แท็ก
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
นายสมัคร สุนทรเวช
กรมประชาสัมพันธ์
สนทนาประสาสมัคร
นายกรัฐมนตรี
พระราชพิธี
นายกรัฐมนตรีเผยงานก่อสร้างพระเมรุ และราชรถ พระยานมาศ ทุกอย่างใกล้เสร็จเรียบร้อย ชมช่างทุกคนทำงานถวายด้วยใจ
รายการ “สนทนาประสาสมัคร”
โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
--------------------------------------
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ ท่านพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศที่นั่งฟังอยู่ นั่งดูอยู่นะครับ วันนี้อากาศที่กรุงเทพฯ ครึ้มครับ พระอาทิตย์ไม่มี ฝนจะตกหรือไม่ ยังไม่ทราบล่ะครับ แต่อากาศครึ้ม อยากเรียนอย่างนี้ครับว่า ผมจำเป็นจะต้องเล่าเรื่องงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ให้ท่านผู้ชมผู้ฟังทั้งหลายได้ฟังก่อนนะครับ
ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างพระเมรุ
เมื่อวันศุกร์ผมมีเวลาเหลือเพราะว่าความจริงวันที่ 2-3-4-5 กันยายน ผมจะต้องอยู่ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น รายการที่ผมจะทำอะไรต่ออะไร ผมก็มีเวลาว่างวันหนึ่ง ผมก็ไปตรวจงาน สำคัญนะครับ เพราะเวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว คืองานออกพระเมรุที่ท้องสนามหลวง ก็ไป คราวนี้ก้าวหน้าเยอะ เพราะไม่ได้แวะไปดูนาน ให้เอาผ้าคลุมต่าง ๆ คุณอาวุธ เงินชูกลิ่น บอกว่ากลัวฝนไม่กลัว กลัวแดด บอกกระดาษสีที่ติดไว้ ผ้าทองย่นอะไรต่าง ๆ โดดแดดเลียสี งานเสร็จตั้งแต่ยอดลงมาเลยนะครับ เอาผ้าหุ้มยอดข้างบนไว้เลย ใส่โครงกันอะไรไว้เสร็จ ข้างล่างก็ใกล้มาก คือตัวพระเมรุ สุดท้ายยังเหลือตกแต่งเติม และก็ประดับผ้าสีกระจก สีอะไรต่าง ๆ บันไดขึ้นทั้ง 4 ทางเรียบร้อยหมด รอบ ๆ นั้นเขาเรียกภูมิทัศน์ ก็ทรายเกลี่ยหมดเลย และซีแพคก็ออกแบบกระเบื้องสี่เหลี่ยมหนาและหนัก และก็ปูรอบหมดเลย คือความหมายว่าฝนตกก็จะไม่มีโคลนมีอะไรขึ้นมาเลอะเทอะเลย รอบ ๆ อาคารทั้งหมด พระที่นั่งทรงธรรม มุงหลังคาเปลี่ยนจากสมัยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเล็กน้อย และก็ดูเสามีอะไรต่าง ๆ ดูก็เรียบร้อยดีครับ เรียกว่างดงามสำหรับพระที่นั่งทรงธรรม และอาคารบริวารรอบ ๆ ก็ใกล้จะเสร็จครับ ดูแล้วทุกอย่างทันเวลาตามกำหนดไว้ ผมก็เลยเข้าไปดูในโรงที่ว่าเครื่องประดับ จำพวกมีเทวดา มีกินนรี ที่เป็นตัวประดับ เขาสร้างเท่าคนจริงนะครับ และทำด้วยไฟเบอร์กลาส ออกแบบปั้นก่อนแล้วพิมพ์ออกมา เราก็ต้องนึกว่า เออ คุกเข่าก็มี ยืนก็มี เทวดา 40 องค์ กำลังเริ่มตกแต่ง แบบที่ออกจากไฟเบอร์กลาสมาเนี่ยก็ปิดลงไปเป็นสีทอง และจะต้องประดับ ไม่ถึงกับเป็นเพชรนิลจินดาหรอกครับ แต่เป็นแก้ว เป็นเศษพลอยจริง ๆ ก็มี ประดับ เครื่องประดับที่เขาเรียกรัดกร อะไรต่าง ๆ ทั้งหมด ประดับความสวยงาม
แต่ที่น่าสนใจคือตรงนี้ครับ ผมไม่เคยได้ดูรายละเอียดวันนั้นไป ก็มีเวลา ก็ลากเก้าอี้มานั่ง ปรากฏว่าผ้านุ่ง ธรรมดาเขานุ่งโจงกระเบนและมีสนับเพลา ผ้านุ่งต่อสนับเพลา ตรงตัวผ้านุ่ง ดูแล้วทำไมลายนี้ ๆ ปรากฏว่าผมก็พูดกับเจ้าหน้าที่เขาบอกว่านี่ถ้าเผื่อท่านท้าวเทวดามาจากสวรรค์ พระอินทร์มาก็ คือธรรมดาควรจะซื้อผ้าพับเดียวกัน แล้วก็นุ่งโจงกระเบนสีเดียวกัน ปรากฏว่าเทวดา 40 องค์ นุ่งโจงกระเบนไม่เหมือนกันเลยครับ คือช่างเขาออกแบบลายโจงกระเบน 40 องค์ไม่เหมือนกัน คือต่างคนต่างไปหาผ้ามาเอง ทำนองอย่างนั้นนะครับ เรียบร้อยเลยทั้งสนับเพลา ทั้งอะไรต่าง ๆ ก็เวลาถ้าเปิดให้ชม อาทิตย์หน้าจะเปิดให้ชม ก็ไปชมสิครับ สังเกตดูเป็นความอุตสาหะของช่าง ถ้าทำอันเดียวสีเดียวก็เร็ว ปั๊บ ๆ ๆ นี่เลือกเลยต่างคนต่างสีมา ก็เป็นความงดงาม และทุกคนทำทั้งงานช่วยทั้งงานหานะครับ ดูเขาทำแล้ว คือทุกคนทำด้วยใจ เอาแรงใจมาใส่ พวกมาช่วยงาน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ มา พระโกศจันทน์ก็เสร็จแล้ว หีบไม้จันทน์ก็เสร็จแล้ว ทั้งหมดก็ดูลาย ทีนี้พวกลายประดับ ที่ผมไปยืนดูที่ออกในข่าวนั่นน่ะครับ ลายม่านลายอะไรต่าง ๆ ก็ดู เขาเขียนลายมือ เขาเขียน Free Hand ก่อน เขียนธรรมดาก่อน แล้วก็ไปออกแบบตรง คือเขาไม่ใช้เครื่อง เขาต้องออกแบบก่อน แล้วจากออกแบบถึงไปใส่เข้าธรรมดา เลือกให้ตรงน้ำหนักสองข้าง ทุกคนทำกันด้วยใจเลยเชียวครับ
ออกจากสนามหลวงก็แวะไปดูที่กรมศิลปากรหน่อย ก็เสร็จครับ เสร็จเรียบร้อยเลย ทางฝ่ายทหารช่างที่มาช่วย ทหารที่มาทำงาน งานหนักนะครับ ทำล้อทำเพลาอะไรต่าง ๆ เสร็จ ถอนกลับไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ศิลปากร เป็นพวกเหมือนหมอใส่เสื้อกราวน์ พวกคลินิกทำความสะอาด ประดับอะไรต่าง ๆ เรียกว่าเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ รวมทั้งเริ่มแก้เคล็ด ปกติราชรถน้อยก็ดี พระยานมาศ 3 ลำคานก็ดี บรรดาสีวิกากาญจน์ที่จะต้องอัญเชิญพระโกศ ทุกอย่างอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 และมีแล้วก็ใส่ไว้เรื่อย เขาถือเคล็ดยังไงครับ เมื่อเอาเข้าไปจอดเก็บแล้ว เขาจะก่อกำแพงกั้น ประตูน่ะปิด แต่หลังประตูมีกำแพงกั้น เป็นเคล็ดแบบความเชื่อของคนโบราณว่า ไม่จำเป็นไม่เอาออกมาใช้ ไม่ถึงเวลาไม่เอาออกมาใช้ ออกมาใช้เสร็จต้องเอากำแพงในตัวโรงราชรถออก และเมื่อเอาออกไปแล้ว ต้องตัดกำแพงกรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถาน ต้องทำถนนโดยเฉพาะ ส่งถนนออกไปริมกำแพง และถึงเวลาก็จะตัดกำแพงเอาออก เคล็ดครับ แปลว่าไม่จำเป็น ไม่ถึงเวลา ไม่เอาออกมาใช้ การที่จะแห่ขบวนซ้อมด้วยราชรถน้อย ทั้งหมดนี้จะใช้ 2 ครั้ง แต่ทหารเขาก็คงเริ่มแล้วครับ ทหาร 240 หลัง ก็จะเริ่มซ้อม คือจะใช้รถที่มีน้ำหนักเท่ากับพระมหาพิชัยราชรถ และก็ดึงสายหน้าสายหลัง ซ้อมเดิน
คืองานนี้เป็นงานใหญ่มาก นานทีปีหน บางทีนาน ๆ ครึ่งศตวรรษไม่มีก็แล้วกัน งานนี้ก็มี แล้วก็ดำเนินการทุกอย่างเป็นพระราชประเพณี เราเป็นชาติที่รักษาประเพณีนี้เอาไว้ได้ แม้กระทั่งประเพณีในการถวายพระเพลิง ทำครบถ้วนหมดครับ และสำคัญที่สุดที่อยากจะเรียนพี่น้องประชาชน คนที่เขาไปทำงาน เขาทำด้วยใจ ถวายเลยเชียวครับ ฝีไม้ลายมือมีเท่าไรปล่อยหมด แสดงกันหมด เจ้าหน้าที่ที่เดินนำอธิบายดู ผมก็ดูตั้งแต่แรก ๆ จนกระทั่งบัดนี้ก็ใกล้จะเสร็จ พอจะบอกให้ทราบได้ว่าทุกอย่างเรียบร้อย ต่อไปนี้ก็อยู่ตรงที่ว่างานทูลเชิญอะไรต่าง ๆ ภายในของเราไม่เป็นปัญหาหรอกครับ แต่บรรดาเจ้านายต่างประเทศ ปกติจะต้องมางานพระศพ บัดนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศกับสำนักพระราชวัง ก็คงจะร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ดูว่าเจ้านายพระองค์ไหนในต่างประเทศจะเสด็จฯ บ้าง ฟังความ จะเริ่มออกหนังสือ งานต้องเดินต่อไปครับ ไม่มีอะไรอื่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐบาลต้องทำงานนี้ถวายให้สำเร็จเรียบร้อย สถานการณ์ก็ไม่ต้องค่อยล่ะครับ คงจะคลี่คลายไปตามสถานการณ์
แต่ละจังหวัดเริ่มขบวนเดิน-วิ่ง เฉลิมพระเกียรติฯ
ทีนี้ถัดไปเราต้องเล่าถึงเรื่องความคืบหน้าในการเดิน-วิ่ง เขาก็ทำกัน คือต้องอธิบายความนะครับ เมื่อเวลาที่ไป ผมอธิบายความให้ฟังว่ายังไง เขาก็ดำเนินการครับ เล่นกีฬาบ้าง ประชุมสัมมนาบ้าง จัดการคุยกันเรื่องเกษตรเรื่องอะไรต่าง ๆ โดยมีธงเป็นหลัก คุยกันบนอำเภอนั้น แต่ว่าฟังความแล้ว เขาจะทำเหมือนกับคบเพลิงโอลิมปิก คือเมื่อเสร็จจากจังหวัดไหนส่งมาแล้ว ก็จะมารวมจังหวัดที่เรียงแถว เช่น อย่างจังหวัดภาคใต้ พอเสร็จจากข้างล่างสุด เสร็จจากนราธิวาส ก็จะส่งขึ้นมาปัตตานี ส่งมาผ่านยะลา หรือยะลาจะส่งขึ้นมา แปลว่าธงคงจะต้องรวมมากขึ้น และเขาก็ส่งคือเขาจะใช้เวลาส่ง หมายความว่าทั้งหมดพอเสร็จจากจังหวัดนั้น ก็จะไม่คาราคาซังอยู่ จะส่งออกมาร่วม เขาบอกว่าความคืบหน้าของขบวนเดิน-วิ่งเฉลิมพระเกียรติ รู้ รัก สามัคคี 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ สายเหนือเริ่มเมื่อ 31 สิงหาคม เริ่มจังหวัดเชียงราย 18 อำเภอ เมื่อเริ่มผมคิดว่าฉลอง 18 อำเภอแล้วจะต้องรอ หรือเฉลี่ย 18 อำเภอให้ถึงใกล้วันนั่น ไม่ล่ะครับ เขาจะส่งลงมา ปัจจุบันอยู่แม่ฮ่องสอน แล้วพอเสร็จ 18 อำเภอ เขาจะไล่ลงไป ไปอยู่ที่แม่ฮ่องสอนถึงวันที่ 8 กันยายน แล้วจะไปเชียงใหม่ 9-14 กันยายน อะไรต่าง ๆ ทางเหนือเขาจะรวมกันมา
คำอธิบายคือว่าเจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดเขาจะประสานงานกัน เขาจะเลือกวิธีการอย่างไร จะฉลองกันอยู่นานแล้วเอามาพร้อมกัน หรือเขาจะรวบค่อย ๆ ทยอย ๆ คือขบวนจะต้องใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น สายเหนือเริ่มจังหวัดเชียงราย 18 อำเภอ ปัจจุบันอยู่แม่ฮ่องสอนถึงวันที่ 8 กันยายน เสร็จแม่ฮ่องสอนเข้าไปเชียงใหม่ วันที่ 9-14 กันยายน 27 อำเภอ นี่แปลว่าแต่ละจังหวัดคงจะทำกันอยู่ คือขบวนที่ส่งธงนั้นคงจะต้องโตขึ้น ๆ ๆ ส่งเข้ามา สายใต้ขบวนเริ่มจังหวัดนราธิวาส 13 อำเภอ ต่อไปมายังปัตตานี 12 อำเภอ ปัจจุบันอยู่ยะลา 8 อำเภอ วันนี้เริ่มเข้าสงขลาวันที่ 11 กันยายน 16 อำเภอ แสดงว่าเขาคงจะทำให้ขบวนนั้นใหญ่ขึ้น ๆ แล้วก็คงมา ก็เป็นวิธีดำเนินการอีกอัน อันนี้เป็นเรื่องของคณะกรรมการที่เขาจะตกลงกับท่านผู้ว่าฯ จะดำเนินการอย่างไร ผมก็อธิบาย สายตะวันออกเฉียงเหนือเริ่ม 31 สิงหาคม ขบวนจังหวัดหนองคาย 17 อำเภอ ต่อมาอุดรธานี 20 อำเภอ แล้วต่อมายังหนองบัวลำภูวันที่ 10 กันยายน 6 อำเภอ ก็แสดงว่าเขาคงจะมีการคิดและก็รวบกันเข้ามา ๆ และต่อไปใกล้ ๆ วันนัดหมายก็คงจะเข้ามาอยู่จังหวัดใกล้ อย่างนี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งคือไม่ต้องเอาธงไปแช่ไว้ในแต่ละจังหวัด อันนี้ก็เป็นคำอธิบายที่บอกมา
เหตุการณ์สองฝ่ายปะทะกันจนต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน
ทีนี้รายงานเรื่องนี้แล้ว ผมก็ควรจะคุยให้ฟัง เพราะเดี๋ยวจะตอบคำถาม ต่อไปผมควรจะต้องเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น คือจริง ๆ แล้วสถานการณ์ทางการเมือง ผมได้พบกับท่านผู้ชมท่านเจ้าของประเทศแล้วหนหนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม ทีนี้พออธิบายความเสร็จแล้วว่าอะไรเป็นยังไง ก็ปรากฏว่าถึงวันที่ 1 ต่อวันที่ 2 กันยายน ก็เกิดมีคณะผู้คนที่เขาอดรนทนไม่ได้ ไปตั้งกองกันอยู่ที่สนามหลวง และจะคิดอะไรอย่างไรไม่ทราบได้ ถามดูเขาบอกจะมาล้อมไว้ชั้นหนึ่ง มาช่วยตำรวจล้อมไว้ข้างนอก ก็พรวดพราดกันออกมา ทางนี้เขาออกจากทำเนียบรัฐบาล เขาก็มา เขาก็ตั้งจ้องกันอยู่ทางนั้น เขากราดเข้าปะทะกัน พวกหนึ่งดูจากภาพในรายงาน พวกหนึ่งใส่หมวกใส่อะไรเตรียมพร้อมมีเครื่องไม้เครื่องมือ อีกข้างหนึ่งก็เดินไม้กวัดแกว่งมา ถ่ายจาก 2 ข้าง ผมดูรายงานนี้จากอะไรครับ พอเกิดเหตุเขาปะทะกัน มีคนถูกยิงตายไป 1 คน บาดเจ็บ 43 คน ผมก็ต้องออกจากบ้านมาประชุม เรียกแม่ทัพนายกองที่รับผิดชอบกันมา ทหารบก แม่ทัพภาคที่ 1 เจ้าของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตำรวจอยู่ในท้องที่
ผมก็นั่งประชุมตั้งแต่ตีสองถึงตีสี่ ดูรายงานตลอดหมด ฟังรายงานตลอดหมด ก็บอกว่าอย่างนี้คงจะเป็นปัญหา เพราะว่าจะมายันเฉย ๆ ตำรวจแจ้งมาทางทหาร ถามมาว่าจะออกไปช่วย โดยจะเป็นทหารถือโล่สัก 4 กองร้อย จะออกไปช่วยตำรวจกันไว้ ก็โอเค ผมก็อนุญาตว่าดำเนินการได้ และก็พอเสร็จแล้ว ผมก็มาประชุมด้วย ประชุมกันปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อย ผมไม่ได้คิดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว บอกเอาล่ะเพื่อรักษาสถานการณ์ก็ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็มาดูแลกฎหมายฉบับไหน ๆ ลองดู มียาวเป็นศอกเลย เราก็เลือกเอาแค่ 5 ข้อ และก็เอาเฉพาะกรุงเทพมหานครที่ที่เป็นที่เกิดเหตุ นโยบายก็บอกว่าไม่ให้กระทบกระเทือนความเป็นอยู่ การทำมาหากินของประชาชน เรื่องการท่องเที่ยว ตีห้าก็ร่างเสร็จ ผมก็เซ็น หกโมงกว่าก็ส่งไปกรมประชาสัมพันธ์ ทางราชการเขาควรจะประกาศเจ็ดโมงเช้า คนทั้งประเทศฟังพร้อมกัน
ก็ประกาศออกไป ประกาศภาวะฉุกเฉินไป ผู้คนทั่วไปก็คงคุ้นเคยกับภาวะฉุกเฉิน พอประกาศปั๊บ แปลว่าเหมือนกับว่าทหารเอาปืนใสมือให้ ถ้าโบราณก็เอาดาบใส่มือเลย ใส่มือปั๊บต้องไปขู่แล้วยิงเลย ถ้าใครไม่นั่นต้องยิงเป็นทำนองอย่างนั้น ถ้าดาบต้องเอาไปเงื้อเลย ถ้าไม่นั่นฟันเลย เขาก็คิดกันอย่างนั้น ทุกอย่างต้องสำเร็จเรียบร้อยเพราะประกาศแล้ว ปรากฏว่าผมเองผมต้องอธิบายความให้ผู้คนว่าเก้าโมงเช้า ผมก็ไปอธิบายให้ฟังว่านี่นะจำเป็น อธิบายความเรื่องอย่างนี้เสร็จ ตั้งกรรมการไว้ดูแลรักษาบ้านเมือง ปฏิบัติการตามนี้ คณะกรรมการเขาก็ประชุมกัน ผู้บัญชาการทหาร (ผบ.ทบ.) เป็นประธาน มีรอง 2 รอง แล้วดำเนินการ ก็ประชุมหารือ ประชุมเกือบ 4 ชั่วโมงครับ พอตกบ่าย ผบ.ทบ.แถลงอธิบายความชี้แจงให้ฟัง ผบ.ทบ.ปกติเป็นคนเงียบ ๆ ขรึม ๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไร ต้องตอบคำถามผู้สื่อข่าว ท่านทั้งหลายที่ฟัง ผมเสียดายนะเวลาผู้สื่อข่าวพูด เสียงไม่ค่อยเข้าเท่าไร แต่เวลาเสียงเข้าอยู่ตรงที่เกิดเหตุ เสียงชัดเจน ออกมาซักถาม ถามกันรุนแรงครับ ผบ.ทบ. เป็นคนที่ไม่ได้ฝึกซ้อมเรื่องพรรค์นี้ไว้ครับ แต่ก็พูดจาเหมือนกับหลบ ๆ หลีก ๆ ว่าจะต้องยังไง ๆ สุดท้ายก็เข้าใจว่า เรื่องนี้จะปฏิบัติการทันทีอย่างที่เคยทำคงไม่ได้ เราเลือกใช้วิธีจะต้องแยกให้คนออกจากกัน ไม่ให้คนทะเลาะกัน เอาตรงนี้ก่อน ก็กลายเป็นอะไรกัน ผู้คนเขาคิดวิพากษ์วิจารณ์ นี่ทหารไม่อยู่ในคำสั่งของรัฐบาลหรือยังไง ผมฟังแล้วผมก็เข้าใจนะครับ ที่บอกเข้าใจคืออะไร คือสังคมปัจจุบันนี้จะให้ทำยังไง ประคับประคองยังไง ไม่ได้ครับ ไม่ได้เลย ข้างไหนเป็นราชการ ข้างนั้นเสียรังวัด วันที่ 29 ตำรวจเอาไม้ไปปิดไปกัน ก็ปะทะเข้าหากัน ภาพถ่ายออกมาเลยกลายเป็นตำรวจตีใครถูกตี ตำรวจบาดเจ็บ 27 คน ทางโน้นก็บาดเจ็บทั้งคู่ สถานการณ์อย่างนี้ไม่มีใครเห็นใจทั้งสองฝ่าย บอกใช้ความรุนแรง ตำรวจใช้ความรุนแรง พวกปลุกระดมเขาก็เอานี่เป็นข้อปลุกระดม ผู้คนทั้งหลายฟังไม่ฟังบอก รัฐบาลใช้ความรุนแรง มาเลยแห่เข้ามาช่วย เอาล่ะ นั่งรถกันเข้ามา นั่นล่ะครับ วันที่ 29
