นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารบกเดินทางตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และรอบปราสาทพระวิหาร พร้อมทำข้าวหน้าไก่เลี้ยงทหารไทย
วันนี้ (18 ส.ค.) เวลา 08.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ลงที่ อบต.ตาเมียง จังหวัดสุรินทร์ โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และคณะ รอต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้ทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับ และได้เข้าชมโบราณสถานปราสาทตาเมือนธม พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ ก่อนเดินทางต่อไปยังปราสาทพระวิหาร
ต่อมาเวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้บัญชาการทหารบกและคณะ ได้มาถึงบริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว สนามหน้าโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีนายไมตรี อินทุสุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และ พันเอก ชยันต์ หวยสูงเนิน รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พบปะพูดคุยกับคณะที่มาคอยให้การต้อนรับ พร้อมทักทายกับนักเรียนประมาณ 200 คน ที่มาคอยให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเองด้วย
จากนั้นคณะของนายกรัฐมนตรีได้ออกเดินทางโดยรถตู้ ขึ้นไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และเข้าไปภายในห้องประชุมเพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ปัญหาปราสาทพระวิหาร จากคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังที่รับฟังบรรยายสรุปแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ให้โอวาทแก่กำลังทหารว่า ขอให้ทหารทุกคนช่วยกันรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับกัมพูชา เนื่องจากว่าประเทศไทยถือเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มอาเซียน โดยหากไทยจะใช้กำลังทหารก็สามารถทำได้ แต่จะเป็นการทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้น หากมีการยุยงให้เกิดความแตกแยก ขอให้ทหารอย่ายึดถือ และทำหน้าที่ของตนต่อไป ส่วนตนจะทำหน้าที่ในฐานะผู้นำรัฐบาลให้ดีที่สุด
ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังบริเวณด้านหลัง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ซึ่งได้มีการกางเต็นท์ไว้จำนวน 5 หลัง ติดกับหน้าผามออีแดง โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงมือปรุงข้าวหน้าไก่ ให้ทหารไทยทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร และสื่อมวลชนทุกแขนงได้รับประทาน
เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ในส่วนกำลังทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยรอบปราสาทพระวิหารขณะนี้นั้น ได้มีการปรับกำลังทหารที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาราบนเขาพระวิหารลงแล้ว โดยเหลือทหารไทยและทหารกัมพูชาเพียงฝ่ายละ 10 นายเท่านั้น และรอบบริเวณวัดเหลือทหารทั้งสองฝ่ายเพียงฝ่ายละ 20 นาย ส่วนบริเวณรอบนอกเหลือทหารกัมพูชา 500 นาย ทหารไทย 300 นาย ซึ่งการมาครั้งนี้ก็ได้เห็นและรับทราบปัญหาต่าง ๆ พร้อมทั้งทำข้าวหน้าไก่ให้ทหารไทยได้รับประทานกัน โอกาสที่นายกฯ จะทำอาหารให้ทหารทานนั้นมีไม่บ่อยนักแต่เพื่อขวัญกำลังของทหาร ซึ่งรสชาติจะอร่อยเป็นพิเศษเพราะทำบนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เบี้ยเลี้ยงทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บนเขาพระวิหาร และเขตพื้นที่ต่าง ๆ ได้รับเพียงวันละ 21 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจะเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อหาทางช่วยเหลือทหาร เพราะต้องการให้ทหารไทยทุกคนมีเงินเบี้ยเลี้ยงเหลือกลับเอาไปบ้านให้ลูกเมีย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารทุกนาย ส่วนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บนเขาพระวิหาร ขณะนี้ปรับกำลังทหารแล้ว และขอให้สื่อมวลชนทุกแขนงใช้คำว่าปรับกำลังทหารเท่านั้น ไม่ควรใช้คำว่าถอนกำลังทหารอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ใช่การถอนกำลังทหาร คาดว่าเร็ว ๆ นี้สถานการณ์ที่เขาพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม คงเข้าสู่สภาวะปกติและเกิดประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาอย่างแน่นอน
