รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่าประเทศไทยจะปรับเวลาให้เร็วขึ้นหรือช้าลง 30 นาที โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551ว่า ไม่เป็นความจริง
วันนี้ เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่าประเทศไทยจะปรับเวลาให้เร็วขึ้นหรือช้าลง 30 นาที โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 ว่า จากการตรวจสอบกับกรมอุทกศาสตร์ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ส่วนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 นั้น คือ เรื่องของประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ.2550 ซึ่งมีใจความว่า “เพื่อให้ข้อมูลจราจรมีความถูกต้องและนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง ผู้ให้บริการต้องตั้งนาฬิกาของอุปกรณ์บริการทุกชนิดให้ตรงกับเวลาอ้างอิงสากล (Straturn 0) โดยผิดพลาดไม่เกิน 10 มิลลิวินาที” ทั้งนี้การตั้งเวลาดังกล่าวหมายถึงการตั้งนาฬิกาของอุปกรณ์บริการทุกชนิดให้ตรงกับเวลาจากนาฬิกาอะตอมซีเซียม ของกรมอุทกศาสตร์ หรือของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ โดยผิดพลาดไม่เกิน 10 มิลลิวินาที ซึ่งทำได้โดยการใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เข้าเทียบเวลากับระบบให้บริการเทียบเวลาทางอินเตอร์เน็ตของกรมอุทกศาสตร์ หรือของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ โดยผู้ที่จะต้องเทียบเวลาให้ได้มาตรฐานดังกล่าวประกอบด้วย ผู้ให้บริการแก่บุคคลทั่วไปในการเข้าสู่อินเตอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยระบบอื่น ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและการกระจายภาพและเสียง ผู้ให้บริการการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้ให้บริการในการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การตั้งเวลาตรงนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไป แต่หากต้องการเทียบเวลาให้ตรงตามมาตรฐานก็สามารถเทียบได้ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 181 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการการเทียบเวลาให้ด้วย
นอกจากนี้รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังแจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพ ที่มีการหลอกลวงประชาชนให้โอนเงินจากตู้ ATM โดยมีประชาชนที่ถูกหลอกลวงร้องเรียนว่ามีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโทรศัพท์ไปตามบ้านต่าง ๆ บอกว่าจะคืนภาษีให้โดยให้ประชาชนไปที่ตู้ ATM โอนเงินให้ ซึ่งปรากฎว่าถูกหลอก ก็ขอให้ประชาชนระมัดวังอย่าหลงเชื่อหากมีผู้มาแอบอ้างเหมือนกรณีดังกล่าว เนื่องจากกรมสรรพากรไม่ได้มีวิธการที่จะให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเช่นนั้นแต่อย่างใด
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่าประเทศไทยจะปรับเวลาให้เร็วขึ้นหรือช้าลง 30 นาที โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 ว่า จากการตรวจสอบกับกรมอุทกศาสตร์ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ส่วนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 นั้น คือ เรื่องของประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ.2550 ซึ่งมีใจความว่า “เพื่อให้ข้อมูลจราจรมีความถูกต้องและนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง ผู้ให้บริการต้องตั้งนาฬิกาของอุปกรณ์บริการทุกชนิดให้ตรงกับเวลาอ้างอิงสากล (Straturn 0) โดยผิดพลาดไม่เกิน 10 มิลลิวินาที” ทั้งนี้การตั้งเวลาดังกล่าวหมายถึงการตั้งนาฬิกาของอุปกรณ์บริการทุกชนิดให้ตรงกับเวลาจากนาฬิกาอะตอมซีเซียม ของกรมอุทกศาสตร์ หรือของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ โดยผิดพลาดไม่เกิน 10 มิลลิวินาที ซึ่งทำได้โดยการใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เข้าเทียบเวลากับระบบให้บริการเทียบเวลาทางอินเตอร์เน็ตของกรมอุทกศาสตร์ หรือของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ โดยผู้ที่จะต้องเทียบเวลาให้ได้มาตรฐานดังกล่าวประกอบด้วย ผู้ให้บริการแก่บุคคลทั่วไปในการเข้าสู่อินเตอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยระบบอื่น ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและการกระจายภาพและเสียง ผู้ให้บริการการการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้ให้บริการในการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การตั้งเวลาตรงนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไป แต่หากต้องการเทียบเวลาให้ตรงตามมาตรฐานก็สามารถเทียบได้ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์ 181 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการการเทียบเวลาให้ด้วย
นอกจากนี้รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังแจ้งเตือนประชาชนระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพ ที่มีการหลอกลวงประชาชนให้โอนเงินจากตู้ ATM โดยมีประชาชนที่ถูกหลอกลวงร้องเรียนว่ามีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโทรศัพท์ไปตามบ้านต่าง ๆ บอกว่าจะคืนภาษีให้โดยให้ประชาชนไปที่ตู้ ATM โอนเงินให้ ซึ่งปรากฎว่าถูกหลอก ก็ขอให้ประชาชนระมัดวังอย่าหลงเชื่อหากมีผู้มาแอบอ้างเหมือนกรณีดังกล่าว เนื่องจากกรมสรรพากรไม่ได้มีวิธการที่จะให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเช่นนั้นแต่อย่างใด
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--