พอเหตุการณ์คืนวันที่ 1 เช้ามืดวันที่ 2 ก็อีหรอบเดียวกันอีก ผมตั้งกรรมการสอบทันที เพราะผมก็ไม่กล้าพูด ดูรายงานก็รู้แล้ว ออกความเห็นก็ได้ แต่ไม่กล้าออกความเห็น เพราะเหตุว่าพูดไปก็ว่าเอาแล้ว เริ่มเอาอีกแล้ว เข้าข้างใครต่อใคร ให้กรรมการสอบ ผมบอกอย่างนั้น แต่ว่าจะบอกให้ฟังนะ ตีกันหัวร้างข้างแตก ยิงกันตาย บางคนบาดเจ็บ 43 คน ไปโรงพยาบาล ข่าวออกมาใช้ความรุนแรงอีกแล้ว ใครล่ะครับ รัฐบาลถูกกล่าวหาว่ารู้เห็นเป็นใจกับพวกที่เข้ามา พวกที่เข้ามาน่ะ ถูกตีแล้วก็ตายด้วย ถูกยิงด้วย แต่กลายเป็นว่าเวลาฟังข่าวออกอีกข้างหนึ่ง อย่างนี้จะทำยังไง ผมก็ต้องกลั้นใจ เมื่อประกาศอย่างนั้น ทหารก็เดือดร้อน จะสรุปความให้ฟังตรงนี้นะครับ ก่อนหน้าที่จะถึงประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็พูดกันว่างานอย่างนี้เข้าไปยึดทำเนียบแล้ว รัฐบาลเอาไม่อยู่ แหม ผมฟังก็สะท้อนใจ ใช่ครับ รัฐบาลเอาไม่อยู่ เพราะรัฐบาลยังไม่เอา ยังดำเนินการไม่ได้ เขาเฝ้ากันอยู่ครับ อย่ารุนแรง ๆ เอาล่ะ ไม่รุนแรง
เสร็จแล้วทำยังไง เสร็จแล้วก็ทำวิธีทางศาล ไปยื่นศาล ศาลสั่งมา ท่านสั่งเรื่องข้อกล่าวหาว่าอะไรต่าง ๆ 4 มาตรา พอศาลสั่งมาก็ดำเนินการ ตอนดึกศาลสั่งอีก สี่ทุ่มศาลสั่งอีกเรื่องทางแพ่ง เราก็ใช้นั่น ได้อาวุธมาเลย ศาลสั่ง เขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่มารายงานตัว ไม่ออกมา รุ่งขึ้นเราไปขอคำบังคับคดี เสร็จเรียบร้อยเอาตำรวจไป ก็จะจัดการ ก็ปะทะกันอย่างว่า ไป ๆ มา ๆ ก็บอกว่า รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ศาลก็เอาไม่อยู่ พูดอย่างนั้นนะครับ คุณบรรหาร ท่านก็ออกความเห็นไว้บอกว่า อย่างนี้ต้องประชุม ก็ตกลงประชุมสภาร่วมกัน ประชุมแล้วฟังความ ก็รู้เลยครับ รู้เลยวันอาทิตย์ตอนบ่าย ฟังก็รู้เลย ล่อกันจนดึก ก็มีความคิดเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทางพรรคฝ่ายค้านบอก ให้ยุบสภา ยอมเสียสละ กลุ่มทางสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บอกไม่ได้ ต้องลาออก แล้วทางฝ่ายที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอยู่จะทำยังไง ก็ต้องออกความเห็น
เลือกที่จะอยู่รักษาสถานการณ์บ้านเมือง
ผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เป็นแกนนำรัฐบาล ผมก็บอกว่า เขาบอกให้ไปคิด ผมบอกไม่ต้องคิดหรอก ผมลุกขึ้นตอบยืนตรงนั้นเลย ผมไม่ต้องไปคิด ผมตกลงใจได้ว่าผมจะเลือกอีกทางหนึ่ง คือเลือกทางที่จะอยู่รักษาสถานการณ์บ้านเมือง อยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย ผมบอกเลยว่า ผมก็เลือกทางที่ 3 ของผม ซึ่งเป็นสิทธิของผม สิทธิของพรรคประชาธิปัตย์บอกให้ยุบสภา บอกยอมเสียสละ จะยอมเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่เสียเปรียบ ทางฝ่ายวุฒิสภาบอก อย่างนี้ต้องออก ผมก็บอกเลยทางฝ่ายผมบอกว่า ผมต้องอยู่ต้องเพื่อรักษาสิทธิระบอบประชาธิปไตย เพราะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีเหตุผล ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความเป็นมา อยู่ดี ๆ กลุ่มคนพวกหนึ่งลุกขึ้นมาจัดการเลย 5 คนเป็นหัวหน้า มีคนปรึกษา และก็ดำเนินการใช้วิธี Propaganda ออกโทรทัศน์กันครึ่งปีค่อนปี เรียกว่าเป็นแบบภาษาฝรั่งเรียก Reality Show นั่นล่ะครับ พูดจาว่าเอาด่าเอาข้างเดี่ยวล่ะครับ ว่ากันไป จนกระทั่งเกิดเรื่อง จนกระทั่งผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเกิดอะไรกันขึ้นมา คนที่มีวิจารณญาณก็รับฟังได้ คนที่มีวิจารณญาณน้อย ก็เชื่อก็ฟัง ชักชวนกันก็เข้ามา นั่นล่ะครับคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ผมต้องแน่ใจว่าบ้านเมืองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันมาเรียบร้อยดี จะยังไงกระโดกกระเดกมา 76 ปี ก็ไม่เคยมีอะไรที่มันถึงขนาดนี้ ก็ต้องอดกลั้นว่าเอาล่ะถึงขนาดนี้ ไม่มีเหตุผล ก็ต้องสู้กับความไม่มีเหตุผล ก็ดำเนินการมาอย่างนี้ จนกระทั่งสุดท้ายต้องประกาศ พอประกาศเสร็จเรียบร้อย เอาล่ะครับ ทีนี้ถึงข่าวหนังสือพิมพ์ทำข่าว เมื่อผมประกาศก็ต้องประกาศว่ามี 2 ฉบับ ภายใน 3 วันจะต้องมีเอกสาร 2 ฉบับ เข้ามาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบ ฉบับหนึ่งก็ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ ท่านผบ.ทบ.เป็นประธาน ผบ.ตร. เป็นรองประธาน ท่านแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองประธาน มีคณะบุคคล ก็เก็บเอาข้าราชการทุกกระทรวงเป็นคณะกรรมการ มีหน้าที่ดำเนินการอย่างไร หนึ่ง ต้องเอาประกาศฉบับนี้มาให้ ครม.เห็นชอบ สอง ธรรมดามีประกาศ 21 ฉบับ รัฐมนตรี 20 คน จะต้องให้ความเห็นชอบในกฎหมายที่จะเกี่ยวข้องกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎหมายก็กำหนดให้บอกว่าให้อำนาจทั้งหมดทั้ง 20 รัฐมนตรี มาอยู่ที่มือนายกรัฐมนตรี นี่เป็นแบบฟอร์มเลยนะครับ แล้วในที่สุดวรรคสุดท้าย นายกรัฐมนตรีก็มอบอำนาจที่ได้รับทั้งหมดให้กับผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นประธานที่จะดูแลเรื่องนี้ ปกติธรรมดาเป็นแบบฟอร์มเป็นแบบฉบับ ไม่มีอะไรอื่น
แต่ข้างนอกเป็นอย่างไรรู้ไหม ข้างนอกพอท่านผู้บัญชาการทหารบกแสดงความเห็น โอ๊ย เอาแล้ว ทหารไม่เล่นกับรัฐบาลแล้ว ทหารไม่เล่นด้วย ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่า อยากจะอยู่ตรงกลางช่วยแก้ไขสถานการณ์ เออ ทำไมคนเป็นรัฐบาลอย่างผมฟังได้ แต่สื่อฟังแล้วบอกไม่ได้ ไม่ได้เลย ทหารต้องเข้าข้างรัฐบาล ในใจผมก็คิดอย่างนั้น แต่อีกใจผมต้องคิดว่าถ้ารักษาความสงบไม่ให้มีเรื่อง ก็ไม่เป็นไร ให้ปืนเขาไป เขาจะเหน็บใส่พกไว้ก่อน ไม่เป็นไร ให้ดาบเขาไป เขาจะเหน็บใส่หลังไว้ก่อน ก็ต้องดูแล้วจะทำยังไง เขาก็ต้องจัดการแก้ไข นี่หัวหน้ารัฐบาลเข้าใจ พาดหัวกันอย่างโน้นอย่างนี้ เอาแล้ว ทางทหารไม่ยอมนั่น พอรุ่งขึ้นปั๊บแล้วยังไง สมัครรวบอำนาจ ตามแบบฉบับวันที่ 4 ต้องประชุมเพื่อจะรับฟัง เอาเลยครับสมัครรวบแล้ว ไม่ฟังอีล้าค่าอีลม สมัครรวบรวม คือหมายความว่าพอ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ยอมเล่นด้วย เลยเอาอำนาจมาไว้ ออกข่าวเลย ปล่อยข่าว จะปลด ผบ.ทบ. จะอะไรต่ออะไร สุดแต่จะนั่นกัน ประเดี๋ยวองคมนตรีไปขอเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายสมัครเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นไปลากเอามาเล่นกัน ผมก็ไม่ได้ไปเฝ้าฯ องคมนตรีไปเฝ้าฯ ก็เป็นเรื่องขององคมนตรีท่าน จบเรียบร้อย เป็นธรรมเนียมนะครับ เมื่อเวลาคนระดับประธานองคมนตรีนั่งเครื่องบินกลับมาสนามบิน ธรรมดา ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) จะต้องเป็นผู้ที่ไปรับ นายกรัฐมนตรีไป ก็ไปรับ นายกรัฐมนตรีไปก็ไปส่ง ประธานองคมนตรีเขาก็ไปรับ เขาก็ชวน ผบ.ทบ.ทั้งหลายไปรับ ออกข่าวกันเลยโอ้โห ประธานองคมนตรีกลับจากเฝ้าฯ เรียก ผบ.ทบ. เข้า เหล่าทัพเข้าประชุม นี่ล่ะครับทำไมผมถึงจะไม่รู้เรื่องพรรค์นี้ ประชุมกันก็ไม่มีเรื่องอะไร ทุกอย่างไม่มีเรื่อง ก็จบเรื่องไปอย่างนั้น
พูดกับประชาชนทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์
บังเอิญผมเนี่ยบ่าย ๆ วันนั้นผมก็คิดว่า ควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างของผมก็คือว่า ควรจะต้องพูดกับประชาชนทั้งประเทศให้ทราบว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร คืออยากจะบอกว่านึกยังไงถึงมาร่วมกันเข้ามา จะพูดกันโดยตรงอย่างนี้ จะมารอถึงวันอาทิตย์ไม่ไหว กว่าถั่วจะสุกงาไหม้ ก็เลยถามกรมประชาสัมพันธ์บอกว่าวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ วิทยุบังคับฟัง ธรรมดาบังคับฟัง เจ็ดโมงเช้าถึงแปดโมง ทุ่มหนึ่งถึงสองทุ่ม ทั่วประเทศบังคับ 1 ชั่วโมง แต่กรุงเทพมหานครให้ครึ่งชั่วโมง พอเจ็ดโมงครึ่งก็ตัดไปถ่ายทอดอย่างอื่นได้ ก็เอาครึ่งชั่วโมงกรุงเทพฯ ผมก็เอาล่ะ กรุงเทพฯ ไม่ต้องฟัง เอาต่างจังหวัด 140 สถานี ผมก็ตกลงว่าผมจะไปคุย ตั้งใจไปคุยอย่างที่คุย ๆ นั่นล่ะครับ สามทุ่มรายงานข่าวกันเอิกเกริกเลยครับ นายกฯ จะประกาศลาออก คือข่าวก็รั่วว่าผมจะไปออก ผมต้องการจะพูดกับประชาชนทั้งประเทศพร้อม ๆ กัน เป็นเรื่องภายในของผม พอข่าวออกไปโจษจันกัน ยิ่งกลางคืน องคมนตรีกลับมา แม่ทัพนาย กองไปรับ เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้านายสมัครจะประกาศลาออก บนเวทีปลุกระดมก็เอากันเลย เช้ามืดผมฟังวิทยุมอนิเตอร์ฟัง เตรียมการเลย ประกาศลาออกแล้ว จะต้องฉลองชัยชนะ ผมก็ไม่อะไร ผมก็มา เข้าหน้าประตูกรมประชาสัมพันธ์ เงียบดี เอ่อดี มาถึงนักข่าวเป็นร้อยครับ เต็มไปหมดเลย เขาตื่นเต้นมานั่นกันหมดเลย และสิ่งที่ผมจะทำกับประชาชนธรรมดา นอกจากกรุงเทพฯ ทีวีทุกช่อง ต่อสัญญาณใส่เอาเสียงผมออกเลยครับ แปลว่าได้ประโยชน์เกินคาด
ผมก็พูดอธิบายความให้ฟัง ท่านทั้งหลายคงได้ฟังแล้วที่ผมพูดอธิบาย คือต้องรู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้น มันเป็นยังไง ต้องให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองต้องฉุกคิด ขอยืมคำพระพยอมท่านมาใช้ ต้องฉุกคิดว่ามันอะไร คณะผู้คนพวกนี้เขาเป็นใครมาจากไหน เขามี 5 คน เขาใช้ทีวีปลุกระดมกันมาทั่วประเทศ เป็นเวลายาวนาน พูดจาเอาข้างเดียวอะไรต่าง ๆ เราต้องทบทวนให้ฟัง เขาด่าว่ารัฐบาลเก่า นายกฯ คนเก่ากลับมา กลับมาได้ก็ต้องขึ้นศาล ยังไม่ทันไรก็จัดการ โดน 1 คดี ท่านก็บอกไม่ได้ท่านต้องถอยไปอยู่ข้างนอก และเสร็จแล้วก็เล่าต่อ ไป ๆ มา ๆ จะล่อมาพาดพิงถึงผม ฟังความดุด่าว่ากล่าว ผมมีบันทึกหมดเลย เขาเขียนมาเลยใครด่ายังไง ๆ ผมบอกกรุณาเถอะครับ ขอบพระคุณที่ส่งมาให้ แต่จะไม่เอามาอ่านหรอก อ่านสาดเสียเทเสีย อย่างขึ้นศาลวันไหนก็ต้อง ศาลท่านคงฟังไม่ได้เหมือนกัน มันสุดจะนั่นล่ะครับ ด่า ก่นด่า แล้วผมก็บอก แล้วผมไปเป็นอะไรขนาดนี้ ผมก็ต้องถกเถียงตามประสาของผม เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น อ่านหนังสือพิมพ์ ตรงนี้ อย่าพูดถึงหนังสือพิมพ์ อย่าไปแตะต้องเขา ผมบอกว่าผมอ่านแล้วผมต้องมีความเห็น ก็เขามีความเห็นว่ากล่าวผม ทำไมผมนั่นไมได้
คือสรุปความเป็นทำนองว่า คนผิดน่ะคือนายสมัคร ไม่ได้เอ่ยเลยคนที่มาทำ มายึดทำเนียบ ที่เข้าไปอยู่ อะไรต่าง ๆ ทำเนียบสกปรก เสียหาย ไม่มีใครว่ากล่าวเลยครับ แต่ว่าคนที่ผิดคือหัวหน้ารัฐบาล มันผิดตั้งแต่ต้นไม่ดูตัวเอง ไม่สำรวจตัวเอง โอ๊ย ออกมา ทุกคนกลายเป็นสูตรท่องกันมาเลยครับ หัวหน้าคนนี้มันเลว เลวยังไง เลวคือยกเขาพระวิหารไปให้ต่างชาติ ทำให้เสียดินแดน ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เริ่มต้นโครงการทั้งนั้น ยังไม่ได้ทำอะไรเลย สเปกก็ยังไม่ได้ออก โกงแล้ว ว่าทุจริตคดโกง ว่ายกชาติบ้านเมือง ทำให้เสียดินแดน สุดจะดุด่าว่ากล่าว ไอ้ที่พูดปลุกระดมนี่ล่ะครับ มีคนจำนวนหนึ่งไปฟังแล้วเชื่อ แล้วสุดท้ายกลับมา ที่ผมเสียดายเสียใจกำลังนี้คือว่า คนเขียนบทความหนังสือพิมพ์ ซึ่งควรจะเป็นคนมีสติปัญญาความคิด ทุกคนยืนยันมาบอกว่าไอ้คนผิดคือนายกรัฐมนตรี ไอ้นายสมัครนี่ล่ะ ผิดแล้วไม่ดูตัวเอง โอ๊ย ฟังความเมื่อคืนจนดึกจนดื่น ยังดูอะไรรู้ไหม บอกไอ้คนนี้มันไม่เหลียวมาดูตัวเอง มันเห็นคนอื่นผิด เห็นคนอื่นเลว ผมไม่เคยไปพูดจาอย่างนั้นเลย แต่ว่าจะเถียงผมต้องเถียงครับ เพราะผมถือคติว่าถ้าไม่ตอบโต้ก็แปลว่ามันผิดอย่างนั้นจริง เขาว่าด่าไป ไม่ได้ครับ บางคนยอมอย่างนั้นได้ ยอมให้ดุด่าว่ากล่าวไป ก็เจอยังไง ก็เจออย่างอดีตนายกฯทักษิณ ไม่โกรธ ไม่เถียง โต้ไปไม่เป็นไร เขาด่าเรื่องทำบุญประเทศ เรื่องอะไร ล่อเข้า 7 เดือน ด่าตั้งแต่เอกสารขาวดำ จนกระทั่งเอกสารพิมพ์สีสวยงาม แล้วสุดท้ายเป็นยังไง สำนักพระราชวังก็ทนไม่ได้ เจ้าหน้าที่ต้องออกมาอธิบายชี้แจง ให้คนฟังว่าเขาทำถูกต้องอะไรต่าง ๆ
เลยไปเรื่องอื่น จากนั้นเขายอมให้สับโขก ผมไม่ยอมครับ ผมไม่ยอมให้มาสับโขกว่ากล่าวผมข้างเดียว ผมอ่าน ผมเข้าใจ ผมต้องอธิบายให้ฟัง แล้วที่ผมพูดไป ผมต้องการให้รู้ว่า นึกยังไง ถึงได้เข้าไป นี่ผมขอย้ำหน่อยนะครับ คือมีในต่างประเทศ อย่างพวกดาวินเดียน ฟ้าเปิดต้องไปฆ่าตัวตายตรงนี้ ฟ้าปิด ไม่นั่น ฆ่าตัวตาย 300 คนจะไปพบ god เห็นไหมครับ อย่างวาโก้ที่เทกซัส เผากันตายทั้งหมดเลย จำนวนไม่รู้เท่าไร ตายกัน เพราะว่าเชื่อ อย่างโอมชินริเกียว ที่ญี่ปุ่น เขาก็เชื่อถือกันแบบนี้ และนี่มันลัทธิอะไรยังไง ผมก็เตือนสติว่ามันอะไร ดูหน่อย เป็นใครยังไง เขาก็ไม่ได้ประกาศว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ แต่การใช้ทีวี ผมต้องขอประทานโทษจริง ๆ ใช้คำว่า มอมเมา ทำให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเข้าใจผิด ไม่ใช่เมืองไทยนะครับ คนไทยในต่างแดนในโลก ออกมา เขาฟังอยู่น่ะ ออก Global มันไปทั่วโลก คนไทยเขาก็ฟัง และรัฐบาลมี Global ไหม รัฐบาลมีช่อง 5 แต่เขาก็ไม่ได้ออกมาปกป้องอะไรต่าง ๆ รายการเขาก็ออกไปอย่างนั้น เป็นข่าวไปธรรมดา
วิจารณญาณของคนฟังนี่ล่ะครับ ที่ต้องพูดกันให้เข้าใจ ผมถึงพยายามว่าเอาล่ะ จะด้วยอย่างไรก็ตามแต่ คนในประเทศนี้มี 63 ล้านคน คนจะกี่หมื่นก็ตามแต่ จะอยู่ในทำเนียบ จะยึดยังไง คนจะแห่กันเข้ามายังไงต่าง ๆ ผมก็ต้องให้คนทั้งบ้านเมืองเข้าใจว่า ในเรื่ององคาพยพทั้งหลาย อย่างยกตัวอย่างสหภาพต่าง ๆ ถูกต้องบ้านเมืองมีประชาธิปไตย มีสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงาน 100 เปอร์เซ็นต์ 90 เปอร์เซ็นต์เขาเป็นคนธรรมดา เขาดูแล แต่ 10 เปอร์เซ็นต์ เขาเคลื่อนไหว และ10 เปอร์เซ็นต์ นี่ล่ะครับ ออกมาเคลื่อนไหว แล้วไปอยู่ที่ไหน ก็เข้ามาเป็นข่าว แล้วใครเป็นคนทำข่าว ก็ที่นั่งทั้งเช้า ทั้งบ่าย ทั้งสาย ทั้งเย็น แต่ก่อนนั่ง 1 เดี๋ยวนี้นั่ง 2 เดี๋ยวนี้นั่ง 5 ก็มี คุยกันฉั๊บ ๆ ๆ นี่ล่ะครับ ตรงนี้ล่ะครับที่จะต้องพูด ผมไม่ตำหนิล่ะครับ แต่ผมมีสิทธิที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้ พอคนนั้นมา คนนี้มาจะต้องนั่น จะตัดน้ำ จะตัดไฟ อะไรต่าง ๆ นั่งแสดงความวิตกทุกข์ร้อน นี่กี่โมงแล้ว วันเสาร์ วันที่ 3 จะเป็นวัน Show Down กี่โมง ถ่ายก๊อกน้ำยังเปิดได้ ไฟยังมี เสร็จแล้วไปถึงวันที่ 3 คนที่เขามีหน้าที่รักษา เขารักษา ไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขาบอกเขาทำหน้าที่มา 40 ปี เขาไม่ให้ใครมาทำอะไรอย่างนี้ได้เลย แต่คนสหภาพบอก ออกมาไม่ได้ สั่งปิดไปแล้ว ตัดไปแล้ว 39 จุด อ้าว 39 จุดแล้วทำไม ไม่มีใครร้องทุกข์ ปิดไปแล้ว 39 จุด น้ำประปา ปิดโน่นปิดนี่ คือข่าวที่เขาเอามาขู่เอามาเล่า
นักเรียน นักศึกษา ออกมาใช้สิทธิชุมนุม