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (18 ส.ค.) เวลา 08.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ลงที่ อบต.ตาเมียง จังหวัดสุรินทร์ โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และคณะ รอต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้ทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับ และได้เข้าชมโบราณสถานปราสาทตาเมือนธม พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ ก่อนเดินทางต่อไปยังปราสาทพระวิหาร
ต่อมาเวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้บัญชาการทหารบกและคณะ ได้มาถึงบริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราว สนามหน้าโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีนายไมตรี อินทุสุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และ พันเอก ชยันต์ หวยสูงเนิน รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้การต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พบปะพูดคุยกับคณะที่มาคอยให้การต้อนรับ พร้อมทักทายกับนักเรียนประมาณ 200 คน ที่มาคอยให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเองด้วย
จากนั้นคณะของนายกรัฐมนตรีได้ออกเดินทางโดยรถตู้ ขึ้นไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และเข้าไปภายในห้องประชุมเพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ปัญหาปราสาทพระวิหาร จากคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังที่รับฟังบรรยายสรุปแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ให้โอวาทแก่กำลังทหารว่า ขอให้ทหารทุกคนช่วยกันรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับกัมพูชา เนื่องจากว่าประเทศไทยถือเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มอาเซียน โดยหากไทยจะใช้กำลังทหารก็สามารถทำได้ แต่จะเป็นการทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้น หากมีการยุยงให้เกิดความแตกแยก ขอให้ทหารอย่ายึดถือ และทำหน้าที่ของตนต่อไป ส่วนตนจะทำหน้าที่ในฐานะผู้นำรัฐบาลให้ดีที่สุด
ต่อมานายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังบริเวณด้านหลัง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ซึ่งได้มีการกางเต็นท์ไว้จำนวน 5 หลัง ติดกับหน้าผามออีแดง โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงมือปรุงข้าวหน้าไก่ ให้ทหารไทยทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร และสื่อมวลชนทุกแขนงได้รับประทาน
เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ในส่วนกำลังทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่โดยรอบปราสาทพระวิหารขณะนี้นั้น ได้มีการปรับกำลังทหารที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสะวาราบนเขาพระวิหารลงแล้ว โดยเหลือทหารไทยและทหารกัมพูชาเพียงฝ่ายละ 10 นายเท่านั้น และรอบบริเวณวัดเหลือทหารทั้งสองฝ่ายเพียงฝ่ายละ 20 นาย ส่วนบริเวณรอบนอกเหลือทหารกัมพูชา 500 นาย ทหารไทย 300 นาย ซึ่งการมาครั้งนี้ก็ได้เห็นและรับทราบปัญหาต่าง ๆ พร้อมทั้งทำข้าวหน้าไก่ให้ทหารไทยได้รับประทานกัน โอกาสที่นายกฯ จะทำอาหารให้ทหารทานนั้นมีไม่บ่อยนักแต่เพื่อขวัญกำลังของทหาร ซึ่งรสชาติจะอร่อยเป็นพิเศษเพราะทำบนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เบี้ยเลี้ยงทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บนเขาพระวิหาร และเขตพื้นที่ต่าง ๆ ได้รับเพียงวันละ 21 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจะเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อหาทางช่วยเหลือทหาร เพราะต้องการให้ทหารไทยทุกคนมีเงินเบี้ยเลี้ยงเหลือกลับเอาไปบ้านให้ลูกเมีย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารทุกนาย ส่วนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บนเขาพระวิหาร ขณะนี้ปรับกำลังทหารแล้ว และขอให้สื่อมวลชนทุกแขนงใช้คำว่าปรับกำลังทหารเท่านั้น ไม่ควรใช้คำว่าถอนกำลังทหารอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ใช่การถอนกำลังทหาร คาดว่าเร็ว ๆ นี้สถานการณ์ที่เขาพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม คงเข้าสู่สภาวะปกติและเกิดประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาอย่างแน่นอน
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--