แท็ก
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
กระทรวงการต่างประเทศ
นายสมัคร สุนทรเวช
กระทรวงต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม
นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีเผยได้นำรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว เตรียมหารือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
วันนี้ (5 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ส่งรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศคนใหม่ขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด รอให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาก่อน
นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชนว่า รัฐบาลเห็นว่าการทำประชามติจะเป็นทางออก และทุกอย่างอยู่ในขั้นเตรียมการ ซึ่งมีข้อดี คือประกาศออกมาแล้ว ก็แบ่งข้างกันเลย ใครเห็นชอบไม่เห็นชอบ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็กำลังดำเนินการอยู่ ในเมื่อมีประตูให้ออกแล้ว และถ้ามีกุญแจไขได้ ก็ไม่ต้องพังประตู
ผู้สื่อข่าวถามว่า นักวิชาการหลายฝ่ายเห็นว่าการทำประชามติทำให้ประชาชนเลือกข้าง และยิ่งทำให้เกิดความแตกแยก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แล้วเวลาเลือกตั้ง ไม่เลือกข้างหรืออย่างไร เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เลือกพรรคพลังประชาชน ก็ให้ประชาชนเลือก ในเมื่อมีคนมาก่อเหตุและยึดทำเนียบรัฐบาล ก็มีคนบอกว่า รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ใช้วิธีนุ่มนวลโดยใช้ศาลก็แล้ว สภาฯ ก็แล้ว ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ทหารดูแลก็เอาไม่อยู่ และวันนี้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ได้เริ่มดำเนินการแล้ว รับหลักการแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่วัน ก็คงเป็นผลสำเร็จ กฎหมายวรรคหนึ่งบอกไว้ชัดเจนว่าบ้านเมืองมีปัญหา รัฐบาลก็ต้องใช้สภาฯ และลงประชามติ แล้วก็ดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ยอมรับผลประชามติจะทำอย่างไร เพราะที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ยอมรับการตัดสินของศาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็บัดนี้ให้ประชาชนทั้งประเทศได้ลงประชามติ ประกาศคะแนนออกมาเท่าไร จะได้ดูใจกันว่าคนไทยจะอยู่กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์เท่าไร อยู่แบบรักษากฎเกณฑ์เท่าไร และวันนี้สื่อต้องใช้วิจารณญาณกันบ้าง ช่วยกันทำข่าว อะไรที่ทำให้บ้านเมืองหวาดวิตก ประชาชนต้องตื่นเต้นก็ควรจะต้องใช้วิจารณญาณกันบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะมีการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เจรจา เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ บอกแล้วว่า ไม่อยากเจรจากับนายกฯ และตนก็ไม่ควรต้องไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนที่ประธานวุฒิสภาจะเป็นตัวกลางในการประสานงานนั้น ก็เป็นเรื่องของประธานวุฒิสภา แต่ที่ประหลาดใจคือในบ้านเมืองนี้ไม่เห็นมีการยึดหลักเกณฑ์ มีคนมาตั้งคณะแล้วมาเรียกร้อง ถ้ายอมอย่างนี้แล้ววันข้างหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีคณะมาบอกว่าให้ออกไป ใครจะยอมหรือไม่ ตนทำเพื่อใคร ก็เพื่อรักษาสถานการณ์ของบ้านเมือง ไม่ให้ชาวโลกดูแคลน คนที่ออกมาไล่กลับถูกต้อง คนที่อยู่ไม่ถูกต้อง และขอประกาศเลยว่าไม่มีวันยอมให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้ผล จะประกาศยกเลิกก่อนหรือจะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วมีคนขัดขืนจะทำอย่างไร