บรรดาคนที่นั่งบนโทรทัศน์ทั้งหลายนั่น ผมบอกคนพวกนี้ล่ะครับ ที่ผมต้องพูดถึง ถ้าเขาคิดอย่างผม แล้วผมไปทำหน้าที่อย่างนั้น ผมจะพูดอย่างผมคิด แต่พวกนั้นไม่มีล่ะครับ แสดงความหวั่นวิตก ความหวั่นไหว จัดการมาถามเรื่องอะไรต่ออะไร นักศึกษาขบวนนั้นเข้ามาแล้ว ขบวนนี้เข้ามาแล้ว เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะแสดง เท่าเทียมกัน เป็นสิทธิเสรีภาพของคนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า อ๋อ ก็โอเค ก็ทำไป นักศึกษาก็เข้ามาแล้ว ขบวนนั้น จุฬาฯ แต่งสีชมพูเดินเข้ามา จุฬาฯ มีเท่าไรครับ มาแสดงเมื่อวานนี้ นักศึกษามาเท่าไร ราชภัฏต่างจังหวัดทางโน้นมาจากโคราช มาจากอะไรต่าง ๆ มีธรรมศาสตร์บางส่วน แล้วก็เข้ามาเดินกัน 2,000 ไปอนุสาวรีย์ไปประกาศ เสร็จแล้วยังไง ผมต้องเลิกคิ้ว รัฐบาลต้องออก สมัครต้องออก ผมบอกนักศึกษา นิสิต ก็เอากับเขาอย่างนั้นด้วยเหรอครับเนี่ย แต่จำนวนมาเขาว่า 2,000 เอาเถอะใครจะเดินตามไปด้วยก็สุดแท้แต่ ก็แสดง แสดงก็แสดงสิครับ นี่บอกจะยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์จะแสดง คนที่อยู่ในทำเนียบฯ ผมสงสารจริง ๆ ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ ผมก็ไม่เคยรู้หรอกครับมาจากจังหวัดตรังมาจากจังหวัดภูเก็ต มาอะไรมา คนที่โน่นเขาทนไม่ได้ เขาเอารถมารับ มาจอดทำเนียบฯ มาจอดลานพระรูปฯ แล้วไป ๆ มา ๆ จะเข้าใจผิดกันอีก หาว่าเป็นคนรัฐบาลมาชวนออก คนรัฐบาลไปชวนใครจะเชื่อครับ นี่ญาติพี่น้องเขามาชวน เขาบอกไม่ไหว ไม่ได้แล้ว มาอยู่ 4 วัน 5 วัน เขาไม่นั่น เขามาเอากลับ กว่าจะเจรจากันได้
ผมดูข่าวผมก็ยกมือท่วมหัวเจ้าประคุณมีจริง ๆ ในที่สุดความทนไม่ได้ ความที่เห็นว่าทำกันไม่มีเหตุผล เอารถมารับครับ ตำรวจต้องนำขบวนส่งเลยครับ ยังไม่รู้อีกเท่าไร ยังไม่รู้ที่เขาบอกว่าคนจะออกไม่ให้ออกนี่ คือหลักการเราบอกว่าจะล้อมไว้ข้างนอก ออกได้เข้าไม่ได้ เขาจะได้จบเรื่อง ไม่ให้ออก ไม่ให้ออกมีได้อย่างไร บรรดากรรมการสิทธิมนุษยชนท่านอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ไม่ทราบ โทรศัพท์มือถือไม่ตัด ตัดได้ครับ ตัดก็โทรไม่ได้ แต่ตัดแล้วคนข้างในที่เขาจะโทรศัพท์ออกมา จะบอกอะไรให้ฟังก็ไม่ได้มีข่าว เขาจะร้องทุกข์ร้องพ่อแม่เขาจะกลับ ผัวเมียเขาจะเอาเมียกลับ จะเอาผัวกลับ จะทำอย่างไร ก็มีการเอากันเข้าไปหลั่งไหลกันเข้าไป ที่ฟังที่ดูเมื่อวานนี้ใจหายวาบ นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยครับ 3 คน แต่งเครื่องแบบใส่คอกางร่ม เข้าไปเวทีพันธมิตร ผมใจลงไปอยู่ที่ข้อเท้า ตายละ ๆ ผมก็นึกในใจ อะไรกันครับเนี่ย พวกจุฬาฯ ใส่สีชมพูมาเดินกัน จุฬาฯ ก็มา ธรรมศาสตร์มีเด็ก 10 กว่าคนไปขึ้นเวที วิจารณญาณของผมก็ว่าใครจะไปชักชวนอย่างไรก็สุดแท้แต่ แต่ว่าจริง ๆ แล้วผมก็บอกว่าเรื่องอย่างนี้ผมเข้าใจ ใครจะเท่าไร ๆ จะทำ ได้ครับ แต่ธรรมศาสตร์ทั้งองคาพยพไม่มา จุฬาฯ ทั้งองคาพยพไม่มา บางส่วนจะมาก็ตามใจครับ ก็ตามใจ แต่ที่ผมบอกว่า นักเรียนวชิราวุธฯ มี 900 คน 3 คนแต่งเครื่องแบบสะอาดใหม่เอี่ยม เดินถือร่มกางค่อย ๆ เดินย่องเข้ามา ผมบอกอย่างนี้ โรงเรียนนี้นะครับเป็นโรงเรียนที่เขาเทียบมาจากอีตัน (Eton) นะครับ อีตันโรงเรียนกินนอนอังกฤษ โรงเรียนทูตต่าง ๆ ใครเป็นรัฐมนตรีต้องจบโรงเรียนอีตัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา เจ้านายทรงอุปถัมภ์มีงานมีการได้เป็นพิเศษกว่าคนอื่น อะไรต่าง ๆ อยู่เฉย ๆ ก็ไม่เป็นปัญหาไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรก็ได้ เขาทำอย่างไรก็ไม่ทราบได้ครับ ใครจะอยู่ข้างหน้าข้างหลัง เอานักเรียนวชิราวุธฯ ใส่เครื่องแบบใส่คอปิด 3 คน ถือร่มเข้ามาเลยครับ ฝนตกด้วย
ทำประชามติตามมาตรา 165
ก็ต้องมาบ่นให้ฟังไว้ครับ แต่ที่พูดไปพูดมาทั้งหมดนี้คือจะบอกว่า จนถึงวันนี้สถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ผมกับแม่ทัพนายกองที่ดูแลก็พูดจากัน หนทางออกก็มองเห็นครับ ท่านผู้บัญชาการทหารบกบอกทางทหารที่จะต้องระมัดระวังทั้งหมดเพราะเปิดออกมามันกำแพง หาประตูออกไม่ได้ ท่านผู้ชมฟังให้ดีนะครับ รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ศาลก็เอาไม่อยู่ จะไปสภานอกรอบก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายทำอย่างไรครับ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ทหารเข้ามาดู ทหารก็เอาไม่อยู่ แล้วจะทำอย่างไรครับ ทหารบอกว่าต้องกลับไปดูที่สภา ประตูอยู่สภา ผมก็กลับไป ประชุมคณะรัฐมนตรีภาคพิเศษก็อนุมัติ รัฐมนตรีสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พรรคชาติไทย บอก ท่านนายกฯ มาตรา 165 พอฟังความ สมาชิกข้างในก็บอกว่า ที่คุณสุทิน คลังแสงพูดไป นายกฯ ไม่ดู ผมบอกผมอาจจะบกพร่องตรงนั้น เขาเสนอไว้ในสภา ผมก็ขอบคุณรัฐมนตรีสมศักดิ์ฯ เอาจับประเด็นนี้มา ในพรรคของท่านก็คงอ่านกันดูแล้ว ก็เอามาตรา 165 มาตรา 165 อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ได้มีอะไรลึกลับเลยครับ ชัดเจนเลยว่า วงเล็บหนึ่งบอกเลยถ้ามีสถานการณ์เป็นอย่างนี้ มีปัญหาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ ก็ขอให้นายกรัฐมนตรีติดต่อประธานสภาจัดการประกาศราชกิจจาฯ จะทำกันนี่ ผมก็บอกข้อ 1 ก็เข้าแล้ว แล้วข้อ 2 เหมือนมันขบ ไม่ขบครับ ฟังให้ดีนะครับวงเล็บสองบอกว่าถ้าจะทำประชามติ จะทำประชามติที่ขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้ คำอธิบายแปลว่าอย่างไร แปลว่าสมมติว่าจะทำประชามติเพื่อเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้ ทำประชามติเพื่อจะขอเลิก มาตรา 63 ที่เขาใช้อยู่นี้ ทำประชามติเพื่อเลิกมาตรา 63 ไม่ได้ อย่างนี้แปลว่าขัดรัฐธรรมนูญ เท่านั้นละครับ แล้วเขาบอกว่าเอาประชามติเพื่อตัวบุคคล เอาคนนี้ ๆ เอาใคร อย่างนี้ไม่ได้ เห็นไหมครับ แต่ว่าวรรคหนึ่งบอกไว้ชัดเจนไม่มีปัญหา
ผมก็บอกกฤษฎีกา ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลว่าช่วยไปดูให้หน่อยสิว่า จะเขียนถ้อยคำอย่างไร พอฟังความฝ่ายกฎหมายเขาบอกว่า ท่านนายกฯ กฎหมายนี้มันผ่านสภาแล้วจริงนะ แต่วันจันทร์นี้มันจะเข้าวุฒิฯ แล้วอย่างไร วุฒิฯ จะผ่านหรือไม่ผ่านก็ไม่ทราบ เขาอาจจะไม่ร่วมมือ วุฒิฯ เขาก็มาจากเลือกตั้งครึ่งหนึ่ง 76 แต่งตั้งมา 74 150 นี้จะเห็นอย่างไรก็ไม่ทราบ บอกไม่เป็นปัญหา เราออกข่าวได้ว่าเราใช้ 165 แล้วก็ขอความกรุณาวุฒิฯ พอถึงวันเขาไปประชุมกัน วันศุกร์เอาเข้าเลยครับ เอาเข้าเลย วุฒิฯ จะใช้เวลา 90 วัน วุฒิฯ บอกว่ารับหลักการวาระหนึ่ง แล้วแปรญัตติภายใน 7 วัน แปลว่าวุฒิฯ ร่วมมือ ก็ดี แล้วคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย ๆ ไม่เอาด้วยต่าง ๆ วุฒิฯ เสร็จแล้ว วุฒิฯ จะ 90 วันจะต้องไปให้ เป็นกฎหมายลูก รัฐธรรมนูญจะต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญดูอะไร ทั้งหมดบอกอีก 7 เดือนถึงจะใช้กฎหมายนี้ได้ 7 เดือนถั่วสุกงาไหม้แล้วครับ งาเป็นผุยผงที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบกว่าถั่วจะสุก เขาก็บอกมาว่าถ้าอย่างนั้นไม่เป็นปัญหา มีช่องทางจะดำเนินการ จะเสร็จเมื่อไรจะอย่างไรก็ตามแต่
แล้วผมก็ไป ผมไปตรวจงานนั่งรอรถ รถอ้อมมารับทางโน้น ใต้ต้นไม้ร่มเย็นดีพอเมื่อยนั่ง นักข่าวมา ผมก็คิดอยู่แล้วกลางคืนจะออกโทรทัศน์ จะคุยต่อสักหน่อย เขามากันเต็ม ๆ ทุกช่องทุกฝ่ายก็เลยคุยเลยครับ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนี้เรื่องนั้น โทรทัศน์เขาจะออกที่ผมคุยทั้งหมดคงไม่ได้ละครับ เพราะเขาเลือกออก แต่เขาเลือกออกตามที่เขาเห็น บางส่วนบางตอนบางอันก็ไม่ได้ออก ๆ นักข่าวต้องใช้ภาษาฝรั่งทันสมัย เขาเรียกว่าอินครับ อินมากไป บอกบ้านเมืองอย่างนั้นผู้คนแตกแยกกันหมดแล้ว ผมก็พยายาม มันแตกแยกกันขนาดไหน ใครต่อใครแตกแยกกัน แตกแยกกันหมดแล้ว ใครต่อใครไหนบอกเรามาสิ ผมกับคุณอภิสิทธิ์ฯ หรืออย่างไร ไม่ใช่ เขาบอกนักข่าวผู้หญิงคนหนึ่ง ออกชื่อเธอก็ได้ ชื่อคุณบุญระดม จิตรดอน โอยแตกแยกกันหมด ผมบอกว่าแล้วอย่างไร ๆ ในครอบครัวก็แตกแยก ผมก็เลยกระเซ้าไปว่า เออแล้วครอบครัวคุณแตกแยก แตกแยก ผมฟังแล้วใจหายวาบเลย เธอบอกครอบครัวเธอแตกแยก ผมก็เอาครอบครัวผมหักล้าง ผมบอกครอบครัวผมนะ มีพ่อมีแม่ มีลูกสาว 2 มีลูกเขย 2 ยังไม่ได้แถมว่ามีหลานอีก 3 นะครับ แล้วหลานอีก 3 นั้นรู้ภาษาแล้ว 2 คนด้วย ปรากฏว่าผมกระเซ้ากลับไปพอสนุกครับ ว่าครอบครัวผมไม่แตกแยกเลย เห็นตรงกันหมดเลย ภรรยาผมก็บ่น เพราะว่าประเดี๋ยวก็มาล้อมบ้าน ๆ เดี๋ยวจะล้อมบ้าน ตำรวจเขาก็บอกว่าไม่อยากให้อยู่ข้างใน ภรรยาผมบอกว่าข้างในบ้านไม่มีใครรักบ้านเท่าเขา เขารักบ้าน เขาบอกเขาอยู่ แต่ตำรวจเขาบอกว่าเดี๋ยวจะรุนแรง แล้วทำอย่างไร เขาเอาหลาน เมื่อวันที่ 25 วันที่เขาปลุกระดมกันวันเริ่มต้น หลานผมเกิด วันที่ 25 สิงหาคม ครบ 3 เดือน ระหว่างนั้นเดี๋ยวจะล้อมเดี๋ยวจะมาเดี๋ยวจะยกขบวนตำรวจก็มาเขาบอกเขามาดูแลให้ไม่อยากให้เจ้าของบ้านอยู่ข้างใน
วันหนึ่งภรรยาผมอดรนทนไม่ได้ ก็ต้องเอาหลานไปอยู่ที่อื่นเขาก็บ่นเป็นครั้งแรกที่บ่นกับผมเลย บอกดูสิไอ้ตัวเองไม่เป็นอะไร หลานอายุ 3 เดือนก็ต้องออกจากบ้านแล้วเพราะต้องหลบลี้ภัย อะไรก็ไม่ทราบได้ เราเป็นคนที่ไม่เคยมีภัยอะไรกับใครในบ้านเมือง พูดกันไปพูดกันมาชี้กันไปชี้กันมาเหมือนกับว่าสมัครทำไม่ดีต่อไปจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ฟังความฟังอะไรเหมือนกับผมมีความผิดติดตัวทำความเลวทรามต่ำช้าคือพูดกันอย่างนั้นพูดกันไปพูดกันมาจนกระทั่งบัดนี้เหมือนกับว่า รัฐบาลต้องออกมันดื้อด้านมันต้องออก โดยไม่ฟังเลยนะครับว่าแล้วตกลงฝ่ายที่มาขับไล่มาจัดการยึดอำนาจปีนเข้าไปในทำเนียบอย่างนี้ ไม่มีใครพูดสื่อสารมวลชนทั้งหลายก็ไม่ค่อยอินังขังขอบกับทางนั้นไม่ค่อยตำหนิติเตียน
ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ผมอ่านหนังสือพรรคพวกส่งจดหมายมาเขียนจดหมายจากอเมริกา ส่งอีเมล์มาฝากคนมาให้คุณสมัครอย่างนี้มันเกินเหตุทำอะไรอยู่ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังไม่ดำเนินการอะไร บอกก่อนประกาศเข้าไปเขาบอกว่าในประเทศอย่างอเมริกาถ้าปีนรั้วทำเนียบขาวเขายิงเลยครับ เขายิงเลยเขาไม่นั่นเลย ยึดสนามบินนอนไปกลางสนามบิน สนามบินลงไม่ได้บอกโดนซิว ซิวคือฟ้อง ฟ้องกันเอาตัวไม่รอดเลย ไม่ได้เลย นั่นละครับประชาธิปไตยจ๋าเลยอเมริกัน หัวโจกประชาธิปไตยแบบอเมริกันเลย เขาบอกไม่ได้เลยเชียวครับ ไปประชุมเขาประชุมริพลับลิกันประชุมกันมีคนไปก่อกวน เขาจับเลยครับ 300 คน ตำรวจจับตัวไปเลย บอกประชาธิปไตยเมืองไทยไม่ได้หรอกครับ มีที่ไหนมาสู้ที่นี่ไม่ได้หรอกครับ เพราะสังคมเราก็เปลี่ยนแปลง สังคมเราเปลี่ยนแปลงครับ กระทบกระทั่งอะไรไม่ได้เลยรัฐบาลต้องดีต้องนั่น ทหารถึงเสียรังวัดไงครับ ทหารดูแล้วบอกไม่ได้ เอาปืนมาต้องเหน็บใส่กระเป๋าต้องใส่ซองให้ดาบมาต้องเหน็บใส่หลัง แล้วค่อย ๆประคับประคองค่อยโอ้โลมปฏิโลม จะพูดจาอะไรกัน ในขณะเดียวกันสื่อก็รายงานสื่อบอกต้องอยู่ตรงกลาง ต้องรายงานถี่ถ้วนรายงานละเอียดเลยครับ ใครเข้าไปร่วมชุมนุมใครเคลื่อนไหวอย่างไรใครอย่างไร
แต่ผมก็อยากจะขอบคุณสื่อนะครับ ถ้าไม่ได้สื่อรายงานผมจะไม่มีทางทราบเลยว่าคน 5 คนเขาคิดอะไรอย่างไร เขาพูดจาอย่างไร พูดออกมาคำก็บอกดี พูดออกมาครับเอ่อดี คือคนทั้งบ้านเมืองที่มีวิจารณญาณในการฟังอันดีจะรู้ทันทีเลยว่า ที่พูดมาไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลไม่ได้ ไม่เจรจาไม่อะไรทั้งสิ้น ต้องออก ออกไปเลือกตั้งกลับมาใหม่ ถ้าคณะนี้กลับมาอีกก็เอาอีก นั่นแหละครับคือความไม่มีเหตุผล ทั้งหมดนี่ละครับไม่มีอะไรจะพูดมากก็อยากจะขอบคุณสื่อทั้งหลาย ว่าผมมองในแง่เอาวิกฤตเป็นโอกาสคือไม่อยากให้รายงานมาก แต่รายงานมาก็เป็นเรื่องดีไปครับ ได้รู้ครับว่าคิดอย่างไร ๆ รายงานข่าวผู้คนคิดอย่างไร คนนั้นไม่เห็นด้วยคนนี้ไม่เห็นด้วย พอมองดูบอกกลุ่มนี้ ๆ กลัวประชามติ มีคนกลัวประชามติ เห็นไหมครับได้รู้เลยใครเป็นใครเลย สำนวนที่เขาพูดกันว่าเขาเรียกว่าไผเป็นไผ ก็ได้รู้อย่างนี้ละครับ
ถามว่าตกลงมานั่งพูดจาสถานการณ์อย่างไร สถานการณ์พอไหวครับ พออาศัย พอเอาอยู่เรื่องต่าง ๆ ความสมัครสมานสามัคคีของผู้คน ที่คุมตรงนั้นเขาทำครับ โอยจะไปอย่างไร ไปได้ไงเดี๋ยวก็ บอกกันแล้วว่าเขาก็อธิบายแล้ว เขาพูดแล้วพูดอีก นี่จะไปไปญี่ปุ่น เขาบอกว่าไปไม่ได้เพราะฉุกเฉิน ฉุกเฉินจริงๆ หนึ่ง สอง สาม แล้วมี สาม สี่ ห้า ไปไม่ได้ครับ ต้องกราบบังคมทูลสมเด็จพระจักรพรรดิเฝ้าฯ ไม่ได้ เพราะสำนักพระราชวังเขาถามว่าไปไม่ไปตอบมา ต้องขอพระราชทานอภัย แล้วตกลงจะไปสหประชาชาติ ต้องไปพูด จะไปสหประชาชาติเอาอีกแล้วหรือ นายกฯ ทักษิณฯ ไปแล้วไม่ได้กลับ ผมก็บอกอย่างไรก็ตามแต่ ผมต้องทำจดหมาย วันที่ 25 นี้ ผมจะปราศรัยองค์การสหประชาชาติ ศาลอุทธรณ์จะตัดสินคดีผม คดีหมิ่นประมาทนั่นแหละครับ คดีหมิ่นประมาทศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 เดือน 6 เดือน 4 หน แล้วไม่รอลงอาญาด้วย น่ากลัวนะครับ ติดตาราง 2 เดือน 2 ปีไม่รอลงอาญา แล้วอย่างไร ก็ตัดสินก็ไม่เป็นไร ก็ตัดสินก็ต้องขอก็ต้องฎีกาสุดท้าย เมื่อฎีกาแล้วก็ ก็อย่างไร ข้อเท็จจริงก็ต้องมีการสลักหลังให้ อัยการสูงสุดต้องเป็นคนเซ็นให้ผมว่าผมต้องอย่างไร ก็ต้องไปอีกครับต้องไปพูดทางศาลฎีกา ก็ไม่เป็นไร เขาบอกว่าวันที่ 25 จะตัดสิน แล้ววันที่ 25 จะพูดสหประชาติ ผมทำหนังสือถึงศาลแล้ว เมื่อวานนี้ วันจันทร์จะไปยื่น บอกผมจะต้องไปสหประชาติ ส่งรายการไปให้ดูต้องไปประชุมทูตที่ประเทศโน้นในยุโรป มีรายการยาวเหยียดเลยครับ ยังจะคิดไปอีกบ้านเมืองอย่างนี้
ผมบอกว่าผมจะต้องไปนี้เพื่อให้คนในโลกเขาเห็นว่าบ้านเมืองนี้สถานการณ์ มันมีอยู่ตรงสี่เหลี่ยมเศษหนึ่งส่วนสี่ตารางกิโลเมตรอยู่ทำเนียบรัฐบาล จะเสียหน้าเสียตาเสียไปแล้วครับ จะอับอายขายหน้าเอาไปแล้ว เขาประกาศชัยชนะยึดทำเนียบได้ก็คือชัยชนะ ไม่มีกฎหมายเว้กๆ ไปอย่างนั้นเอง แต่ในโลกนี้เขาเฝ้าดูครับ ผมจะเล่าให้ฟังต้องขอประทานโทษครับ ทูตทหารเขาขอพบผู้บัญชาการทหารบก ขอพบสนทนา เขาบอกว่าถ้าเผื่อปฏิวัติอีกเขารับไม่ได้ ผบ.ทบ.บอกไม่ปฏิวัติ ไม่มีเหตุจะต้องทำอย่างนั้น ผมไปงานทูตไปงานสถานทูตอังกฤษ ไปงานสถานทูตใหญ่ ๆ เขาบอกเลยครับ เขาบอกปฏิวัติอีกเขารับไม่ได้ เขาบอกปฎิวัติโดยประชาชน โดยไม่มีเหตุผล เขาก็รับไม่ได้ เขาเฝ้าดูตลอดหมดคือทูตเขารู้เหมือนกับคนอยู่ในบ้านเราเขาดู ผมก็บอกโอเคครับผมเข้าใจ ผมก็ทำอย่างว่าอธิบายความ ผมถึงยืนหยัดได้ว่าผมต้องรักษาระบอบประชาธิปไตย รักษาบ้านเมืองเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของเราเอาไว้ เหตุเกิดอยู่ตรงหย่อมผู้คน ต้องใช้คำว่าหยิบมือ ถ้าเทียบกับ 63 ล้านคน ให้จะเข้ามาแห่ห้อมมาเติมก็ได้ คนมาเท่าไร ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์จะเคลื่อนไหว พวกบรรดาเย้ว ๆ ทั้งหลายประโคมกันใหญ่ แต่ว่าอีก 90 เขารักษา น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ไปรษณีย์ เขาบอกเขารักษา
