เป็นการกำหนดหน้าที่และความเสื่อมเพิ่มเติมให้กับครู นอกเหนือจากการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพโดยไม่จำเป็นอีกด้วย นายกรัฐมนตรีจึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นมติวันที่ 6 กรกฎาคม 2542 แก่โรงเรียนของทุกสังกัดตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมตินี้เป็นต้นไป และให้รวมถึงการอยู่เวรรักษาการณ์ของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่มีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย หรือที่ติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือที่ใช้วิธีการอื่นใดเพื่อรักษาความปลอดภัยแล้วด้วย เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นอีก
ในเรื่องโครงการสำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพการพัฒนาของจังหวัดและความเป็นไปและเป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่ซึ่งจากการที่ผมลงพื้นที่และหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในจังหวัดระนอง เห็นว่าจังหวัดระนองจำเป็นต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าที่มีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ (1) โครงการปรับปรุงถนนและระบบสาธารณูปโภค พร้อมปรับภูมิทัศน์ถนนจัดสรรพัฒนา ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นถนนสายที่เชื่อมทางหลวงหมายเลข 4 เข้าสู่ตัวเมืองระนอง รวมทั้งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปสู่ท่าเรือระนอง-เกาะสองด้วย (2) โครงการปรับปรุงท่าเรือระนอง-เกาะสองเพื่อการท่องเที่ยวและการสัญจร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ให้รองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นตามมาตรฐานสากลและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องการปรับปรุงข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ จากการที่ผมได้ไปประชุม WEF ที่ Davos ได้เจอผู้นำประเทศและนักธุรกิจชั้นนำเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้สะท้อนถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจแต่อย่างไรก็ตาม ได้มีข้อเสนอแนะจากหลายภาคธุรกิจที่เป็นปัญหาจากการดำเนินธุรกิจในประเทศประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านข้อกฎหมายที่มีความทับซ้อนหรือปัญหาจากการขอใบอนุญาตต่าง ๆ โดยเฉพาะใบอาหาร และยา ซึ่งผมคิดว่าตรงกับนโยบายของรัฐบาล เรื่อง Ease of doing business ซึ่งผมคิดว่าเป็นวาระเร่งด่วนที่ส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการ ผมจึงสั่งการให้คณะกรรมการด้านการขอปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตผ่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สำนักงานอาหารและยาผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้เร่งแก้ไขและปรับปรุงข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นการดึงนักลงทุนจากต่างชาติ รวมไปถึงนักธุรกิจในประเทศไทยเองจะได้สร้างบรรยากาศที่ดีที่เอื้อต่อการลงทุน
ในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มและการผลักดันสินค้าในโครงการพระราชดำริและสินค้า OTOP ในชุมชนสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ไปดูโครงการพระราชดำริพร้อมกับหลักสูตรรวมมิตรซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาคธุรกิจจะได้ร่วมมือกับเกษตรกรในการยกระดับผลิตภัณฑ์ในชุมชนให้ต่อยอดทางวิธีการผลิต การทำการตลาดและโฆษณาการส่งออกไปยังต่างประเทศ การขายออนไลน์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความร่วมมือในการส่งเสริมและผลักดันให้สินค้าในโครงการพระราชดำริและสินค้า OTOP ในชุมชนในการเพิ่มมูลค่าและยอดขาย
ส่วนมาตรการส่งเสริมการมีงานทำ เนื่องจากในปัจจุบันมีปัญหาการรวมกลุ่มของวัยรุ่นที่อาจจะเกิดจากการที่ไม่มีงานทำหรือรายได้ไม่เพียงพอตลอดจนมีการใช้อาวุธและความรุนแรงซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสังคมโดยรวม โดยที่ในปัจจุบันมีหน่วยงานความมั่นคงได้มีมาตรการและเข้ามาดูแลความปลอดภัยของสังคมโดยรวมแล้ว แต่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานกำหนดให้มีมาตรการในการส่งเสริมอาชีพหรือมาตรการในการควบคุมความปลอดภัยให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม
ที่มา: http://www.thaigov.go.th