ความจริงพระราชกำหนดฉบับนี้อยู่ได้ 3 เดือน แต่ก็คงไม่ปล่อยไว้อย่างนั้น อีก 1-2 วัน จะหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไร เมื่อคนอยู่ในขอบเขตแล้ว และไม่ต้องใช้พระราชกำหนดก็คงจัดการได้ไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าจะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเมื่อประกาศแล้ว เขาไม่เคารพก็ไม่รู้ออกทำไม ที่ผ่านมาก็ปรึกษาหารือกันก่อนที่จะออก ครั้งนี้จะพิจารณาทำอย่างไรก็ต้องหารือกันก่อน แต่การหารือกันต้องแสดงความรู้สึกจริงใจต่อกัน อย่างไรก็ตาม ตนและผู้บัญชาการทหารบกได้พูดคุยกัน และการประชุม ครม. ที่ผ่านมาที่ต้องมีการประกาศตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) และให้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีนั้น เพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องถึง 21 คน จึงต้องใช้ ครม. มีมติมอบหมายให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้ดำเนินการ แต่กลับมีการกระแนะกระแหนว่านายกรัฐมนตรีกับผู้บัญชาการทหารบกขัดแย้งกัน รวบอำนาจไว้คนเดียว ทั้ง ๆ ที่ก่อนที่จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ได้มีการพูดคุย และดูภาพถ่ายกัน นานกว่า 2 ชั่วโมง จึงต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
“ผมเชื่อว่าคนไทยไม่มีวันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองอย่างที่หลายคนพูด เพราะคนไทยทุกคนรักบ้านรักเมือง ไม่ต้องเอ่ยถึงคำนี้ เพราะไม่มีเหตุผล คนหยิบมือเดียว มาอยู่ตรงนี้ แล้วมีคนเอ่ยว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีอาวุธ ตำรวจ ทหาร ก็ไม่อาวุธ แล้วตกลงรัฐบาลที่เป็นคนรักษาบ้านเมืองเป็นคนผิดหรืออย่างไร แล้วจะมาบอกว่าผิดทั้งคู่ก็ไม่ได้ ผมเป็นคนรักษาบ้านเมืองให้เรียบร้อย และขอยืนยันว่านโยบายที่ทำนี้เหมาะสม ทหารและประชาชนทั้งประเทศเห็นชอบ คนบางส่วนที่ไม่เห็นชอบก็ไม่เป็นปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (5 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ส่งรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศคนใหม่ขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด รอให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมาก่อน
นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชนว่า รัฐบาลเห็นว่าการทำประชามติจะเป็นทางออก และทุกอย่างอยู่ในขั้นเตรียมการ ซึ่งมีข้อดี คือประกาศออกมาแล้ว ก็แบ่งข้างกันเลย ใครเห็นชอบไม่เห็นชอบ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็กำลังดำเนินการอยู่ ในเมื่อมีประตูให้ออกแล้ว และถ้ามีกุญแจไขได้ ก็ไม่ต้องพังประตู
ผู้สื่อข่าวถามว่า นักวิชาการหลายฝ่ายเห็นว่าการทำประชามติทำให้ประชาชนเลือกข้าง และยิ่งทำให้เกิดความแตกแยก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แล้วเวลาเลือกตั้ง ไม่เลือกข้างหรืออย่างไร เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เลือกพรรคพลังประชาชน ก็ให้ประชาชนเลือก ในเมื่อมีคนมาก่อเหตุและยึดทำเนียบรัฐบาล ก็มีคนบอกว่า รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ใช้วิธีนุ่มนวลโดยใช้ศาลก็แล้ว สภาฯ ก็แล้ว ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ทหารดูแลก็เอาไม่อยู่ และวันนี้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ได้เริ่มดำเนินการแล้ว รับหลักการแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่วัน ก็คงเป็นผลสำเร็จ กฎหมายวรรคหนึ่งบอกไว้ชัดเจนว่าบ้านเมืองมีปัญหา รัฐบาลก็ต้องใช้สภาฯ และลงประชามติ แล้วก็ดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ยอมรับผลประชามติจะทำอย่างไร เพราะที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ยอมรับการตัดสินของศาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็บัดนี้ให้ประชาชนทั้งประเทศได้ลงประชามติ ประกาศคะแนนออกมาเท่าไร จะได้ดูใจกันว่าคนไทยจะอยู่กันแบบไม่มีกฎเกณฑ์เท่าไร อยู่แบบรักษากฎเกณฑ์เท่าไร และวันนี้สื่อต้องใช้วิจารณญาณกันบ้าง ช่วยกันทำข่าว อะไรที่ทำให้บ้านเมืองหวาดวิตก ประชาชนต้องตื่นเต้นก็ควรจะต้องใช้วิจารณญาณกันบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะมีการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เจรจา เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ บอกแล้วว่า ไม่อยากเจรจากับนายกฯ และตนก็ไม่ควรต้องไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนที่ประธานวุฒิสภาจะเป็นตัวกลางในการประสานงานนั้น ก็เป็นเรื่องของประธานวุฒิสภา แต่ที่ประหลาดใจคือในบ้านเมืองนี้ไม่เห็นมีการยึดหลักเกณฑ์ มีคนมาตั้งคณะแล้วมาเรียกร้อง ถ้ายอมอย่างนี้แล้ววันข้างหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีคณะมาบอกว่าให้ออกไป ใครจะยอมหรือไม่ ตนทำเพื่อใคร ก็เพื่อรักษาสถานการณ์ของบ้านเมือง ไม่ให้ชาวโลกดูแคลน คนที่ออกมาไล่กลับถูกต้อง คนที่อยู่ไม่ถูกต้อง และขอประกาศเลยว่าไม่มีวันยอมให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้ผล จะประกาศยกเลิกก่อนหรือจะดำเนินการอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วมีคนขัดขืนจะทำอย่างไร ความจริงพระราชกำหนดฉบับนี้อยู่ได้ 3 เดือน แต่ก็คงไม่ปล่อยไว้อย่างนั้น อีก 1-2 วัน จะหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไร เมื่อคนอยู่ในขอบเขตแล้ว และไม่ต้องใช้พระราชกำหนดก็คงจัดการได้ไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าจะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเมื่อประกาศแล้ว เขาไม่เคารพก็ไม่รู้ออกทำไม ที่ผ่านมาก็ปรึกษาหารือกันก่อนที่จะออก ครั้งนี้จะพิจารณาทำอย่างไรก็ต้องหารือกันก่อน แต่การหารือกันต้องแสดงความรู้สึกจริงใจต่อกัน อย่างไรก็ตาม ตนและผู้บัญชาการทหารบกได้พูดคุยกัน และการประชุม ครม. ที่ผ่านมาที่ต้องมีการประกาศตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) และให้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีนั้น เพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องถึง 21 คน จึงต้องใช้ ครม. มีมติมอบหมายให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้ดำเนินการ แต่กลับมีการกระแนะกระแหนว่านายกรัฐมนตรีกับผู้บัญชาการทหารบกขัดแย้งกัน รวบอำนาจไว้คนเดียว ทั้ง ๆ ที่ก่อนที่จะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ได้มีการพูดคุย และดูภาพถ่ายกัน นานกว่า 2 ชั่วโมง จึงต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
“ผมเชื่อว่าคนไทยไม่มีวันก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองอย่างที่หลายคนพูด เพราะคนไทยทุกคนรักบ้านรักเมือง ไม่ต้องเอ่ยถึงคำนี้ เพราะไม่มีเหตุผล คนหยิบมือเดียว มาอยู่ตรงนี้ แล้วมีคนเอ่ยว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีอาวุธ ตำรวจ ทหาร ก็ไม่อาวุธ แล้วตกลงรัฐบาลที่เป็นคนรักษาบ้านเมืองเป็นคนผิดหรืออย่างไร แล้วจะมาบอกว่าผิดทั้งคู่ก็ไม่ได้ ผมเป็นคนรักษาบ้านเมืองให้เรียบร้อย และขอยืนยันว่านโยบายที่ทำนี้เหมาะสม ทหารและประชาชนทั้งประเทศเห็นชอบ คนบางส่วนที่ไม่เห็นชอบก็ไม่เป็นปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--