ก็เป็นอันว่าถ้าเรารู้อย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้ เราก็คิดว่าบ้านเมืองก็อยู่ได้ โอยถ้าไปแล้วกลัวทหารเขาปฏิวัติ ทหารเขาปฏิวัติเขาก็เสียรังวัดเขาเท่านั้น เขาประคับประคองดูอย่างนี้เขาคิดว่าเขาไม่ปฏิวัติก็รักษาบ้านเมืองดีกว่าปฏิวัติ เพราะอะไร วันนั้นนักข่าวบอก ไม่กลัวสงครามกลางเมือง ผมบอกมันจะสงครามกลางเมืองอย่างไร ในเมื่อพวกที่เขาอยู่ทำเนียบเขาบอกเขาอหิงสา เขาไม่มีอาวุธทหาร ตำรวจ ก็ถือแต่โล่ห์ ถือกระบอง ไม่มีอาวุธ แก๊สน้ำตายังไม่กล้าใช้เลยครับ เกิดแก๊สน้ำตาไอ้บ้าที่ไหนยิงออกมาก็กลายเป็นว่ากำลังสอบอยู่รายละเอียด เป็นข่าวเอิกเกริก หนังสือพิมพ์พาดหัวกันใช้แก๊สน้ำตาแล้ว แล้วไปอย่างไรครับ จะจุดเท่าไรก็ไม่ติด ทำอย่างไรเลือดก็ไม่นอง ออกซิบๆก็คงพอมีบ้าง เพราะอย่างนั้นผมก็บอกว่า ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ผมจะไปอยู่สหประชาชาติทางนี้จะยึดอำนาจ ก็พิจารณาดูแล้วกันว่าสมควรไหม แต่ว่าถ้าผมอยู่แล้วยังเป็นนายกรัฐมนตรี รักษาบ้านเมืองได้มันก็เป็นหน้าตาของประเทศไทยว่าสถานการณ์ใครจะว่าเลวร้าย แต่นายกรัฐมนตรีไปปราศรัยที่สหประชาชาติได้ จะได้คุยกับคุณบัน คี มูน ตามที่นัดหมายกันไว้ได้ จะได้แวะประชุมทูตทางยุโรปได้ทำอะไรได้ ก็แปลว่าถ้ามันพออาศัยก็จะไปแน่นอนครับ ถ้าเกิดจลาจลมันไปไม่ได้ล่ะครับ แต่มันไม่มีจลาจล ยังไงก็ไม่มีจลาจลครับ เพราะทุกอย่างเข้าที่ จนถึงวันนี้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร ผมจะคุยเพียงเท่านี้ เหลือเวลา 10 นาที ตอบคำถามหน่อยครับ เดี๋ยวมาบอกจัดรายการแห้งอีก รายการออกกรมประชาสัมพันธ์วันนั้น เขาบอกแห้งนะครับ ไม่น่าเชี่อ มันตลกไหม สมัยนี้
คำถาม อยากให้หาพระที่เทศน์เก่ง ๆ มาเทศน์เตือนสติประชาชน
นายกรัฐมนตรี เก่ง ๆ ก็มีหลายรูปนะครับ พระพยอมก็ได้ วัดสุทัศน์ฯ ท่านก็เก่ง ว.วชิรเมธี ท่านก็ใช้ได้นะครับ ท่านก็ช่วยงาน แต่ว่าองค์ที่ท่านค่อนข้างจะไม่ปกติ เดี๋ยวนี้ท่านเป็นเจ้าคณะรอง อยู่นครปฐม ท่านเจ้าคุณประยุตต์ ปยุตโต ท่านเป็นพระพรหมคุณาภรณ์ พระรูปนี้เจ๋งล่ะครับ แต่ไม่กล้ารบกวนท่าน เพราะว่าท่านอาพาธอยู่บ่อย ๆ ก็จะรับหลักการ เรื่องอย่างนี้พระท่านทำให้เอง เราไม่ต้องไปขอร้องอะไรท่าน
คำถาม ให้ท่านนายกรัฐมนตรีหนีความวุ่นวายจากเมืองกรุง มาเยี่ยมเยียนถิ่นฐานจังหวัดขอนแก่นบ้าง ที่มีแต่ความอบอุ่น
นายกรัฐมนตรี ที่นั่นคงแดดแรงนะครับ
คำถาม แล้วท่านได้รับการสนับสนุน
นายกรัฐมนตรี ความจริงไปเฉียดขอนแก่น คืออย่างนี้ผมจะเล่าให้ฟังนะ สาเหตุที่จะไปประชุม ครม.สัญจรวันอังคารนี้ ก็เพราะเหตุว่าไปขอยืมสถานที่เขา และไป ๆ มา เขาบอกก็สัญจรซะเลย เพราะเขาเห็นด้วย สัญจรที่ไหนล่ะครับ เดี๋ยวใครเข้าไปก่อกวน ก็ไปเมืองที่ไม่มีคนก่อกวน ก็ไปจังหวัดที่มี ส.ส.อยู่ 10 คน เป็น ส.ส.พรรคพลังประชาชนทั้งหมด 10 คน อย่างนี้ปลอดภัย ไม่มีล่ะครับ ที่แล้วมาใครต่อใครไปฟาดกัน ไม่นั่น และเราไม่ได้หาเรื่อง เราประกาศเลยไปเลยครับ แล้วบ่ายโมงจะมีคลินิกการเกษตร คลินิกมหาดไทย ไปทำต่อใบขับขี่ อะไร ไปทำให้ และเย็น ๆ รัฐบาลก็พบ รายงานประชาชน 7 เดือน รุ่งขึ้นเช้าก็ประชุม ครม. ไปมอบธงกับเขาหน่อย ก็ดำเนินการ ก็ดีครับ ถัดไปก็จะหาจังหวัดที่พร้อมจะไปได้ ก็เกรงใจทางโน้นเขา เหมือนกัน ไปใช้สถานที่เขา ก็ให้มันเคลื่อนที่เสียบ้าง ขอบคุณที่ส่งความเห็นอันนี้มา
คำถาม ทำไมรัฐบาลไม่เอานักวิชาการมาเป็นทีมงาน เพราะมีความน่าเชื่อถือ ประชาชนไว้ใจ
นายกรัฐมนตรี ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ผมทำงานตามมาตรฐานปกติ นักวิชาการไม่ต้องถูกชักชวนมาเป็นเครื่องมือของรัฐบาล ในความเห็นของผม นักวิชาการก็อยู่นักวิชาการ ท่านจะคิดจะเห็นอย่างไร ท่านต้องทำด้วยตัวท่านเอง มาผูกโยงรัฐบาล ไม่ได้เลยครับ นักวิชาการเขาก็เสียความเป็นอิสระของเขา ผมต้องถือเรื่องอย่างนี้ครับ นักวิชาการจะพูด เห็นตัววิ่งออกมาก็ขอบพระคุณ แต่ว่าไปชักจูงไปทำ ไม่ได้ครับ รัฐบาล Propaganda ไหม ไม่ คนที่ Propaganda นี่คนนี้ คนเดียวนี่ล่ะครับ ไม่ใช่ว่าอวดเก่งนะ แต่ว่าต้องการความรอบคอบนุ่มนวล และไม่ให้เราชักจูงอะไรต่าง ๆ ผมรับผิดชอบ ผมพูดเอง อธิบายความเอง และรายการอย่างนี้ล่ะครับ รายการจากปากผม ถึงหูท่านพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ท่านลองใช้วิจารณญาณดูให้ดีแล้วกันว่า สถานการณ์ปัญหาบ้านเมืองเป็นอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เห็นไหมครับ ไม่มีเหตุ และผู้ที่มาเรียกร้อง เป็นใครที่ไหนอย่างไร ที่ผมอยากให้ท่านตั้งข้อสังเกตคือ คนมีความรู้ มีการศึกษามากมาย ก็ตกลงหันหน้ามาชี้ว่า คนที่ผิดคือสมัคร ผมบอกไม่ได้ ชี้ได้ครับ แต่ว่าผมอธิบายความให้ฟังว่า ผมไม่ใช่อย่างนั้นล่ะครับ ทำไมแล้วคนพวกนี้เป็นยังไง ไม่มีใครไปแตะไปต้อง ไม่มีใครกล้าไปทำอะไร เป็นอะไรมาจากไหนยังไง ถึงได้หันมาเล่นงานรัฐบาล แม้กระทั่งในสภา ก็บอกนายสมัคร มันผิดยังไง มันเลวยังไง พูดไป โอ๊ย สมัครดิ้นบอกตัวไม่ผิด ก็ไม่ผิดนี่ครับ ผมทำงานให้บ้านเมือง ผมไม่มีผลประโยชน์ ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ถ้าผมพ้นวาระไป แต่เวลานี้มารับหน้าที่อยู่ ถ้าไม่ดูอยู่ตรงนี้ กระโดดลงเรือหนีไป ไม่ได้ล่ะครับ ผมทำไม่ได้เลย เพราะนี่ก็บ้านเมืองของผม
สำคัญที่สุดสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมจะต้องเป็นคนอยู่เฝ้าดูแลเรื่องนี้ เพราะผมชักสังหรณ์ใจ ชี้หน้าคนโน้นคนนี้ พวกที่ปลุกระดมกันทั้งหลาย ออกปากกันเอิกเกริกเสียอย่างนั้น ผิดปกติครับ แสดงความจงรักภักดีผิดปกติ เพราะยังไง เพราะไปเหยียบย่ำคนอื่นที่เขาไม่ได้แสดง ไม่ได้ออกมา ผมถือว่าเหยียบย่ำความรู้สึกของตำรวจ ทหาร ที่เขารักพระเจ้าอยู่หัว เทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวด้วยใจ แต่นี่อะไร ปากรักเทิดทูน ใส่เสื้อใส่อะไร เหยียบย่ำ มันกลายเป็นว่าแล้วคนที่เขาไม่ได้แสดงออกอย่างนี้ เขาไม่ได้จงรักภักดีเหรอครับ เห็นไหมครับ คนที่เขารักพระเจ้าอยู่หัวด้วยใจ รักพระราชวงศ์ด้วยใจมีเท่าไร และคนที่มาพูดจาอย่างนี้ จะไปยกย่องสรรเสริญคนพวกนี้ บอกเขารักและเทิดทูน แล้วคนที่เขาไม่พูด เขาไม่เสียรังวัดแย่เหรอครับ คนที่เคารพนับถืออยู่ในหัวใจเลย เขาไม่เสียรังวัด เขาไม่ตายเหรอครับ ในเมื่อคนพวกนี้มา และเอาความจงรักภักดีไปเหยียบย่ำคนอื่น ไม่ได้ล่ะครับ ผมถึงสังหรณ์ใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะดูแล้วคนพวกนี้คิดอะไรยังไง คิดอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย อยู่ดี ๆ การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดันเสนอความเห็นบอกจะเอา 30 : 70 จะแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 แล้วนี่ประชาธิปไตยอะไรครับ นี่คิดแบบประเทศอะไรครับ ลัทธิอะไรครับ ไม่นั่นไม่โน่นไม่นี่อะไรต่าง ๆ มองลึก ๆ เข้าไป ต้องร้องเอ๊ะ ต้องฉุกคิดว่าคนพวกนี้เป็นยังไง นี่สมมติว่าไปเกิดเห่อเหิม ยกย่องสรรเสริญไปให้ ได้อำนาจรัฐไปโดยอะไรก็ไม่รู้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้ครับ จะต้องตั้งสภาใหม่หรือไง แล้วมีสภาขึ้นมา และก็ให้เลือกตั้งแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ บ้านเมืองจะบริหารด้วยอะไรยังไง มันไม่รู้อะไรทั้งสิ้นครับ แต่ว่าคนดีมีความรู้ทั้งหลายไปยกย่องสรรเสริญ ไปส่งเสริม ผมต้องแสดงความประหลาดใจ ในที่สุดคนอย่างผมทำงานมา 7 เดือน โดนเหยียบย่ำ โดนชี้หน้า แล้วรวมความกัน
ผมบอกสื่อสารมวลชนด้วยนะทั้งหมด ทั้งบทความ ทั้งข้อเขียน นายสมัครไม่ดูตัวเอง ไม่เห็นความผิดของตัวเอง ว่ากล่าวผมได้โดยผมต้องแน่ใจว่าผมต้องเถนะทั้งหมด ทั้งบทความ ทั้งข้อเขียน นายสมัครไม่ดูตัวเอง ไม่เห็นความผิดของตัวเอง ว่ากล่าวผมได้ โดยผมต้องแน่ใจว่าผมต้องเถียง เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่คนที่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน ยึดทำเนียบรัฐบาล บรรดาสื่อสารมวลชนทั้งหลายไม่แตะต้อง ไม่ตำหนิ ไม่เอ่ยถึง ผมต้องร้องถามพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่านี่บ้านเมืองนี้เป็นอะไรครับ มันเกิดอะไรขึ้น เกลียดนายกฯ ก็...ไป แต่มาลากผมด้วย ไม่ได้ครับ เหยียบย่ำนายกฯ คนเก่าไปยังไง เขาก็จะตายทั้งเป็นแล้ว ก็จบไปอย่างนั้น แต่ผมไม่ได้ครับ ผมไม่ยอมให้ผมมาตายทั้งเป็นเพราะอย่างนี้ นั่นล่ะทำไมผมถึงมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำไมผมถึงทำงานกับกระทรวงกลาโหม ทำงานกับกองทัพ ทั้ง 3 บอกกองบัญชาการทหารสูงสุด ทำไมผมทำงานกันได้ ทำไมผมย้ายทหารรอบหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ผมย้ายเมื่อคราวที่แล้ว ไม่เป็นปัญหาล่ะครับ นั่นคือความบกพร่องที่เราแลเห็น คือรัฐบาลไปยุ่งกับเขา จนกระทั่งเขาไม่พอใจ เกิดเหตุเกียกกายปั๊บ พลิกทันที รัฐบาลไป แต่รัฐบาลนี้นะครับ ทำงานอยู่กับคนที่ดูแลความมั่นคงของบ้านเมือง ทำงานถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทำงานให้ดูแลบ้านเมืองทั้งหมด ผมแน่ใจว่าผมทำสิ่งที่ถทำงานถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทำงานให้ดูแลบ้านเมืองทั้งหมด ผมแน่ใจว่าผมทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่บัดนี้คนพวกหนึ่งจัดการยึดทำเนียบ ทำอะไรต่างๆ เหยียบย่ำ แล้วชักชวนผู้คน โดยใช้โทรทัศน์ปลุกผู้คน ล่อหลอก เสร็จแล้วปรากฏว่าสื่อสารมวลชนที่มีวิจารณญาณอันดี กลับหันมาชี้ที่ว่าไอ้นายกฯ นี่ต้องพิจารณาตัวเอง แม้แต่คนในสภา แม้แต่คนมีวิชาความรู้ ก็บอกนายสมัครไม่พิจารณาตัวเอง นายสมัครมันผิดมาตั้งแต่ต้น ไม่ครับ ผมต้องเถียงเลย แล้วผมไม่ยอมให้ใครทำกับผมอย่างนี้นะครับ อ่านคำถามอีกหน่อย นักวิชาการไม่เอามานะครับ เพราะเกรงใจเขาครับ เขาควรจะเป็นอิสระของเขา
คำถาม อยากได้คำแนะนำว่าจะสนับสนุนอย่างไร อยากแสดงแต่ไม่รู้จะทำทางไหน
นายกรัฐมนตรี ท่านอยู่ในที่ตั้งครับ อยู่ในบ้านไม่ต้องออกมา ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องออกมายุ่งกับเขาเท่านั้นล่ะครับ ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา ไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะไม่เข้าไปยุ่งในทำเนียบยิ่งดีใหญ่ เพราะเมื่อวันก่อนลูกเห็บตกครับ ลูกเห็บตกในทำเนียบ กรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าปกติ ผมก็เถียงกรมอุตุฯ ว่าไม่ปกติ เพราะตลอดชีวิตผม 73 ปี ปีนี้ไม่เคยเห็นลูกเห็บตกที่ทำเนียบรัฐบาล เอาล่ะ ผมเถียงกรมอุตุฯ นะครับ จะอธิบายทางวิทยาศาสตร์อย่างไรก็สุดแท้แต่ ต้องยืนยันนะครับ ไม่ได้เอาเครื่องบินใส่น้ำแข็งไปโปรยนะครับ
คำถาม เหตุการณ์ปิดสนามบินภาคใต้ คนใต้ไม่ชอบ ทำให้เศรษฐกิจแย่
นายกรัฐมนตรี คนใต้ไม่ชอบ ต้องพูดกับคนไปปิดครับ ผมน่ะไม่กล้าแม้กระทั่งจะตั้งข้อสังเกตว่าทำไมทั่วประเทศ ทางเหนือก็สนามบินเยอะ ทางอีสานก็สนามบินเยอะ แต่ทำไมปิดแต่ทางใต้ รถไฟทางเหนือทางอีสานเดินได้ ทางใต้ไม่เดิน เรื่องนี้คนใต้ต้องพูดกับคนใต้นะครับ ผมไม่กล้าไปแตะต้องล่ะครับ กลัวจะเกิดปัญหา
คำถาม ถ้าทำประชามติ ขอให้ทำเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
นายกรัฐมนตรี มันจะรุงรังพันเตครับ มติอันเดียวยังออกมาไม่ได้เลยนะครับ
คำถาม ขอให้ช่วยกันดูแลหนี้นอกระบบราชการทหาร
นายกรัฐมนตรี ดูแลแน่ เพราะผมชอบเรื่องนี้ ผมนี่ล่ะครับเป็นคนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยเอาเข้ามาในระบบ และมีการอธิบายให้ฟังด้วยว่า โดยวิธีอย่างไร ทำได้แน่นอนครับ
คำถาม ค่าทางด่วนที่เพิ่มขึ้น ลดเท่าเดิม
นายกรัฐมนตรี ลดไม่ได้ล่ะครับ คือถ้าเขาขึ้นราคาไปก็วิ่งข้างล่าง อย่าไปขึ้น เขาไม่ได้บังคับนะครับ ถ้าจำเป็นต้องซื้อเวลาก็ขึ้นไป 5 บาท ตกลงกันแล้วครับ 5 ปีเขาถึงจะปรับครับ ผมไม่เข้าข้างใคร ออกใครล่ะครับ คือถ้าเผื่อคิดว่ามันแพงไปก็วิ่งข้างล่าง
คำถาม ให้กำลังใจนายกฯ
นายกรัฐมนตรี ครับ
คำถาม เจ้าหน้าที่รถไฟสายใต้ไม่มีความรับผิดชอบ ประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้นายกฯ แก้ไข
นายกรัฐมนตรี ต้องกราบเรียนท่านพี่น้องประชาชนทางภาคใต้กรุณาช่วยพูดกันหน่อยนะครับ
คำถาม ทำไมรัฐบาลไม่ให้ผู้สูงอายุขึ้นรถเมล์ฟรี
นายกรัฐมนตรี เด็ก ๆ ก็ขึ้นฟรีครับ อายุกลาง ๆ ก็ขึ้นฟรี สำหรับที่เขาให้ฟรีนะครับ แต่เรื่องรถเมล์ฟรีสำหรับผู้สูงอายุ ผมจะไปดูอีกที
คำถาม รถเมล์ฟรีไม่ฟรีจริง สาย 4 สาย 1 วิ่งคลองเตย อยากให้นายกฯ ช่วย
นายกรัฐมนตรี เดี๋ยวผมไปดูให้เรื่องนี้
คำถาม ให้เพิ่มรถเมล์สายรังสิต-ปทุมธานี
นายกรัฐมนตรี เอาล่ะครับ
คำถาม เงินดำรงชีพข้าราชการบำนาญที่จะเพิ่มให้ 2 แสน
นายกรัฐมนตรี เดี๋ยวไปดูให้นะครับ ตอบคำถามทันทีไม่ได้
คำถาม ช่วยเหลือคนพิการด้านอาชีพ และเงินช่วยเหลือ
นายกรัฐมนตรี อันนี้จะรับไปดูให้ครับ
คำถาม ช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวายขนาดนี้ ขอให้มีการตรวจบัตรประชาชนอย่างเข้มงวด
นายกรัฐมนตรี ตรวจบัตรประชาชนก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ล่ะครับ
คำถาม การวิ่ง 116 วัน วิ่งภายในจังหวัดจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม วันที่ 3 ธันวาคม แต่ละจังหวัดมาลานพระรูป กำหนดการรับมีเปลี่ยนแปลงไหม
นายกรัฐมนตรี ครับ เข้าใจแล้วครับ เขาไม่ได้ร่วมเดินทางเข้ามานะครับ เขาวิ่งในจังหวัดครับ ธงก็ไว้ในจังหวัด วิ่งให้ครบถึงใกล้ ๆ วันที่ 3 แล้วเขาก็จะมาด้วย ยังไงก็สุดแท้แต่ การมาก็มารวมกันอีกที เขากลัวผมเข้าใจผิด สุดท้ายเกินไป 1 นาที ดูหนังสือพิมพ์หน่อย เห็นไหมครับ เขาบอกอย่างนี้ “ผบ.เหล่าทัพหารือสถานการณ์ สมัครเช็ควุ่น เคลียร์ประเด็นรวบอำนาจ” ไม่ล่ะครับ ไม่ได้วิ่ง ไม่ได้เช็ค รายการเมื่อวันก่อน วันเสาร์ฟัง ลับ ลวง พราง ผู้หญิง ผู้ชาย คุยกัน แหม รู้ดีทุกอย่างครับ นายสมัครมุดเข้าที่นั่น นายสมัครไปพบที่นี่ นายสมัครอะไร ไม่ล่ะครับ สมัครนอนอยู่ที่บ้าน ไม่มีปัญหาล่ะครับ รายการของคุณน่ะครับทำให้ปั่นป่วน คนฟังว่าวงในสายในจริง ไม่ครับ ขอประทานโทษนะครับ เกินไป 2 นาที วันอาทิตย์หน้าแปดโมงครึ่งพบกันใหม่นะครับ วันนี้ลาก่อนครับ สวัสดีครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
รายการ “สนทนาประสาสมัคร”
โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
--------------------------------------
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ ท่านพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศที่นั่งฟังอยู่ นั่งดูอยู่นะครับ วันนี้อากาศที่กรุงเทพฯ ครึ้มครับ พระอาทิตย์ไม่มี ฝนจะตกหรือไม่ ยังไม่ทราบล่ะครับ แต่อากาศครึ้ม อยากเรียนอย่างนี้ครับว่า ผมจำเป็นจะต้องเล่าเรื่องงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ให้ท่านผู้ชมผู้ฟังทั้งหลายได้ฟังก่อนนะครับ
ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างพระเมรุ
เมื่อวันศุกร์ผมมีเวลาเหลือเพราะว่าความจริงวันที่ 2-3-4-5 กันยายน ผมจะต้องอยู่ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น รายการที่ผมจะทำอะไรต่ออะไร ผมก็มีเวลาว่างวันหนึ่ง ผมก็ไปตรวจงาน สำคัญนะครับ เพราะเวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว คืองานออกพระเมรุที่ท้องสนามหลวง ก็ไป คราวนี้ก้าวหน้าเยอะ เพราะไม่ได้แวะไปดูนาน ให้เอาผ้าคลุมต่าง ๆ คุณอาวุธ เงินชูกลิ่น บอกว่ากลัวฝนไม่กลัว กลัวแดด บอกกระดาษสีที่ติดไว้ ผ้าทองย่นอะไรต่าง ๆ โดดแดดเลียสี งานเสร็จตั้งแต่ยอดลงมาเลยนะครับ เอาผ้าหุ้มยอดข้างบนไว้เลย ใส่โครงกันอะไรไว้เสร็จ ข้างล่างก็ใกล้มาก คือตัวพระเมรุ สุดท้ายยังเหลือตกแต่งเติม และก็ประดับผ้าสีกระจก สีอะไรต่าง ๆ บันไดขึ้นทั้ง 4 ทางเรียบร้อยหมด รอบ ๆ นั้นเขาเรียกภูมิทัศน์ ก็ทรายเกลี่ยหมดเลย และซีแพคก็ออกแบบกระเบื้องสี่เหลี่ยมหนาและหนัก และก็ปูรอบหมดเลย คือความหมายว่าฝนตกก็จะไม่มีโคลนมีอะไรขึ้นมาเลอะเทอะเลย รอบ ๆ อาคารทั้งหมด พระที่นั่งทรงธรรม มุงหลังคาเปลี่ยนจากสมัยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเล็กน้อย และก็ดูเสามีอะไรต่าง ๆ ดูก็เรียบร้อยดีครับ เรียกว่างดงามสำหรับพระที่นั่งทรงธรรม และอาคารบริวารรอบ ๆ ก็ใกล้จะเสร็จครับ ดูแล้วทุกอย่างทันเวลาตามกำหนดไว้ ผมก็เลยเข้าไปดูในโรงที่ว่าเครื่องประดับ จำพวกมีเทวดา มีกินนรี ที่เป็นตัวประดับ เขาสร้างเท่าคนจริงนะครับ และทำด้วยไฟเบอร์กลาส ออกแบบปั้นก่อนแล้วพิมพ์ออกมา เราก็ต้องนึกว่า เออ คุกเข่าก็มี ยืนก็มี เทวดา 40 องค์ กำลังเริ่มตกแต่ง แบบที่ออกจากไฟเบอร์กลาสมาเนี่ยก็ปิดลงไปเป็นสีทอง และจะต้องประดับ ไม่ถึงกับเป็นเพชรนิลจินดาหรอกครับ แต่เป็นแก้ว เป็นเศษพลอยจริง ๆ ก็มี ประดับ เครื่องประดับที่เขาเรียกรัดกร อะไรต่าง ๆ ทั้งหมด ประดับความสวยงาม
แต่ที่น่าสนใจคือตรงนี้ครับ ผมไม่เคยได้ดูรายละเอียดวันนั้นไป ก็มีเวลา ก็ลากเก้าอี้มานั่ง ปรากฏว่าผ้านุ่ง ธรรมดาเขานุ่งโจงกระเบนและมีสนับเพลา ผ้านุ่งต่อสนับเพลา ตรงตัวผ้านุ่ง ดูแล้วทำไมลายนี้ ๆ ปรากฏว่าผมก็พูดกับเจ้าหน้าที่เขาบอกว่านี่ถ้าเผื่อท่านท้าวเทวดามาจากสวรรค์ พระอินทร์มาก็ คือธรรมดาควรจะซื้อผ้าพับเดียวกัน แล้วก็นุ่งโจงกระเบนสีเดียวกัน ปรากฏว่าเทวดา 40 องค์ นุ่งโจงกระเบนไม่เหมือนกันเลยครับ คือช่างเขาออกแบบลายโจงกระเบน 40 องค์ไม่เหมือนกัน คือต่างคนต่างไปหาผ้ามาเอง ทำนองอย่างนั้นนะครับ เรียบร้อยเลยทั้งสนับเพลา ทั้งอะไรต่าง ๆ ก็เวลาถ้าเปิดให้ชม อาทิตย์หน้าจะเปิดให้ชม ก็ไปชมสิครับ สังเกตดูเป็นความอุตสาหะของช่าง ถ้าทำอันเดียวสีเดียวก็เร็ว ปั๊บ ๆ ๆ นี่เลือกเลยต่างคนต่างสีมา ก็เป็นความงดงาม และทุกคนทำทั้งงานช่วยทั้งงานหานะครับ ดูเขาทำแล้ว คือทุกคนทำด้วยใจ เอาแรงใจมาใส่ พวกมาช่วยงาน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ มา พระโกศจันทน์ก็เสร็จแล้ว หีบไม้จันทน์ก็เสร็จแล้ว ทั้งหมดก็ดูลาย ทีนี้พวกลายประดับ ที่ผมไปยืนดูที่ออกในข่าวนั่นน่ะครับ ลายม่านลายอะไรต่าง ๆ ก็ดู เขาเขียนลายมือ เขาเขียน Free Hand ก่อน เขียนธรรมดาก่อน แล้วก็ไปออกแบบตรง คือเขาไม่ใช้เครื่อง เขาต้องออกแบบก่อน แล้วจากออกแบบถึงไปใส่เข้าธรรมดา เลือกให้ตรงน้ำหนักสองข้าง ทุกคนทำกันด้วยใจเลยเชียวครับ
ออกจากสนามหลวงก็แวะไปดูที่กรมศิลปากรหน่อย ก็เสร็จครับ เสร็จเรียบร้อยเลย ทางฝ่ายทหารช่างที่มาช่วย ทหารที่มาทำงาน งานหนักนะครับ ทำล้อทำเพลาอะไรต่าง ๆ เสร็จ ถอนกลับไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ศิลปากร เป็นพวกเหมือนหมอใส่เสื้อกราวน์ พวกคลินิกทำความสะอาด ประดับอะไรต่าง ๆ เรียกว่าเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ รวมทั้งเริ่มแก้เคล็ด ปกติราชรถน้อยก็ดี พระยานมาศ 3 ลำคานก็ดี บรรดาสีวิกากาญจน์ที่จะต้องอัญเชิญพระโกศ ทุกอย่างอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 และมีแล้วก็ใส่ไว้เรื่อย เขาถือเคล็ดยังไงครับ เมื่อเอาเข้าไปจอดเก็บแล้ว เขาจะก่อกำแพงกั้น ประตูน่ะปิด แต่หลังประตูมีกำแพงกั้น เป็นเคล็ดแบบความเชื่อของคนโบราณว่า ไม่จำเป็นไม่เอาออกมาใช้ ไม่ถึงเวลาไม่เอาออกมาใช้ ออกมาใช้เสร็จต้องเอากำแพงในตัวโรงราชรถออก และเมื่อเอาออกไปแล้ว ต้องตัดกำแพงกรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถาน ต้องทำถนนโดยเฉพาะ ส่งถนนออกไปริมกำแพง และถึงเวลาก็จะตัดกำแพงเอาออก เคล็ดครับ แปลว่าไม่จำเป็น ไม่ถึงเวลา ไม่เอาออกมาใช้ การที่จะแห่ขบวนซ้อมด้วยราชรถน้อย ทั้งหมดนี้จะใช้ 2 ครั้ง แต่ทหารเขาก็คงเริ่มแล้วครับ ทหาร 240 หลัง ก็จะเริ่มซ้อม คือจะใช้รถที่มีน้ำหนักเท่ากับพระมหาพิชัยราชรถ และก็ดึงสายหน้าสายหลัง ซ้อมเดิน
คืองานนี้เป็นงานใหญ่มาก นานทีปีหน บางทีนาน ๆ ครึ่งศตวรรษไม่มีก็แล้วกัน งานนี้ก็มี แล้วก็ดำเนินการทุกอย่างเป็นพระราชประเพณี เราเป็นชาติที่รักษาประเพณีนี้เอาไว้ได้ แม้กระทั่งประเพณีในการถวายพระเพลิง ทำครบถ้วนหมดครับ และสำคัญที่สุดที่อยากจะเรียนพี่น้องประชาชน คนที่เขาไปทำงาน เขาทำด้วยใจ ถวายเลยเชียวครับ ฝีไม้ลายมือมีเท่าไรปล่อยหมด แสดงกันหมด เจ้าหน้าที่ที่เดินนำอธิบายดู ผมก็ดูตั้งแต่แรก ๆ จนกระทั่งบัดนี้ก็ใกล้จะเสร็จ พอจะบอกให้ทราบได้ว่าทุกอย่างเรียบร้อย ต่อไปนี้ก็อยู่ตรงที่ว่างานทูลเชิญอะไรต่าง ๆ ภายในของเราไม่เป็นปัญหาหรอกครับ แต่บรรดาเจ้านายต่างประเทศ ปกติจะต้องมางานพระศพ บัดนี้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศกับสำนักพระราชวัง ก็คงจะร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ดูว่าเจ้านายพระองค์ไหนในต่างประเทศจะเสด็จฯ บ้าง ฟังความ จะเริ่มออกหนังสือ งานต้องเดินต่อไปครับ ไม่มีอะไรอื่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐบาลต้องทำงานนี้ถวายให้สำเร็จเรียบร้อย สถานการณ์ก็ไม่ต้องค่อยล่ะครับ คงจะคลี่คลายไปตามสถานการณ์
แต่ละจังหวัดเริ่มขบวนเดิน-วิ่ง เฉลิมพระเกียรติฯ
ทีนี้ถัดไปเราต้องเล่าถึงเรื่องความคืบหน้าในการเดิน-วิ่ง เขาก็ทำกัน คือต้องอธิบายความนะครับ เมื่อเวลาที่ไป ผมอธิบายความให้ฟังว่ายังไง เขาก็ดำเนินการครับ เล่นกีฬาบ้าง ประชุมสัมมนาบ้าง จัดการคุยกันเรื่องเกษตรเรื่องอะไรต่าง ๆ โดยมีธงเป็นหลัก คุยกันบนอำเภอนั้น แต่ว่าฟังความแล้ว เขาจะทำเหมือนกับคบเพลิงโอลิมปิก คือเมื่อเสร็จจากจังหวัดไหนส่งมาแล้ว ก็จะมารวมจังหวัดที่เรียงแถว เช่น อย่างจังหวัดภาคใต้ พอเสร็จจากข้างล่างสุด เสร็จจากนราธิวาส ก็จะส่งขึ้นมาปัตตานี ส่งมาผ่านยะลา หรือยะลาจะส่งขึ้นมา แปลว่าธงคงจะต้องรวมมากขึ้น และเขาก็ส่งคือเขาจะใช้เวลาส่ง หมายความว่าทั้งหมดพอเสร็จจากจังหวัดนั้น ก็จะไม่คาราคาซังอยู่ จะส่งออกมาร่วม เขาบอกว่าความคืบหน้าของขบวนเดิน-วิ่งเฉลิมพระเกียรติ รู้ รัก สามัคคี 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ สายเหนือเริ่มเมื่อ 31 สิงหาคม เริ่มจังหวัดเชียงราย 18 อำเภอ เมื่อเริ่มผมคิดว่าฉลอง 18 อำเภอแล้วจะต้องรอ หรือเฉลี่ย 18 อำเภอให้ถึงใกล้วันนั่น ไม่ล่ะครับ เขาจะส่งลงมา ปัจจุบันอยู่แม่ฮ่องสอน แล้วพอเสร็จ 18 อำเภอ เขาจะไล่ลงไป ไปอยู่ที่แม่ฮ่องสอนถึงวันที่ 8 กันยายน แล้วจะไปเชียงใหม่ 9-14 กันยายน อะไรต่าง ๆ ทางเหนือเขาจะรวมกันมา
คำอธิบายคือว่าเจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดเขาจะประสานงานกัน เขาจะเลือกวิธีการอย่างไร จะฉลองกันอยู่นานแล้วเอามาพร้อมกัน หรือเขาจะรวบค่อย ๆ ทยอย ๆ คือขบวนจะต้องใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น สายเหนือเริ่มจังหวัดเชียงราย 18 อำเภอ ปัจจุบันอยู่แม่ฮ่องสอนถึงวันที่ 8 กันยายน เสร็จแม่ฮ่องสอนเข้าไปเชียงใหม่ วันที่ 9-14 กันยายน 27 อำเภอ นี่แปลว่าแต่ละจังหวัดคงจะทำกันอยู่ คือขบวนที่ส่งธงนั้นคงจะต้องโตขึ้น ๆ ๆ ส่งเข้ามา สายใต้ขบวนเริ่มจังหวัดนราธิวาส 13 อำเภอ ต่อไปมายังปัตตานี 12 อำเภอ ปัจจุบันอยู่ยะลา 8 อำเภอ วันนี้เริ่มเข้าสงขลาวันที่ 11 กันยายน 16 อำเภอ แสดงว่าเขาคงจะทำให้ขบวนนั้นใหญ่ขึ้น ๆ แล้วก็คงมา ก็เป็นวิธีดำเนินการอีกอัน อันนี้เป็นเรื่องของคณะกรรมการที่เขาจะตกลงกับท่านผู้ว่าฯ จะดำเนินการอย่างไร ผมก็อธิบาย สายตะวันออกเฉียงเหนือเริ่ม 31 สิงหาคม ขบวนจังหวัดหนองคาย 17 อำเภอ ต่อมาอุดรธานี 20 อำเภอ แล้วต่อมายังหนองบัวลำภูวันที่ 10 กันยายน 6 อำเภอ ก็แสดงว่าเขาคงจะมีการคิดและก็รวบกันเข้ามา ๆ และต่อไปใกล้ ๆ วันนัดหมายก็คงจะเข้ามาอยู่จังหวัดใกล้ อย่างนี้ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งคือไม่ต้องเอาธงไปแช่ไว้ในแต่ละจังหวัด อันนี้ก็เป็นคำอธิบายที่บอกมา
เหตุการณ์สองฝ่ายปะทะกันจนต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน
ทีนี้รายงานเรื่องนี้แล้ว ผมก็ควรจะคุยให้ฟัง เพราะเดี๋ยวจะตอบคำถาม ต่อไปผมควรจะต้องเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น คือจริง ๆ แล้วสถานการณ์ทางการเมือง ผมได้พบกับท่านผู้ชมท่านเจ้าของประเทศแล้วหนหนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม ทีนี้พออธิบายความเสร็จแล้วว่าอะไรเป็นยังไง ก็ปรากฏว่าถึงวันที่ 1 ต่อวันที่ 2 กันยายน ก็เกิดมีคณะผู้คนที่เขาอดรนทนไม่ได้ ไปตั้งกองกันอยู่ที่สนามหลวง และจะคิดอะไรอย่างไรไม่ทราบได้ ถามดูเขาบอกจะมาล้อมไว้ชั้นหนึ่ง มาช่วยตำรวจล้อมไว้ข้างนอก ก็พรวดพราดกันออกมา ทางนี้เขาออกจากทำเนียบรัฐบาล เขาก็มา เขาก็ตั้งจ้องกันอยู่ทางนั้น เขากราดเข้าปะทะกัน พวกหนึ่งดูจากภาพในรายงาน พวกหนึ่งใส่หมวกใส่อะไรเตรียมพร้อมมีเครื่องไม้เครื่องมือ อีกข้างหนึ่งก็เดินไม้กวัดแกว่งมา ถ่ายจาก 2 ข้าง ผมดูรายงานนี้จากอะไรครับ พอเกิดเหตุเขาปะทะกัน มีคนถูกยิงตายไป 1 คน บาดเจ็บ 43 คน ผมก็ต้องออกจากบ้านมาประชุม เรียกแม่ทัพนายกองที่รับผิดชอบกันมา ทหารบก แม่ทัพภาคที่ 1 เจ้าของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตำรวจอยู่ในท้องที่
ผมก็นั่งประชุมตั้งแต่ตีสองถึงตีสี่ ดูรายงานตลอดหมด ฟังรายงานตลอดหมด ก็บอกว่าอย่างนี้คงจะเป็นปัญหา เพราะว่าจะมายันเฉย ๆ ตำรวจแจ้งมาทางทหาร ถามมาว่าจะออกไปช่วย โดยจะเป็นทหารถือโล่สัก 4 กองร้อย จะออกไปช่วยตำรวจกันไว้ ก็โอเค ผมก็อนุญาตว่าดำเนินการได้ และก็พอเสร็จแล้ว ผมก็มาประชุมด้วย ประชุมกันปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อย ผมไม่ได้คิดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว บอกเอาล่ะเพื่อรักษาสถานการณ์ก็ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็มาดูแลกฎหมายฉบับไหน ๆ ลองดู มียาวเป็นศอกเลย เราก็เลือกเอาแค่ 5 ข้อ และก็เอาเฉพาะกรุงเทพมหานครที่ที่เป็นที่เกิดเหตุ นโยบายก็บอกว่าไม่ให้กระทบกระเทือนความเป็นอยู่ การทำมาหากินของประชาชน เรื่องการท่องเที่ยว ตีห้าก็ร่างเสร็จ ผมก็เซ็น หกโมงกว่าก็ส่งไปกรมประชาสัมพันธ์ ทางราชการเขาควรจะประกาศเจ็ดโมงเช้า คนทั้งประเทศฟังพร้อมกัน
ก็ประกาศออกไป ประกาศภาวะฉุกเฉินไป ผู้คนทั่วไปก็คงคุ้นเคยกับภาวะฉุกเฉิน พอประกาศปั๊บ แปลว่าเหมือนกับว่าทหารเอาปืนใสมือให้ ถ้าโบราณก็เอาดาบใส่มือเลย ใส่มือปั๊บต้องไปขู่แล้วยิงเลย ถ้าใครไม่นั่นต้องยิงเป็นทำนองอย่างนั้น ถ้าดาบต้องเอาไปเงื้อเลย ถ้าไม่นั่นฟันเลย เขาก็คิดกันอย่างนั้น ทุกอย่างต้องสำเร็จเรียบร้อยเพราะประกาศแล้ว ปรากฏว่าผมเองผมต้องอธิบายความให้ผู้คนว่าเก้าโมงเช้า ผมก็ไปอธิบายให้ฟังว่านี่นะจำเป็น อธิบายความเรื่องอย่างนี้เสร็จ ตั้งกรรมการไว้ดูแลรักษาบ้านเมือง ปฏิบัติการตามนี้ คณะกรรมการเขาก็ประชุมกัน ผู้บัญชาการทหาร (ผบ.ทบ.) เป็นประธาน มีรอง 2 รอง แล้วดำเนินการ ก็ประชุมหารือ ประชุมเกือบ 4 ชั่วโมงครับ พอตกบ่าย ผบ.ทบ.แถลงอธิบายความชี้แจงให้ฟัง ผบ.ทบ.ปกติเป็นคนเงียบ ๆ ขรึม ๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไร ต้องตอบคำถามผู้สื่อข่าว ท่านทั้งหลายที่ฟัง ผมเสียดายนะเวลาผู้สื่อข่าวพูด เสียงไม่ค่อยเข้าเท่าไร แต่เวลาเสียงเข้าอยู่ตรงที่เกิดเหตุ เสียงชัดเจน ออกมาซักถาม ถามกันรุนแรงครับ ผบ.ทบ. เป็นคนที่ไม่ได้ฝึกซ้อมเรื่องพรรค์นี้ไว้ครับ แต่ก็พูดจาเหมือนกับหลบ ๆ หลีก ๆ ว่าจะต้องยังไง ๆ สุดท้ายก็เข้าใจว่า เรื่องนี้จะปฏิบัติการทันทีอย่างที่เคยทำคงไม่ได้ เราเลือกใช้วิธีจะต้องแยกให้คนออกจากกัน ไม่ให้คนทะเลาะกัน เอาตรงนี้ก่อน ก็กลายเป็นอะไรกัน ผู้คนเขาคิดวิพากษ์วิจารณ์ นี่ทหารไม่อยู่ในคำสั่งของรัฐบาลหรือยังไง ผมฟังแล้วผมก็เข้าใจนะครับ ที่บอกเข้าใจคืออะไร คือสังคมปัจจุบันนี้จะให้ทำยังไง ประคับประคองยังไง ไม่ได้ครับ ไม่ได้เลย ข้างไหนเป็นราชการ ข้างนั้นเสียรังวัด วันที่ 29 ตำรวจเอาไม้ไปปิดไปกัน ก็ปะทะเข้าหากัน ภาพถ่ายออกมาเลยกลายเป็นตำรวจตีใครถูกตี ตำรวจบาดเจ็บ 27 คน ทางโน้นก็บาดเจ็บทั้งคู่ สถานการณ์อย่างนี้ไม่มีใครเห็นใจทั้งสองฝ่าย บอกใช้ความรุนแรง ตำรวจใช้ความรุนแรง พวกปลุกระดมเขาก็เอานี่เป็นข้อปลุกระดม ผู้คนทั้งหลายฟังไม่ฟังบอก รัฐบาลใช้ความรุนแรง มาเลยแห่เข้ามาช่วย เอาล่ะ นั่งรถกันเข้ามา นั่นล่ะครับ วันที่ 29
พอเหตุการณ์คืนวันที่ 1 เช้ามืดวันที่ 2 ก็อีหรอบเดียวกันอีก ผมตั้งกรรมการสอบทันที เพราะผมก็ไม่กล้าพูด ดูรายงานก็รู้แล้ว ออกความเห็นก็ได้ แต่ไม่กล้าออกความเห็น เพราะเหตุว่าพูดไปก็ว่าเอาแล้ว เริ่มเอาอีกแล้ว เข้าข้างใครต่อใคร ให้กรรมการสอบ ผมบอกอย่างนั้น แต่ว่าจะบอกให้ฟังนะ ตีกันหัวร้างข้างแตก ยิงกันตาย บางคนบาดเจ็บ 43 คน ไปโรงพยาบาล ข่าวออกมาใช้ความรุนแรงอีกแล้ว ใครล่ะครับ รัฐบาลถูกกล่าวหาว่ารู้เห็นเป็นใจกับพวกที่เข้ามา พวกที่เข้ามาน่ะ ถูกตีแล้วก็ตายด้วย ถูกยิงด้วย แต่กลายเป็นว่าเวลาฟังข่าวออกอีกข้างหนึ่ง อย่างนี้จะทำยังไง ผมก็ต้องกลั้นใจ เมื่อประกาศอย่างนั้น ทหารก็เดือดร้อน จะสรุปความให้ฟังตรงนี้นะครับ ก่อนหน้าที่จะถึงประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็พูดกันว่างานอย่างนี้เข้าไปยึดทำเนียบแล้ว รัฐบาลเอาไม่อยู่ แหม ผมฟังก็สะท้อนใจ ใช่ครับ รัฐบาลเอาไม่อยู่ เพราะรัฐบาลยังไม่เอา ยังดำเนินการไม่ได้ เขาเฝ้ากันอยู่ครับ อย่ารุนแรง ๆ เอาล่ะ ไม่รุนแรง
เสร็จแล้วทำยังไง เสร็จแล้วก็ทำวิธีทางศาล ไปยื่นศาล ศาลสั่งมา ท่านสั่งเรื่องข้อกล่าวหาว่าอะไรต่าง ๆ 4 มาตรา พอศาลสั่งมาก็ดำเนินการ ตอนดึกศาลสั่งอีก สี่ทุ่มศาลสั่งอีกเรื่องทางแพ่ง เราก็ใช้นั่น ได้อาวุธมาเลย ศาลสั่ง เขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่มารายงานตัว ไม่ออกมา รุ่งขึ้นเราไปขอคำบังคับคดี เสร็จเรียบร้อยเอาตำรวจไป ก็จะจัดการ ก็ปะทะกันอย่างว่า ไป ๆ มา ๆ ก็บอกว่า รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ศาลก็เอาไม่อยู่ พูดอย่างนั้นนะครับ คุณบรรหาร ท่านก็ออกความเห็นไว้บอกว่า อย่างนี้ต้องประชุม ก็ตกลงประชุมสภาร่วมกัน ประชุมแล้วฟังความ ก็รู้เลยครับ รู้เลยวันอาทิตย์ตอนบ่าย ฟังก็รู้เลย ล่อกันจนดึก ก็มีความคิดเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทางพรรคฝ่ายค้านบอก ให้ยุบสภา ยอมเสียสละ กลุ่มทางสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บอกไม่ได้ ต้องลาออก แล้วทางฝ่ายที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอยู่จะทำยังไง ก็ต้องออกความเห็น
เลือกที่จะอยู่รักษาสถานการณ์บ้านเมือง
ผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เป็นแกนนำรัฐบาล ผมก็บอกว่า เขาบอกให้ไปคิด ผมบอกไม่ต้องคิดหรอก ผมลุกขึ้นตอบยืนตรงนั้นเลย ผมไม่ต้องไปคิด ผมตกลงใจได้ว่าผมจะเลือกอีกทางหนึ่ง คือเลือกทางที่จะอยู่รักษาสถานการณ์บ้านเมือง อยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย ผมบอกเลยว่า ผมก็เลือกทางที่ 3 ของผม ซึ่งเป็นสิทธิของผม สิทธิของพรรคประชาธิปัตย์บอกให้ยุบสภา บอกยอมเสียสละ จะยอมเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่เสียเปรียบ ทางฝ่ายวุฒิสภาบอก อย่างนี้ต้องออก ผมก็บอกเลยทางฝ่ายผมบอกว่า ผมต้องอยู่ต้องเพื่อรักษาสิทธิระบอบประชาธิปไตย เพราะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีเหตุผล ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความเป็นมา อยู่ดี ๆ กลุ่มคนพวกหนึ่งลุกขึ้นมาจัดการเลย 5 คนเป็นหัวหน้า มีคนปรึกษา และก็ดำเนินการใช้วิธี Propaganda ออกโทรทัศน์กันครึ่งปีค่อนปี เรียกว่าเป็นแบบภาษาฝรั่งเรียก Reality Show นั่นล่ะครับ พูดจาว่าเอาด่าเอาข้างเดี่ยวล่ะครับ ว่ากันไป จนกระทั่งเกิดเรื่อง จนกระทั่งผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเกิดอะไรกันขึ้นมา คนที่มีวิจารณญาณก็รับฟังได้ คนที่มีวิจารณญาณน้อย ก็เชื่อก็ฟัง ชักชวนกันก็เข้ามา นั่นล่ะครับคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ผมต้องแน่ใจว่าบ้านเมืองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันมาเรียบร้อยดี จะยังไงกระโดกกระเดกมา 76 ปี ก็ไม่เคยมีอะไรที่มันถึงขนาดนี้ ก็ต้องอดกลั้นว่าเอาล่ะถึงขนาดนี้ ไม่มีเหตุผล ก็ต้องสู้กับความไม่มีเหตุผล ก็ดำเนินการมาอย่างนี้ จนกระทั่งสุดท้ายต้องประกาศ พอประกาศเสร็จเรียบร้อย เอาล่ะครับ ทีนี้ถึงข่าวหนังสือพิมพ์ทำข่าว เมื่อผมประกาศก็ต้องประกาศว่ามี 2 ฉบับ ภายใน 3 วันจะต้องมีเอกสาร 2 ฉบับ เข้ามาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบ ฉบับหนึ่งก็ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ ท่านผบ.ทบ.เป็นประธาน ผบ.ตร. เป็นรองประธาน ท่านแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นรองประธาน มีคณะบุคคล ก็เก็บเอาข้าราชการทุกกระทรวงเป็นคณะกรรมการ มีหน้าที่ดำเนินการอย่างไร หนึ่ง ต้องเอาประกาศฉบับนี้มาให้ ครม.เห็นชอบ สอง ธรรมดามีประกาศ 21 ฉบับ รัฐมนตรี 20 คน จะต้องให้ความเห็นชอบในกฎหมายที่จะเกี่ยวข้องกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎหมายก็กำหนดให้บอกว่าให้อำนาจทั้งหมดทั้ง 20 รัฐมนตรี มาอยู่ที่มือนายกรัฐมนตรี นี่เป็นแบบฟอร์มเลยนะครับ แล้วในที่สุดวรรคสุดท้าย นายกรัฐมนตรีก็มอบอำนาจที่ได้รับทั้งหมดให้กับผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นประธานที่จะดูแลเรื่องนี้ ปกติธรรมดาเป็นแบบฟอร์มเป็นแบบฉบับ ไม่มีอะไรอื่น
แต่ข้างนอกเป็นอย่างไรรู้ไหม ข้างนอกพอท่านผู้บัญชาการทหารบกแสดงความเห็น โอ๊ย เอาแล้ว ทหารไม่เล่นกับรัฐบาลแล้ว ทหารไม่เล่นด้วย ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่า อยากจะอยู่ตรงกลางช่วยแก้ไขสถานการณ์ เออ ทำไมคนเป็นรัฐบาลอย่างผมฟังได้ แต่สื่อฟังแล้วบอกไม่ได้ ไม่ได้เลย ทหารต้องเข้าข้างรัฐบาล ในใจผมก็คิดอย่างนั้น แต่อีกใจผมต้องคิดว่าถ้ารักษาความสงบไม่ให้มีเรื่อง ก็ไม่เป็นไร ให้ปืนเขาไป เขาจะเหน็บใส่พกไว้ก่อน ไม่เป็นไร ให้ดาบเขาไป เขาจะเหน็บใส่หลังไว้ก่อน ก็ต้องดูแล้วจะทำยังไง เขาก็ต้องจัดการแก้ไข นี่หัวหน้ารัฐบาลเข้าใจ พาดหัวกันอย่างโน้นอย่างนี้ เอาแล้ว ทางทหารไม่ยอมนั่น พอรุ่งขึ้นปั๊บแล้วยังไง สมัครรวบอำนาจ ตามแบบฉบับวันที่ 4 ต้องประชุมเพื่อจะรับฟัง เอาเลยครับสมัครรวบแล้ว ไม่ฟังอีล้าค่าอีลม สมัครรวบรวม คือหมายความว่าพอ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ยอมเล่นด้วย เลยเอาอำนาจมาไว้ ออกข่าวเลย ปล่อยข่าว จะปลด ผบ.ทบ. จะอะไรต่ออะไร สุดแต่จะนั่นกัน ประเดี๋ยวองคมนตรีไปขอเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายสมัครเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นไปลากเอามาเล่นกัน ผมก็ไม่ได้ไปเฝ้าฯ องคมนตรีไปเฝ้าฯ ก็เป็นเรื่องขององคมนตรีท่าน จบเรียบร้อย เป็นธรรมเนียมนะครับ เมื่อเวลาคนระดับประธานองคมนตรีนั่งเครื่องบินกลับมาสนามบิน ธรรมดา ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) จะต้องเป็นผู้ที่ไปรับ นายกรัฐมนตรีไป ก็ไปรับ นายกรัฐมนตรีไปก็ไปส่ง ประธานองคมนตรีเขาก็ไปรับ เขาก็ชวน ผบ.ทบ.ทั้งหลายไปรับ ออกข่าวกันเลยโอ้โห ประธานองคมนตรีกลับจากเฝ้าฯ เรียก ผบ.ทบ. เข้า เหล่าทัพเข้าประชุม นี่ล่ะครับทำไมผมถึงจะไม่รู้เรื่องพรรค์นี้ ประชุมกันก็ไม่มีเรื่องอะไร ทุกอย่างไม่มีเรื่อง ก็จบเรื่องไปอย่างนั้น
พูดกับประชาชนทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์
บังเอิญผมเนี่ยบ่าย ๆ วันนั้นผมก็คิดว่า ควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างของผมก็คือว่า ควรจะต้องพูดกับประชาชนทั้งประเทศให้ทราบว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร คืออยากจะบอกว่านึกยังไงถึงมาร่วมกันเข้ามา จะพูดกันโดยตรงอย่างนี้ จะมารอถึงวันอาทิตย์ไม่ไหว กว่าถั่วจะสุกงาไหม้ ก็เลยถามกรมประชาสัมพันธ์บอกว่าวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ วิทยุบังคับฟัง ธรรมดาบังคับฟัง เจ็ดโมงเช้าถึงแปดโมง ทุ่มหนึ่งถึงสองทุ่ม ทั่วประเทศบังคับ 1 ชั่วโมง แต่กรุงเทพมหานครให้ครึ่งชั่วโมง พอเจ็ดโมงครึ่งก็ตัดไปถ่ายทอดอย่างอื่นได้ ก็เอาครึ่งชั่วโมงกรุงเทพฯ ผมก็เอาล่ะ กรุงเทพฯ ไม่ต้องฟัง เอาต่างจังหวัด 140 สถานี ผมก็ตกลงว่าผมจะไปคุย ตั้งใจไปคุยอย่างที่คุย ๆ นั่นล่ะครับ สามทุ่มรายงานข่าวกันเอิกเกริกเลยครับ นายกฯ จะประกาศลาออก คือข่าวก็รั่วว่าผมจะไปออก ผมต้องการจะพูดกับประชาชนทั้งประเทศพร้อม ๆ กัน เป็นเรื่องภายในของผม พอข่าวออกไปโจษจันกัน ยิ่งกลางคืน องคมนตรีกลับมา แม่ทัพนาย กองไปรับ เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้านายสมัครจะประกาศลาออก บนเวทีปลุกระดมก็เอากันเลย เช้ามืดผมฟังวิทยุมอนิเตอร์ฟัง เตรียมการเลย ประกาศลาออกแล้ว จะต้องฉลองชัยชนะ ผมก็ไม่อะไร ผมก็มา เข้าหน้าประตูกรมประชาสัมพันธ์ เงียบดี เอ่อดี มาถึงนักข่าวเป็นร้อยครับ เต็มไปหมดเลย เขาตื่นเต้นมานั่นกันหมดเลย และสิ่งที่ผมจะทำกับประชาชนธรรมดา นอกจากกรุงเทพฯ ทีวีทุกช่อง ต่อสัญญาณใส่เอาเสียงผมออกเลยครับ แปลว่าได้ประโยชน์เกินคาด
ผมก็พูดอธิบายความให้ฟัง ท่านทั้งหลายคงได้ฟังแล้วที่ผมพูดอธิบาย คือต้องรู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้น มันเป็นยังไง ต้องให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองต้องฉุกคิด ขอยืมคำพระพยอมท่านมาใช้ ต้องฉุกคิดว่ามันอะไร คณะผู้คนพวกนี้เขาเป็นใครมาจากไหน เขามี 5 คน เขาใช้ทีวีปลุกระดมกันมาทั่วประเทศ เป็นเวลายาวนาน พูดจาเอาข้างเดียวอะไรต่าง ๆ เราต้องทบทวนให้ฟัง เขาด่าว่ารัฐบาลเก่า นายกฯ คนเก่ากลับมา กลับมาได้ก็ต้องขึ้นศาล ยังไม่ทันไรก็จัดการ โดน 1 คดี ท่านก็บอกไม่ได้ท่านต้องถอยไปอยู่ข้างนอก และเสร็จแล้วก็เล่าต่อ ไป ๆ มา ๆ จะล่อมาพาดพิงถึงผม ฟังความดุด่าว่ากล่าว ผมมีบันทึกหมดเลย เขาเขียนมาเลยใครด่ายังไง ๆ ผมบอกกรุณาเถอะครับ ขอบพระคุณที่ส่งมาให้ แต่จะไม่เอามาอ่านหรอก อ่านสาดเสียเทเสีย อย่างขึ้นศาลวันไหนก็ต้อง ศาลท่านคงฟังไม่ได้เหมือนกัน มันสุดจะนั่นล่ะครับ ด่า ก่นด่า แล้วผมก็บอก แล้วผมไปเป็นอะไรขนาดนี้ ผมก็ต้องถกเถียงตามประสาของผม เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น อ่านหนังสือพิมพ์ ตรงนี้ อย่าพูดถึงหนังสือพิมพ์ อย่าไปแตะต้องเขา ผมบอกว่าผมอ่านแล้วผมต้องมีความเห็น ก็เขามีความเห็นว่ากล่าวผม ทำไมผมนั่นไมได้
คือสรุปความเป็นทำนองว่า คนผิดน่ะคือนายสมัคร ไม่ได้เอ่ยเลยคนที่มาทำ มายึดทำเนียบ ที่เข้าไปอยู่ อะไรต่าง ๆ ทำเนียบสกปรก เสียหาย ไม่มีใครว่ากล่าวเลยครับ แต่ว่าคนที่ผิดคือหัวหน้ารัฐบาล มันผิดตั้งแต่ต้นไม่ดูตัวเอง ไม่สำรวจตัวเอง โอ๊ย ออกมา ทุกคนกลายเป็นสูตรท่องกันมาเลยครับ หัวหน้าคนนี้มันเลว เลวยังไง เลวคือยกเขาพระวิหารไปให้ต่างชาติ ทำให้เสียดินแดน ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เริ่มต้นโครงการทั้งนั้น ยังไม่ได้ทำอะไรเลย สเปกก็ยังไม่ได้ออก โกงแล้ว ว่าทุจริตคดโกง ว่ายกชาติบ้านเมือง ทำให้เสียดินแดน สุดจะดุด่าว่ากล่าว ไอ้ที่พูดปลุกระดมนี่ล่ะครับ มีคนจำนวนหนึ่งไปฟังแล้วเชื่อ แล้วสุดท้ายกลับมา ที่ผมเสียดายเสียใจกำลังนี้คือว่า คนเขียนบทความหนังสือพิมพ์ ซึ่งควรจะเป็นคนมีสติปัญญาความคิด ทุกคนยืนยันมาบอกว่าไอ้คนผิดคือนายกรัฐมนตรี ไอ้นายสมัครนี่ล่ะ ผิดแล้วไม่ดูตัวเอง โอ๊ย ฟังความเมื่อคืนจนดึกจนดื่น ยังดูอะไรรู้ไหม บอกไอ้คนนี้มันไม่เหลียวมาดูตัวเอง มันเห็นคนอื่นผิด เห็นคนอื่นเลว ผมไม่เคยไปพูดจาอย่างนั้นเลย แต่ว่าจะเถียงผมต้องเถียงครับ เพราะผมถือคติว่าถ้าไม่ตอบโต้ก็แปลว่ามันผิดอย่างนั้นจริง เขาว่าด่าไป ไม่ได้ครับ บางคนยอมอย่างนั้นได้ ยอมให้ดุด่าว่ากล่าวไป ก็เจอยังไง ก็เจออย่างอดีตนายกฯทักษิณ ไม่โกรธ ไม่เถียง โต้ไปไม่เป็นไร เขาด่าเรื่องทำบุญประเทศ เรื่องอะไร ล่อเข้า 7 เดือน ด่าตั้งแต่เอกสารขาวดำ จนกระทั่งเอกสารพิมพ์สีสวยงาม แล้วสุดท้ายเป็นยังไง สำนักพระราชวังก็ทนไม่ได้ เจ้าหน้าที่ต้องออกมาอธิบายชี้แจง ให้คนฟังว่าเขาทำถูกต้องอะไรต่าง ๆ
เลยไปเรื่องอื่น จากนั้นเขายอมให้สับโขก ผมไม่ยอมครับ ผมไม่ยอมให้มาสับโขกว่ากล่าวผมข้างเดียว ผมอ่าน ผมเข้าใจ ผมต้องอธิบายให้ฟัง แล้วที่ผมพูดไป ผมต้องการให้รู้ว่า นึกยังไง ถึงได้เข้าไป นี่ผมขอย้ำหน่อยนะครับ คือมีในต่างประเทศ อย่างพวกดาวินเดียน ฟ้าเปิดต้องไปฆ่าตัวตายตรงนี้ ฟ้าปิด ไม่นั่น ฆ่าตัวตาย 300 คนจะไปพบ god เห็นไหมครับ อย่างวาโก้ที่เทกซัส เผากันตายทั้งหมดเลย จำนวนไม่รู้เท่าไร ตายกัน เพราะว่าเชื่อ อย่างโอมชินริเกียว ที่ญี่ปุ่น เขาก็เชื่อถือกันแบบนี้ และนี่มันลัทธิอะไรยังไง ผมก็เตือนสติว่ามันอะไร ดูหน่อย เป็นใครยังไง เขาก็ไม่ได้ประกาศว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ แต่การใช้ทีวี ผมต้องขอประทานโทษจริง ๆ ใช้คำว่า มอมเมา ทำให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเข้าใจผิด ไม่ใช่เมืองไทยนะครับ คนไทยในต่างแดนในโลก ออกมา เขาฟังอยู่น่ะ ออก Global มันไปทั่วโลก คนไทยเขาก็ฟัง และรัฐบาลมี Global ไหม รัฐบาลมีช่อง 5 แต่เขาก็ไม่ได้ออกมาปกป้องอะไรต่าง ๆ รายการเขาก็ออกไปอย่างนั้น เป็นข่าวไปธรรมดา
วิจารณญาณของคนฟังนี่ล่ะครับ ที่ต้องพูดกันให้เข้าใจ ผมถึงพยายามว่าเอาล่ะ จะด้วยอย่างไรก็ตามแต่ คนในประเทศนี้มี 63 ล้านคน คนจะกี่หมื่นก็ตามแต่ จะอยู่ในทำเนียบ จะยึดยังไง คนจะแห่กันเข้ามายังไงต่าง ๆ ผมก็ต้องให้คนทั้งบ้านเมืองเข้าใจว่า ในเรื่ององคาพยพทั้งหลาย อย่างยกตัวอย่างสหภาพต่าง ๆ ถูกต้องบ้านเมืองมีประชาธิปไตย มีสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงาน 100 เปอร์เซ็นต์ 90 เปอร์เซ็นต์เขาเป็นคนธรรมดา เขาดูแล แต่ 10 เปอร์เซ็นต์ เขาเคลื่อนไหว และ10 เปอร์เซ็นต์ นี่ล่ะครับ ออกมาเคลื่อนไหว แล้วไปอยู่ที่ไหน ก็เข้ามาเป็นข่าว แล้วใครเป็นคนทำข่าว ก็ที่นั่งทั้งเช้า ทั้งบ่าย ทั้งสาย ทั้งเย็น แต่ก่อนนั่ง 1 เดี๋ยวนี้นั่ง 2 เดี๋ยวนี้นั่ง 5 ก็มี คุยกันฉั๊บ ๆ ๆ นี่ล่ะครับ ตรงนี้ล่ะครับที่จะต้องพูด ผมไม่ตำหนิล่ะครับ แต่ผมมีสิทธิที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้ พอคนนั้นมา คนนี้มาจะต้องนั่น จะตัดน้ำ จะตัดไฟ อะไรต่าง ๆ นั่งแสดงความวิตกทุกข์ร้อน นี่กี่โมงแล้ว วันเสาร์ วันที่ 3 จะเป็นวัน Show Down กี่โมง ถ่ายก๊อกน้ำยังเปิดได้ ไฟยังมี เสร็จแล้วไปถึงวันที่ 3 คนที่เขามีหน้าที่รักษา เขารักษา ไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขาบอกเขาทำหน้าที่มา 40 ปี เขาไม่ให้ใครมาทำอะไรอย่างนี้ได้เลย แต่คนสหภาพบอก ออกมาไม่ได้ สั่งปิดไปแล้ว ตัดไปแล้ว 39 จุด อ้าว 39 จุดแล้วทำไม ไม่มีใครร้องทุกข์ ปิดไปแล้ว 39 จุด น้ำประปา ปิดโน่นปิดนี่ คือข่าวที่เขาเอามาขู่เอามาเล่า
นักเรียน นักศึกษา ออกมาใช้สิทธิชุมนุม
บรรดาคนที่นั่งบนโทรทัศน์ทั้งหลายนั่น ผมบอกคนพวกนี้ล่ะครับ ที่ผมต้องพูดถึง ถ้าเขาคิดอย่างผม แล้วผมไปทำหน้าที่อย่างนั้น ผมจะพูดอย่างผมคิด แต่พวกนั้นไม่มีล่ะครับ แสดงความหวั่นวิตก ความหวั่นไหว จัดการมาถามเรื่องอะไรต่ออะไร นักศึกษาขบวนนั้นเข้ามาแล้ว ขบวนนี้เข้ามาแล้ว เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะแสดง เท่าเทียมกัน เป็นสิทธิเสรีภาพของคนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า อ๋อ ก็โอเค ก็ทำไป นักศึกษาก็เข้ามาแล้ว ขบวนนั้น จุฬาฯ แต่งสีชมพูเดินเข้ามา จุฬาฯ มีเท่าไรครับ มาแสดงเมื่อวานนี้ นักศึกษามาเท่าไร ราชภัฏต่างจังหวัดทางโน้นมาจากโคราช มาจากอะไรต่าง ๆ มีธรรมศาสตร์บางส่วน แล้วก็เข้ามาเดินกัน 2,000 ไปอนุสาวรีย์ไปประกาศ เสร็จแล้วยังไง ผมต้องเลิกคิ้ว รัฐบาลต้องออก สมัครต้องออก ผมบอกนักศึกษา นิสิต ก็เอากับเขาอย่างนั้นด้วยเหรอครับเนี่ย แต่จำนวนมาเขาว่า 2,000 เอาเถอะใครจะเดินตามไปด้วยก็สุดแท้แต่ ก็แสดง แสดงก็แสดงสิครับ นี่บอกจะยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์จะแสดง คนที่อยู่ในทำเนียบฯ ผมสงสารจริง ๆ ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ ผมก็ไม่เคยรู้หรอกครับมาจากจังหวัดตรังมาจากจังหวัดภูเก็ต มาอะไรมา คนที่โน่นเขาทนไม่ได้ เขาเอารถมารับ มาจอดทำเนียบฯ มาจอดลานพระรูปฯ แล้วไป ๆ มา ๆ จะเข้าใจผิดกันอีก หาว่าเป็นคนรัฐบาลมาชวนออก คนรัฐบาลไปชวนใครจะเชื่อครับ นี่ญาติพี่น้องเขามาชวน เขาบอกไม่ไหว ไม่ได้แล้ว มาอยู่ 4 วัน 5 วัน เขาไม่นั่น เขามาเอากลับ กว่าจะเจรจากันได้
ผมดูข่าวผมก็ยกมือท่วมหัวเจ้าประคุณมีจริง ๆ ในที่สุดความทนไม่ได้ ความที่เห็นว่าทำกันไม่มีเหตุผล เอารถมารับครับ ตำรวจต้องนำขบวนส่งเลยครับ ยังไม่รู้อีกเท่าไร ยังไม่รู้ที่เขาบอกว่าคนจะออกไม่ให้ออกนี่ คือหลักการเราบอกว่าจะล้อมไว้ข้างนอก ออกได้เข้าไม่ได้ เขาจะได้จบเรื่อง ไม่ให้ออก ไม่ให้ออกมีได้อย่างไร บรรดากรรมการสิทธิมนุษยชนท่านอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ไม่ทราบ โทรศัพท์มือถือไม่ตัด ตัดได้ครับ ตัดก็โทรไม่ได้ แต่ตัดแล้วคนข้างในที่เขาจะโทรศัพท์ออกมา จะบอกอะไรให้ฟังก็ไม่ได้มีข่าว เขาจะร้องทุกข์ร้องพ่อแม่เขาจะกลับ ผัวเมียเขาจะเอาเมียกลับ จะเอาผัวกลับ จะทำอย่างไร ก็มีการเอากันเข้าไปหลั่งไหลกันเข้าไป ที่ฟังที่ดูเมื่อวานนี้ใจหายวาบ นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยครับ 3 คน แต่งเครื่องแบบใส่คอกางร่ม เข้าไปเวทีพันธมิตร ผมใจลงไปอยู่ที่ข้อเท้า ตายละ ๆ ผมก็นึกในใจ อะไรกันครับเนี่ย พวกจุฬาฯ ใส่สีชมพูมาเดินกัน จุฬาฯ ก็มา ธรรมศาสตร์มีเด็ก 10 กว่าคนไปขึ้นเวที วิจารณญาณของผมก็ว่าใครจะไปชักชวนอย่างไรก็สุดแท้แต่ แต่ว่าจริง ๆ แล้วผมก็บอกว่าเรื่องอย่างนี้ผมเข้าใจ ใครจะเท่าไร ๆ จะทำ ได้ครับ แต่ธรรมศาสตร์ทั้งองคาพยพไม่มา จุฬาฯ ทั้งองคาพยพไม่มา บางส่วนจะมาก็ตามใจครับ ก็ตามใจ แต่ที่ผมบอกว่า นักเรียนวชิราวุธฯ มี 900 คน 3 คนแต่งเครื่องแบบสะอาดใหม่เอี่ยม เดินถือร่มกางค่อย ๆ เดินย่องเข้ามา ผมบอกอย่างนี้ โรงเรียนนี้นะครับเป็นโรงเรียนที่เขาเทียบมาจากอีตัน (Eton) นะครับ อีตันโรงเรียนกินนอนอังกฤษ โรงเรียนทูตต่าง ๆ ใครเป็นรัฐมนตรีต้องจบโรงเรียนอีตัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา เจ้านายทรงอุปถัมภ์มีงานมีการได้เป็นพิเศษกว่าคนอื่น อะไรต่าง ๆ อยู่เฉย ๆ ก็ไม่เป็นปัญหาไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรก็ได้ เขาทำอย่างไรก็ไม่ทราบได้ครับ ใครจะอยู่ข้างหน้าข้างหลัง เอานักเรียนวชิราวุธฯ ใส่เครื่องแบบใส่คอปิด 3 คน ถือร่มเข้ามาเลยครับ ฝนตกด้วย
ทำประชามติตามมาตรา 165
ก็ต้องมาบ่นให้ฟังไว้ครับ แต่ที่พูดไปพูดมาทั้งหมดนี้คือจะบอกว่า จนถึงวันนี้สถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ผมกับแม่ทัพนายกองที่ดูแลก็พูดจากัน หนทางออกก็มองเห็นครับ ท่านผู้บัญชาการทหารบกบอกทางทหารที่จะต้องระมัดระวังทั้งหมดเพราะเปิดออกมามันกำแพง หาประตูออกไม่ได้ ท่านผู้ชมฟังให้ดีนะครับ รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ศาลก็เอาไม่อยู่ จะไปสภานอกรอบก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายทำอย่างไรครับ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ทหารเข้ามาดู ทหารก็เอาไม่อยู่ แล้วจะทำอย่างไรครับ ทหารบอกว่าต้องกลับไปดูที่สภา ประตูอยู่สภา ผมก็กลับไป ประชุมคณะรัฐมนตรีภาคพิเศษก็อนุมัติ รัฐมนตรีสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พรรคชาติไทย บอก ท่านนายกฯ มาตรา 165 พอฟังความ สมาชิกข้างในก็บอกว่า ที่คุณสุทิน คลังแสงพูดไป นายกฯ ไม่ดู ผมบอกผมอาจจะบกพร่องตรงนั้น เขาเสนอไว้ในสภา ผมก็ขอบคุณรัฐมนตรีสมศักดิ์ฯ เอาจับประเด็นนี้มา ในพรรคของท่านก็คงอ่านกันดูแล้ว ก็เอามาตรา 165 มาตรา 165 อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ได้มีอะไรลึกลับเลยครับ ชัดเจนเลยว่า วงเล็บหนึ่งบอกเลยถ้ามีสถานการณ์เป็นอย่างนี้ มีปัญหาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ ก็ขอให้นายกรัฐมนตรีติดต่อประธานสภาจัดการประกาศราชกิจจาฯ จะทำกันนี่ ผมก็บอกข้อ 1 ก็เข้าแล้ว แล้วข้อ 2 เหมือนมันขบ ไม่ขบครับ ฟังให้ดีนะครับวงเล็บสองบอกว่าถ้าจะทำประชามติ จะทำประชามติที่ขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้ คำอธิบายแปลว่าอย่างไร แปลว่าสมมติว่าจะทำประชามติเพื่อเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้ ทำประชามติเพื่อจะขอเลิก มาตรา 63 ที่เขาใช้อยู่นี้ ทำประชามติเพื่อเลิกมาตรา 63 ไม่ได้ อย่างนี้แปลว่าขัดรัฐธรรมนูญ เท่านั้นละครับ แล้วเขาบอกว่าเอาประชามติเพื่อตัวบุคคล เอาคนนี้ ๆ เอาใคร อย่างนี้ไม่ได้ เห็นไหมครับ แต่ว่าวรรคหนึ่งบอกไว้ชัดเจนไม่มีปัญหา
ผมก็บอกกฤษฎีกา ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลว่าช่วยไปดูให้หน่อยสิว่า จะเขียนถ้อยคำอย่างไร พอฟังความฝ่ายกฎหมายเขาบอกว่า ท่านนายกฯ กฎหมายนี้มันผ่านสภาแล้วจริงนะ แต่วันจันทร์นี้มันจะเข้าวุฒิฯ แล้วอย่างไร วุฒิฯ จะผ่านหรือไม่ผ่านก็ไม่ทราบ เขาอาจจะไม่ร่วมมือ วุฒิฯ เขาก็มาจากเลือกตั้งครึ่งหนึ่ง 76 แต่งตั้งมา 74 150 นี้จะเห็นอย่างไรก็ไม่ทราบ บอกไม่เป็นปัญหา เราออกข่าวได้ว่าเราใช้ 165 แล้วก็ขอความกรุณาวุฒิฯ พอถึงวันเขาไปประชุมกัน วันศุกร์เอาเข้าเลยครับ เอาเข้าเลย วุฒิฯ จะใช้เวลา 90 วัน วุฒิฯ บอกว่ารับหลักการวาระหนึ่ง แล้วแปรญัตติภายใน 7 วัน แปลว่าวุฒิฯ ร่วมมือ ก็ดี แล้วคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย ๆ ไม่เอาด้วยต่าง ๆ วุฒิฯ เสร็จแล้ว วุฒิฯ จะ 90 วันจะต้องไปให้ เป็นกฎหมายลูก รัฐธรรมนูญจะต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญดูอะไร ทั้งหมดบอกอีก 7 เดือนถึงจะใช้กฎหมายนี้ได้ 7 เดือนถั่วสุกงาไหม้แล้วครับ งาเป็นผุยผงที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบกว่าถั่วจะสุก เขาก็บอกมาว่าถ้าอย่างนั้นไม่เป็นปัญหา มีช่องทางจะดำเนินการ จะเสร็จเมื่อไรจะอย่างไรก็ตามแต่
แล้วผมก็ไป ผมไปตรวจงานนั่งรอรถ รถอ้อมมารับทางโน้น ใต้ต้นไม้ร่มเย็นดีพอเมื่อยนั่ง นักข่าวมา ผมก็คิดอยู่แล้วกลางคืนจะออกโทรทัศน์ จะคุยต่อสักหน่อย เขามากันเต็ม ๆ ทุกช่องทุกฝ่ายก็เลยคุยเลยครับ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนี้เรื่องนั้น โทรทัศน์เขาจะออกที่ผมคุยทั้งหมดคงไม่ได้ละครับ เพราะเขาเลือกออก แต่เขาเลือกออกตามที่เขาเห็น บางส่วนบางตอนบางอันก็ไม่ได้ออก ๆ นักข่าวต้องใช้ภาษาฝรั่งทันสมัย เขาเรียกว่าอินครับ อินมากไป บอกบ้านเมืองอย่างนั้นผู้คนแตกแยกกันหมดแล้ว ผมก็พยายาม มันแตกแยกกันขนาดไหน ใครต่อใครแตกแยกกัน แตกแยกกันหมดแล้ว ใครต่อใครไหนบอกเรามาสิ ผมกับคุณอภิสิทธิ์ฯ หรืออย่างไร ไม่ใช่ เขาบอกนักข่าวผู้หญิงคนหนึ่ง ออกชื่อเธอก็ได้ ชื่อคุณบุญระดม จิตรดอน โอยแตกแยกกันหมด ผมบอกว่าแล้วอย่างไร ๆ ในครอบครัวก็แตกแยก ผมก็เลยกระเซ้าไปว่า เออแล้วครอบครัวคุณแตกแยก แตกแยก ผมฟังแล้วใจหายวาบเลย เธอบอกครอบครัวเธอแตกแยก ผมก็เอาครอบครัวผมหักล้าง ผมบอกครอบครัวผมนะ มีพ่อมีแม่ มีลูกสาว 2 มีลูกเขย 2 ยังไม่ได้แถมว่ามีหลานอีก 3 นะครับ แล้วหลานอีก 3 นั้นรู้ภาษาแล้ว 2 คนด้วย ปรากฏว่าผมกระเซ้ากลับไปพอสนุกครับ ว่าครอบครัวผมไม่แตกแยกเลย เห็นตรงกันหมดเลย ภรรยาผมก็บ่น เพราะว่าประเดี๋ยวก็มาล้อมบ้าน ๆ เดี๋ยวจะล้อมบ้าน ตำรวจเขาก็บอกว่าไม่อยากให้อยู่ข้างใน ภรรยาผมบอกว่าข้างในบ้านไม่มีใครรักบ้านเท่าเขา เขารักบ้าน เขาบอกเขาอยู่ แต่ตำรวจเขาบอกว่าเดี๋ยวจะรุนแรง แล้วทำอย่างไร เขาเอาหลาน เมื่อวันที่ 25 วันที่เขาปลุกระดมกันวันเริ่มต้น หลานผมเกิด วันที่ 25 สิงหาคม ครบ 3 เดือน ระหว่างนั้นเดี๋ยวจะล้อมเดี๋ยวจะมาเดี๋ยวจะยกขบวนตำรวจก็มาเขาบอกเขามาดูแลให้ไม่อยากให้เจ้าของบ้านอยู่ข้างใน
วันหนึ่งภรรยาผมอดรนทนไม่ได้ ก็ต้องเอาหลานไปอยู่ที่อื่นเขาก็บ่นเป็นครั้งแรกที่บ่นกับผมเลย บอกดูสิไอ้ตัวเองไม่เป็นอะไร หลานอายุ 3 เดือนก็ต้องออกจากบ้านแล้วเพราะต้องหลบลี้ภัย อะไรก็ไม่ทราบได้ เราเป็นคนที่ไม่เคยมีภัยอะไรกับใครในบ้านเมือง พูดกันไปพูดกันมาชี้กันไปชี้กันมาเหมือนกับว่าสมัครทำไม่ดีต่อไปจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ฟังความฟังอะไรเหมือนกับผมมีความผิดติดตัวทำความเลวทรามต่ำช้าคือพูดกันอย่างนั้นพูดกันไปพูดกันมาจนกระทั่งบัดนี้เหมือนกับว่า รัฐบาลต้องออกมันดื้อด้านมันต้องออก โดยไม่ฟังเลยนะครับว่าแล้วตกลงฝ่ายที่มาขับไล่มาจัดการยึดอำนาจปีนเข้าไปในทำเนียบอย่างนี้ ไม่มีใครพูดสื่อสารมวลชนทั้งหลายก็ไม่ค่อยอินังขังขอบกับทางนั้นไม่ค่อยตำหนิติเตียน
ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ผมอ่านหนังสือพรรคพวกส่งจดหมายมาเขียนจดหมายจากอเมริกา ส่งอีเมล์มาฝากคนมาให้คุณสมัครอย่างนี้มันเกินเหตุทำอะไรอยู่ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังไม่ดำเนินการอะไร บอกก่อนประกาศเข้าไปเขาบอกว่าในประเทศอย่างอเมริกาถ้าปีนรั้วทำเนียบขาวเขายิงเลยครับ เขายิงเลยเขาไม่นั่นเลย ยึดสนามบินนอนไปกลางสนามบิน สนามบินลงไม่ได้บอกโดนซิว ซิวคือฟ้อง ฟ้องกันเอาตัวไม่รอดเลย ไม่ได้เลย นั่นละครับประชาธิปไตยจ๋าเลยอเมริกัน หัวโจกประชาธิปไตยแบบอเมริกันเลย เขาบอกไม่ได้เลยเชียวครับ ไปประชุมเขาประชุมริพลับลิกันประชุมกันมีคนไปก่อกวน เขาจับเลยครับ 300 คน ตำรวจจับตัวไปเลย บอกประชาธิปไตยเมืองไทยไม่ได้หรอกครับ มีที่ไหนมาสู้ที่นี่ไม่ได้หรอกครับ เพราะสังคมเราก็เปลี่ยนแปลง สังคมเราเปลี่ยนแปลงครับ กระทบกระทั่งอะไรไม่ได้เลยรัฐบาลต้องดีต้องนั่น ทหารถึงเสียรังวัดไงครับ ทหารดูแล้วบอกไม่ได้ เอาปืนมาต้องเหน็บใส่กระเป๋าต้องใส่ซองให้ดาบมาต้องเหน็บใส่หลัง แล้วค่อย ๆประคับประคองค่อยโอ้โลมปฏิโลม จะพูดจาอะไรกัน ในขณะเดียวกันสื่อก็รายงานสื่อบอกต้องอยู่ตรงกลาง ต้องรายงานถี่ถ้วนรายงานละเอียดเลยครับ ใครเข้าไปร่วมชุมนุมใครเคลื่อนไหวอย่างไรใครอย่างไร
แต่ผมก็อยากจะขอบคุณสื่อนะครับ ถ้าไม่ได้สื่อรายงานผมจะไม่มีทางทราบเลยว่าคน 5 คนเขาคิดอะไรอย่างไร เขาพูดจาอย่างไร พูดออกมาคำก็บอกดี พูดออกมาครับเอ่อดี คือคนทั้งบ้านเมืองที่มีวิจารณญาณในการฟังอันดีจะรู้ทันทีเลยว่า ที่พูดมาไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลไม่ได้ ไม่เจรจาไม่อะไรทั้งสิ้น ต้องออก ออกไปเลือกตั้งกลับมาใหม่ ถ้าคณะนี้กลับมาอีกก็เอาอีก นั่นแหละครับคือความไม่มีเหตุผล ทั้งหมดนี่ละครับไม่มีอะไรจะพูดมากก็อยากจะขอบคุณสื่อทั้งหลาย ว่าผมมองในแง่เอาวิกฤตเป็นโอกาสคือไม่อยากให้รายงานมาก แต่รายงานมาก็เป็นเรื่องดีไปครับ ได้รู้ครับว่าคิดอย่างไร ๆ รายงานข่าวผู้คนคิดอย่างไร คนนั้นไม่เห็นด้วยคนนี้ไม่เห็นด้วย พอมองดูบอกกลุ่มนี้ ๆ กลัวประชามติ มีคนกลัวประชามติ เห็นไหมครับได้รู้เลยใครเป็นใครเลย สำนวนที่เขาพูดกันว่าเขาเรียกว่าไผเป็นไผ ก็ได้รู้อย่างนี้ละครับ
ถามว่าตกลงมานั่งพูดจาสถานการณ์อย่างไร สถานการณ์พอไหวครับ พออาศัย พอเอาอยู่เรื่องต่าง ๆ ความสมัครสมานสามัคคีของผู้คน ที่คุมตรงนั้นเขาทำครับ โอยจะไปอย่างไร ไปได้ไงเดี๋ยวก็ บอกกันแล้วว่าเขาก็อธิบายแล้ว เขาพูดแล้วพูดอีก นี่จะไปไปญี่ปุ่น เขาบอกว่าไปไม่ได้เพราะฉุกเฉิน ฉุกเฉินจริงๆ หนึ่ง สอง สาม แล้วมี สาม สี่ ห้า ไปไม่ได้ครับ ต้องกราบบังคมทูลสมเด็จพระจักรพรรดิเฝ้าฯ ไม่ได้ เพราะสำนักพระราชวังเขาถามว่าไปไม่ไปตอบมา ต้องขอพระราชทานอภัย แล้วตกลงจะไปสหประชาชาติ ต้องไปพูด จะไปสหประชาชาติเอาอีกแล้วหรือ นายกฯ ทักษิณฯ ไปแล้วไม่ได้กลับ ผมก็บอกอย่างไรก็ตามแต่ ผมต้องทำจดหมาย วันที่ 25 นี้ ผมจะปราศรัยองค์การสหประชาชาติ ศาลอุทธรณ์จะตัดสินคดีผม คดีหมิ่นประมาทนั่นแหละครับ คดีหมิ่นประมาทศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 เดือน 6 เดือน 4 หน แล้วไม่รอลงอาญาด้วย น่ากลัวนะครับ ติดตาราง 2 เดือน 2 ปีไม่รอลงอาญา แล้วอย่างไร ก็ตัดสินก็ไม่เป็นไร ก็ตัดสินก็ต้องขอก็ต้องฎีกาสุดท้าย เมื่อฎีกาแล้วก็ ก็อย่างไร ข้อเท็จจริงก็ต้องมีการสลักหลังให้ อัยการสูงสุดต้องเป็นคนเซ็นให้ผมว่าผมต้องอย่างไร ก็ต้องไปอีกครับต้องไปพูดทางศาลฎีกา ก็ไม่เป็นไร เขาบอกว่าวันที่ 25 จะตัดสิน แล้ววันที่ 25 จะพูดสหประชาติ ผมทำหนังสือถึงศาลแล้ว เมื่อวานนี้ วันจันทร์จะไปยื่น บอกผมจะต้องไปสหประชาติ ส่งรายการไปให้ดูต้องไปประชุมทูตที่ประเทศโน้นในยุโรป มีรายการยาวเหยียดเลยครับ ยังจะคิดไปอีกบ้านเมืองอย่างนี้
ผมบอกว่าผมจะต้องไปนี้เพื่อให้คนในโลกเขาเห็นว่าบ้านเมืองนี้สถานการณ์ มันมีอยู่ตรงสี่เหลี่ยมเศษหนึ่งส่วนสี่ตารางกิโลเมตรอยู่ทำเนียบรัฐบาล จะเสียหน้าเสียตาเสียไปแล้วครับ จะอับอายขายหน้าเอาไปแล้ว เขาประกาศชัยชนะยึดทำเนียบได้ก็คือชัยชนะ ไม่มีกฎหมายเว้กๆ ไปอย่างนั้นเอง แต่ในโลกนี้เขาเฝ้าดูครับ ผมจะเล่าให้ฟังต้องขอประทานโทษครับ ทูตทหารเขาขอพบผู้บัญชาการทหารบก ขอพบสนทนา เขาบอกว่าถ้าเผื่อปฏิวัติอีกเขารับไม่ได้ ผบ.ทบ.บอกไม่ปฏิวัติ ไม่มีเหตุจะต้องทำอย่างนั้น ผมไปงานทูตไปงานสถานทูตอังกฤษ ไปงานสถานทูตใหญ่ ๆ เขาบอกเลยครับ เขาบอกปฏิวัติอีกเขารับไม่ได้ เขาบอกปฎิวัติโดยประชาชน โดยไม่มีเหตุผล เขาก็รับไม่ได้ เขาเฝ้าดูตลอดหมดคือทูตเขารู้เหมือนกับคนอยู่ในบ้านเราเขาดู ผมก็บอกโอเคครับผมเข้าใจ ผมก็ทำอย่างว่าอธิบายความ ผมถึงยืนหยัดได้ว่าผมต้องรักษาระบอบประชาธิปไตย รักษาบ้านเมืองเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของเราเอาไว้ เหตุเกิดอยู่ตรงหย่อมผู้คน ต้องใช้คำว่าหยิบมือ ถ้าเทียบกับ 63 ล้านคน ให้จะเข้ามาแห่ห้อมมาเติมก็ได้ คนมาเท่าไร ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์จะเคลื่อนไหว พวกบรรดาเย้ว ๆ ทั้งหลายประโคมกันใหญ่ แต่ว่าอีก 90 เขารักษา น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ไปรษณีย์ เขาบอกเขารักษา
ก็เป็นอันว่าถ้าเรารู้อย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้ เราก็คิดว่าบ้านเมืองก็อยู่ได้ โอยถ้าไปแล้วกลัวทหารเขาปฏิวัติ ทหารเขาปฏิวัติเขาก็เสียรังวัดเขาเท่านั้น เขาประคับประคองดูอย่างนี้เขาคิดว่าเขาไม่ปฏิวัติก็รักษาบ้านเมืองดีกว่าปฏิวัติ เพราะอะไร วันนั้นนักข่าวบอก ไม่กลัวสงครามกลางเมือง ผมบอกมันจะสงครามกลางเมืองอย่างไร ในเมื่อพวกที่เขาอยู่ทำเนียบเขาบอกเขาอหิงสา เขาไม่มีอาวุธทหาร ตำรวจ ก็ถือแต่โล่ห์ ถือกระบอง ไม่มีอาวุธ แก๊สน้ำตายังไม่กล้าใช้เลยครับ เกิดแก๊สน้ำตาไอ้บ้าที่ไหนยิงออกมาก็กลายเป็นว่ากำลังสอบอยู่รายละเอียด เป็นข่าวเอิกเกริก หนังสือพิมพ์พาดหัวกันใช้แก๊สน้ำตาแล้ว แล้วไปอย่างไรครับ จะจุดเท่าไรก็ไม่ติด ทำอย่างไรเลือดก็ไม่นอง ออกซิบๆก็คงพอมีบ้าง เพราะอย่างนั้นผมก็บอกว่า ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ผมจะไปอยู่สหประชาชาติทางนี้จะยึดอำนาจ ก็พิจารณาดูแล้วกันว่าสมควรไหม แต่ว่าถ้าผมอยู่แล้วยังเป็นนายกรัฐมนตรี รักษาบ้านเมืองได้มันก็เป็นหน้าตาของประเทศไทยว่าสถานการณ์ใครจะว่าเลวร้าย แต่นายกรัฐมนตรีไปปราศรัยที่สหประชาชาติได้ จะได้คุยกับคุณบัน คี มูน ตามที่นัดหมายกันไว้ได้ จะได้แวะประชุมทูตทางยุโรปได้ทำอะไรได้ ก็แปลว่าถ้ามันพออาศัยก็จะไปแน่นอนครับ ถ้าเกิดจลาจลมันไปไม่ได้ล่ะครับ แต่มันไม่มีจลาจล ยังไงก็ไม่มีจลาจลครับ เพราะทุกอย่างเข้าที่ จนถึงวันนี้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร ผมจะคุยเพียงเท่านี้ เหลือเวลา 10 นาที ตอบคำถามหน่อยครับ เดี๋ยวมาบอกจัดรายการแห้งอีก รายการออกกรมประชาสัมพันธ์วันนั้น เขาบอกแห้งนะครับ ไม่น่าเชี่อ มันตลกไหม สมัยนี้
คำถาม อยากให้หาพระที่เทศน์เก่ง ๆ มาเทศน์เตือนสติประชาชน
นายกรัฐมนตรี เก่ง ๆ ก็มีหลายรูปนะครับ พระพยอมก็ได้ วัดสุทัศน์ฯ ท่านก็เก่ง ว.วชิรเมธี ท่านก็ใช้ได้นะครับ ท่านก็ช่วยงาน แต่ว่าองค์ที่ท่านค่อนข้างจะไม่ปกติ เดี๋ยวนี้ท่านเป็นเจ้าคณะรอง อยู่นครปฐม ท่านเจ้าคุณประยุตต์ ปยุตโต ท่านเป็นพระพรหมคุณาภรณ์ พระรูปนี้เจ๋งล่ะครับ แต่ไม่กล้ารบกวนท่าน เพราะว่าท่านอาพาธอยู่บ่อย ๆ ก็จะรับหลักการ เรื่องอย่างนี้พระท่านทำให้เอง เราไม่ต้องไปขอร้องอะไรท่าน
คำถาม ให้ท่านนายกรัฐมนตรีหนีความวุ่นวายจากเมืองกรุง มาเยี่ยมเยียนถิ่นฐานจังหวัดขอนแก่นบ้าง ที่มีแต่ความอบอุ่น
นายกรัฐมนตรี ที่นั่นคงแดดแรงนะครับ
คำถาม แล้วท่านได้รับการสนับสนุน
นายกรัฐมนตรี ความจริงไปเฉียดขอนแก่น คืออย่างนี้ผมจะเล่าให้ฟังนะ สาเหตุที่จะไปประชุม ครม.สัญจรวันอังคารนี้ ก็เพราะเหตุว่าไปขอยืมสถานที่เขา และไป ๆ มา เขาบอกก็สัญจรซะเลย เพราะเขาเห็นด้วย สัญจรที่ไหนล่ะครับ เดี๋ยวใครเข้าไปก่อกวน ก็ไปเมืองที่ไม่มีคนก่อกวน ก็ไปจังหวัดที่มี ส.ส.อยู่ 10 คน เป็น ส.ส.พรรคพลังประชาชนทั้งหมด 10 คน อย่างนี้ปลอดภัย ไม่มีล่ะครับ ที่แล้วมาใครต่อใครไปฟาดกัน ไม่นั่น และเราไม่ได้หาเรื่อง เราประกาศเลยไปเลยครับ แล้วบ่ายโมงจะมีคลินิกการเกษตร คลินิกมหาดไทย ไปทำต่อใบขับขี่ อะไร ไปทำให้ และเย็น ๆ รัฐบาลก็พบ รายงานประชาชน 7 เดือน รุ่งขึ้นเช้าก็ประชุม ครม. ไปมอบธงกับเขาหน่อย ก็ดำเนินการ ก็ดีครับ ถัดไปก็จะหาจังหวัดที่พร้อมจะไปได้ ก็เกรงใจทางโน้นเขา เหมือนกัน ไปใช้สถานที่เขา ก็ให้มันเคลื่อนที่เสียบ้าง ขอบคุณที่ส่งความเห็นอันนี้มา
คำถาม ทำไมรัฐบาลไม่เอานักวิชาการมาเป็นทีมงาน เพราะมีความน่าเชื่อถือ ประชาชนไว้ใจ
นายกรัฐมนตรี ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ผมทำงานตามมาตรฐานปกติ นักวิชาการไม่ต้องถูกชักชวนมาเป็นเครื่องมือของรัฐบาล ในความเห็นของผม นักวิชาการก็อยู่นักวิชาการ ท่านจะคิดจะเห็นอย่างไร ท่านต้องทำด้วยตัวท่านเอง มาผูกโยงรัฐบาล ไม่ได้เลยครับ นักวิชาการเขาก็เสียความเป็นอิสระของเขา ผมต้องถือเรื่องอย่างนี้ครับ นักวิชาการจะพูด เห็นตัววิ่งออกมาก็ขอบพระคุณ แต่ว่าไปชักจูงไปทำ ไม่ได้ครับ รัฐบาล Propaganda ไหม ไม่ คนที่ Propaganda นี่คนนี้ คนเดียวนี่ล่ะครับ ไม่ใช่ว่าอวดเก่งนะ แต่ว่าต้องการความรอบคอบนุ่มนวล และไม่ให้เราชักจูงอะไรต่าง ๆ ผมรับผิดชอบ ผมพูดเอง อธิบายความเอง และรายการอย่างนี้ล่ะครับ รายการจากปากผม ถึงหูท่านพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ท่านลองใช้วิจารณญาณดูให้ดีแล้วกันว่า สถานการณ์ปัญหาบ้านเมืองเป็นอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เห็นไหมครับ ไม่มีเหตุ และผู้ที่มาเรียกร้อง เป็นใครที่ไหนอย่างไร ที่ผมอยากให้ท่านตั้งข้อสังเกตคือ คนมีความรู้ มีการศึกษามากมาย ก็ตกลงหันหน้ามาชี้ว่า คนที่ผิดคือสมัคร ผมบอกไม่ได้ ชี้ได้ครับ แต่ว่าผมอธิบายความให้ฟังว่า ผมไม่ใช่อย่างนั้นล่ะครับ ทำไมแล้วคนพวกนี้เป็นยังไง ไม่มีใครไปแตะไปต้อง ไม่มีใครกล้าไปทำอะไร เป็นอะไรมาจากไหนยังไง ถึงได้หันมาเล่นงานรัฐบาล แม้กระทั่งในสภา ก็บอกนายสมัคร มันผิดยังไง มันเลวยังไง พูดไป โอ๊ย สมัครดิ้นบอกตัวไม่ผิด ก็ไม่ผิดนี่ครับ ผมทำงานให้บ้านเมือง ผมไม่มีผลประโยชน์ ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ถ้าผมพ้นวาระไป แต่เวลานี้มารับหน้าที่อยู่ ถ้าไม่ดูอยู่ตรงนี้ กระโดดลงเรือหนีไป ไม่ได้ล่ะครับ ผมทำไม่ได้เลย เพราะนี่ก็บ้านเมืองของผม
สำคัญที่สุดสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมจะต้องเป็นคนอยู่เฝ้าดูแลเรื่องนี้ เพราะผมชักสังหรณ์ใจ ชี้หน้าคนโน้นคนนี้ พวกที่ปลุกระดมกันทั้งหลาย ออกปากกันเอิกเกริกเสียอย่างนั้น ผิดปกติครับ แสดงความจงรักภักดีผิดปกติ เพราะยังไง เพราะไปเหยียบย่ำคนอื่นที่เขาไม่ได้แสดง ไม่ได้ออกมา ผมถือว่าเหยียบย่ำความรู้สึกของตำรวจ ทหาร ที่เขารักพระเจ้าอยู่หัว เทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวด้วยใจ แต่นี่อะไร ปากรักเทิดทูน ใส่เสื้อใส่อะไร เหยียบย่ำ มันกลายเป็นว่าแล้วคนที่เขาไม่ได้แสดงออกอย่างนี้ เขาไม่ได้จงรักภักดีเหรอครับ เห็นไหมครับ คนที่เขารักพระเจ้าอยู่หัวด้วยใจ รักพระราชวงศ์ด้วยใจมีเท่าไร และคนที่มาพูดจาอย่างนี้ จะไปยกย่องสรรเสริญคนพวกนี้ บอกเขารักและเทิดทูน แล้วคนที่เขาไม่พูด เขาไม่เสียรังวัดแย่เหรอครับ คนที่เคารพนับถืออยู่ในหัวใจเลย เขาไม่เสียรังวัด เขาไม่ตายเหรอครับ ในเมื่อคนพวกนี้มา และเอาความจงรักภักดีไปเหยียบย่ำคนอื่น ไม่ได้ล่ะครับ ผมถึงสังหรณ์ใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะดูแล้วคนพวกนี้คิดอะไรยังไง คิดอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย อยู่ดี ๆ การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดันเสนอความเห็นบอกจะเอา 30 : 70 จะแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 แล้วนี่ประชาธิปไตยอะไรครับ นี่คิดแบบประเทศอะไรครับ ลัทธิอะไรครับ ไม่นั่นไม่โน่นไม่นี่อะไรต่าง ๆ มองลึก ๆ เข้าไป ต้องร้องเอ๊ะ ต้องฉุกคิดว่าคนพวกนี้เป็นยังไง นี่สมมติว่าไปเกิดเห่อเหิม ยกย่องสรรเสริญไปให้ ได้อำนาจรัฐไปโดยอะไรก็ไม่รู้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้ครับ จะต้องตั้งสภาใหม่หรือไง แล้วมีสภาขึ้นมา และก็ให้เลือกตั้งแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์ บ้านเมืองจะบริหารด้วยอะไรยังไง มันไม่รู้อะไรทั้งสิ้นครับ แต่ว่าคนดีมีความรู้ทั้งหลายไปยกย่องสรรเสริญ ไปส่งเสริม ผมต้องแสดงความประหลาดใจ ในที่สุดคนอย่างผมทำงานมา 7 เดือน โดนเหยียบย่ำ โดนชี้หน้า แล้วรวมความกัน
ผมบอกสื่อสารมวลชนด้วยนะทั้งหมด ทั้งบทความ ทั้งข้อเขียน นายสมัครไม่ดูตัวเอง ไม่เห็นความผิดของตัวเอง ว่ากล่าวผมได้โดยผมต้องแน่ใจว่าผมต้องเถนะทั้งหมด ทั้งบทความ ทั้งข้อเขียน นายสมัครไม่ดูตัวเอง ไม่เห็นความผิดของตัวเอง ว่ากล่าวผมได้ โดยผมต้องแน่ใจว่าผมต้องเถียง เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่คนที่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน ยึดทำเนียบรัฐบาล บรรดาสื่อสารมวลชนทั้งหลายไม่แตะต้อง ไม่ตำหนิ ไม่เอ่ยถึง ผมต้องร้องถามพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่านี่บ้านเมืองนี้เป็นอะไรครับ มันเกิดอะไรขึ้น เกลียดนายกฯ ก็...ไป แต่มาลากผมด้วย ไม่ได้ครับ เหยียบย่ำนายกฯ คนเก่าไปยังไง เขาก็จะตายทั้งเป็นแล้ว ก็จบไปอย่างนั้น แต่ผมไม่ได้ครับ ผมไม่ยอมให้ผมมาตายทั้งเป็นเพราะอย่างนี้ นั่นล่ะทำไมผมถึงมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำไมผมถึงทำงานกับกระทรวงกลาโหม ทำงานกับกองทัพ ทั้ง 3 บอกกองบัญชาการทหารสูงสุด ทำไมผมทำงานกันได้ ทำไมผมย้ายทหารรอบหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ผมย้ายเมื่อคราวที่แล้ว ไม่เป็นปัญหาล่ะครับ นั่นคือความบกพร่องที่เราแลเห็น คือรัฐบาลไปยุ่งกับเขา จนกระทั่งเขาไม่พอใจ เกิดเหตุเกียกกายปั๊บ พลิกทันที รัฐบาลไป แต่รัฐบาลนี้นะครับ ทำงานอยู่กับคนที่ดูแลความมั่นคงของบ้านเมือง ทำงานถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทำงานให้ดูแลบ้านเมืองทั้งหมด ผมแน่ใจว่าผมทำสิ่งที่ถทำงานถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทำงานให้ดูแลบ้านเมืองทั้งหมด ผมแน่ใจว่าผมทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่บัดนี้คนพวกหนึ่งจัดการยึดทำเนียบ ทำอะไรต่างๆ เหยียบย่ำ แล้วชักชวนผู้คน โดยใช้โทรทัศน์ปลุกผู้คน ล่อหลอก เสร็จแล้วปรากฏว่าสื่อสารมวลชนที่มีวิจารณญาณอันดี กลับหันมาชี้ที่ว่าไอ้นายกฯ นี่ต้องพิจารณาตัวเอง แม้แต่คนในสภา แม้แต่คนมีวิชาความรู้ ก็บอกนายสมัครไม่พิจารณาตัวเอง นายสมัครมันผิดมาตั้งแต่ต้น ไม่ครับ ผมต้องเถียงเลย แล้วผมไม่ยอมให้ใครทำกับผมอย่างนี้นะครับ อ่านคำถามอีกหน่อย นักวิชาการไม่เอามานะครับ เพราะเกรงใจเขาครับ เขาควรจะเป็นอิสระของเขา
คำถาม อยากได้คำแนะนำว่าจะสนับสนุนอย่างไร อยากแสดงแต่ไม่รู้จะทำทางไหน
นายกรัฐมนตรี ท่านอยู่ในที่ตั้งครับ อยู่ในบ้านไม่ต้องออกมา ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องออกมายุ่งกับเขาเท่านั้นล่ะครับ ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา ไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะไม่เข้าไปยุ่งในทำเนียบยิ่งดีใหญ่ เพราะเมื่อวันก่อนลูกเห็บตกครับ ลูกเห็บตกในทำเนียบ กรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าปกติ ผมก็เถียงกรมอุตุฯ ว่าไม่ปกติ เพราะตลอดชีวิตผม 73 ปี ปีนี้ไม่เคยเห็นลูกเห็บตกที่ทำเนียบรัฐบาล เอาล่ะ ผมเถียงกรมอุตุฯ นะครับ จะอธิบายทางวิทยาศาสตร์อย่างไรก็สุดแท้แต่ ต้องยืนยันนะครับ ไม่ได้เอาเครื่องบินใส่น้ำแข็งไปโปรยนะครับ
คำถาม เหตุการณ์ปิดสนามบินภาคใต้ คนใต้ไม่ชอบ ทำให้เศรษฐกิจแย่
นายกรัฐมนตรี คนใต้ไม่ชอบ ต้องพูดกับคนไปปิดครับ ผมน่ะไม่กล้าแม้กระทั่งจะตั้งข้อสังเกตว่าทำไมทั่วประเทศ ทางเหนือก็สนามบินเยอะ ทางอีสานก็สนามบินเยอะ แต่ทำไมปิดแต่ทางใต้ รถไฟทางเหนือทางอีสานเดินได้ ทางใต้ไม่เดิน เรื่องนี้คนใต้ต้องพูดกับคนใต้นะครับ ผมไม่กล้าไปแตะต้องล่ะครับ กลัวจะเกิดปัญหา
คำถาม ถ้าทำประชามติ ขอให้ทำเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
นายกรัฐมนตรี มันจะรุงรังพันเตครับ มติอันเดียวยังออกมาไม่ได้เลยนะครับ
คำถาม ขอให้ช่วยกันดูแลหนี้นอกระบบราชการทหาร
นายกรัฐมนตรี ดูแลแน่ เพราะผมชอบเรื่องนี้ ผมนี่ล่ะครับเป็นคนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยเอาเข้ามาในระบบ และมีการอธิบายให้ฟังด้วยว่า โดยวิธีอย่างไร ทำได้แน่นอนครับ
คำถาม ค่าทางด่วนที่เพิ่มขึ้น ลดเท่าเดิม
นายกรัฐมนตรี ลดไม่ได้ล่ะครับ คือถ้าเขาขึ้นราคาไปก็วิ่งข้างล่าง อย่าไปขึ้น เขาไม่ได้บังคับนะครับ ถ้าจำเป็นต้องซื้อเวลาก็ขึ้นไป 5 บาท ตกลงกันแล้วครับ 5 ปีเขาถึงจะปรับครับ ผมไม่เข้าข้างใคร ออกใครล่ะครับ คือถ้าเผื่อคิดว่ามันแพงไปก็วิ่งข้างล่าง
คำถาม ให้กำลังใจนายกฯ
นายกรัฐมนตรี ครับ
คำถาม เจ้าหน้าที่รถไฟสายใต้ไม่มีความรับผิดชอบ ประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้นายกฯ แก้ไข
นายกรัฐมนตรี ต้องกราบเรียนท่านพี่น้องประชาชนทางภาคใต้กรุณาช่วยพูดกันหน่อยนะครับ
คำถาม ทำไมรัฐบาลไม่ให้ผู้สูงอายุขึ้นรถเมล์ฟรี
นายกรัฐมนตรี เด็ก ๆ ก็ขึ้นฟรีครับ อายุกลาง ๆ ก็ขึ้นฟรี สำหรับที่เขาให้ฟรีนะครับ แต่เรื่องรถเมล์ฟรีสำหรับผู้สูงอายุ ผมจะไปดูอีกที
คำถาม รถเมล์ฟรีไม่ฟรีจริง สาย 4 สาย 1 วิ่งคลองเตย อยากให้นายกฯ ช่วย
นายกรัฐมนตรี เดี๋ยวผมไปดูให้เรื่องนี้
คำถาม ให้เพิ่มรถเมล์สายรังสิต-ปทุมธานี
นายกรัฐมนตรี เอาล่ะครับ
คำถาม เงินดำรงชีพข้าราชการบำนาญที่จะเพิ่มให้ 2 แสน
นายกรัฐมนตรี เดี๋ยวไปดูให้นะครับ ตอบคำถามทันทีไม่ได้
คำถาม ช่วยเหลือคนพิการด้านอาชีพ และเงินช่วยเหลือ
นายกรัฐมนตรี อันนี้จะรับไปดูให้ครับ
คำถาม ช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวายขนาดนี้ ขอให้มีการตรวจบัตรประชาชนอย่างเข้มงวด
นายกรัฐมนตรี ตรวจบัตรประชาชนก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ล่ะครับ
คำถาม การวิ่ง 116 วัน วิ่งภายในจังหวัดจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม วันที่ 3 ธันวาคม แต่ละจังหวัดมาลานพระรูป กำหนดการรับมีเปลี่ยนแปลงไหม
นายกรัฐมนตรี ครับ เข้าใจแล้วครับ เขาไม่ได้ร่วมเดินทางเข้ามานะครับ เขาวิ่งในจังหวัดครับ ธงก็ไว้ในจังหวัด วิ่งให้ครบถึงใกล้ ๆ วันที่ 3 แล้วเขาก็จะมาด้วย ยังไงก็สุดแท้แต่ การมาก็มารวมกันอีกที เขากลัวผมเข้าใจผิด สุดท้ายเกินไป 1 นาที ดูหนังสือพิมพ์หน่อย เห็นไหมครับ เขาบอกอย่างนี้ “ผบ.เหล่าทัพหารือสถานการณ์ สมัครเช็ควุ่น เคลียร์ประเด็นรวบอำนาจ” ไม่ล่ะครับ ไม่ได้วิ่ง ไม่ได้เช็ค รายการเมื่อวันก่อน วันเสาร์ฟัง ลับ ลวง พราง ผู้หญิง ผู้ชาย คุยกัน แหม รู้ดีทุกอย่างครับ นายสมัครมุดเข้าที่นั่น นายสมัครไปพบที่นี่ นายสมัครอะไร ไม่ล่ะครับ สมัครนอนอยู่ที่บ้าน ไม่มีปัญหาล่ะครับ รายการของคุณน่ะครับทำให้ปั่นป่วน คนฟังว่าวงในสายในจริง ไม่ครับ ขอประทานโทษนะครับ เกินไป 2 นาที วันอาทิตย์หน้าแปดโมงครึ่งพบกันใหม่นะครับ วันนี้ลาก่อนครับ สวัสดีครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--