แท็ก
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
นายสมัคร สุนทรเวช
กรมประชาสัมพันธ์
สนทนาประสาสมัคร
นายกรัฐมนตรี
บรูไน
นายกรัฐมนตรีเผยผลการเยือนจีนและบรูไน พร้อมสนับสนุนเอกชนเข้าไปลงทุนธุรกิจอาหาร Halal ในบรูไน ขณะเดียวกันได้ชี้แจงคดีปราสาทพระวิหาร
รายการ “สนทนาประสาสมัคร”
โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
--------------------------------------
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ 08.30 น. วันอาทิตย์พระเทศน์เสร็จก็ย้ายมาฟังสนทนาประสาสมัคร วันนี้ได้บอกใครต่อใครเขาบอกว่า ถามถึงเรื่องคดีปราสาทพระวิหาร บอกเดี๋ยวจะมาคุยให้ฟังวันนี้ แต่รายการไม่ยาวครับอยู่ตอนหลัง เวลาที่ต้องคุยให้ฟังคือว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่เมืองไทยเพียงเมื่อวานนี้กับวันนี้เท่านั้นละครับ 5 วันก็ไปอยู่ต่างประเทศ ไปทำหน้าที่นะครับ ได้สนทนากับจีนเพราะพูดจากันไว้ว่าจะไปเยี่ยม รายการจีนตกลงกันไว้ว่าเสร็จจากอาเซียน 9 ประเทศจะไปจีนเป็นประเทศแรก ตอนที่เกิดไปป่วยไข้ซะตอนกลับจากลาว ก็เคลื่อนฟิลิปปินส์กับบรูไน ซึ่งนัดอยาก ทางบรูไนก็นัดอยาก และเสร็จเรียบร้อยท่านก็นัดให้ บังเอิญท่านมานัดตอนนี้ จีนเลยต่อ พอจีนกำลังจะเดินทางไปแล้ว ก็เกิดแผ่นดินไหว ก็ต้องเคลื่อน ก่อนจะไป 2 วันเท่านั้น เลยเลื่อนเข้ามา จนกระทั่งมาต่อกัน ไปจีนและไปบรูไน 5 วัน จีน 3 วัน บรูไน 2 วัน ก็ควรจะต้องเล่าให้ฟังนะครับไปทำงานมา ไม่ได้ไปเที่ยว
ชักชวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยช่วง low season
จริงๆ คือการไปจีนมีเหตุนะครับ จริง ๆ วันที่ไปถึง 30 มิถุนายน แต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันครบรอบ 33 ปีของสัมพันธภาพระหว่างไทยกับจีน วันแรกไปก็ได้พบท่านนายกรัฐมนตรีจีนก็เจรจาความกันเรื่องที่ต้องพูดกัน คือเรื่องงานต่าง ๆ เขามีเรื่องการค้าซึ่งยังไม่สมบูรณ์แบบ ก็ค้ากันดีเรียบร้อยดี FTA ก็ดี ก็ไปเติมเรื่องการค้าหน่อย และเติมเรื่องการลงทุน เรื่องการท่องเที่ยว เราก็อยากได้นักท่องเที่ยวมามากขึ้น หนังสือพิมพ์ทางนี้ว่าเลยหาว่าโง่เง่า เหมือนกับว่าเขาไม่เอามาแล้วนักท่องเที่ยวจีน ไม่ละครับเขาเปลี่ยนแปลง เขามีคุณภาพ เขาไม่ได้เอาทัวร์ศูนย์เหรียญมารุงรังพันเตอย่างนั้น และที่ไปเจรจาความกับท่านคือว่าอยากให้มาระหว่างเดือนที่ไม่พีค เขาไม่เรียกว่า high season มา low season คือมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน มีเหตุคือชวนให้เขามาในอีก 4 เดือนที่ว่ากำลังจะแห้งแล้ง ไม่มีแขกไม่มีอะไร อยากให้เขามาตอนนั้น โรงแรมก็ครึ่งราคา อาหารก็ถูกกว่า ทั้งหมดพูดกันไว้เชียงใหม่ ก็เอาสิ่งที่พูดไว้ไปเจรจาความ คือให้เขามาเพราะบ้านใกล้เรือนเคียง บิน 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เข้ามาถึงเมืองไทย เขาบอกให้มาฝนฟ้าอย่างไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไรนัก มีฝนตกหน่อยเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวอื่นเขาไม่มา เรียกว่า low season ก็ไปทำงานอย่างนี้ เพื่อจะเอาคนมาให้เติม ในประเทศไทยผมยังทำเลย เวลาที่สัมมนามีงบสำหรับสัมมนา แต่ว่าไม่ออกเป็นคำสั่ง แต่ได้ออกเป็นคำแจ้งขอร้องไปว่าสัมมนาให้สัมมนากันเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ออกไปสัมมนาต่างจังหวัดอย่างเคย คือเวลาที่ high season ดันไปเข้าโรงแรมแข่งกับเขา ไปขอจองเขา ไม่สมควร แต่โรงแรมจะตายแห้งแล้ง นั่นละควรออกไปสัมมนา 4 เดือน
เห็นไหมครับ เราก็เป็นคนมีความคิดนี่ครับ ควรจะต้องทำอย่างไรแก้ไขอย่างไร เพราะฉะนั้น ไปชวนนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวจีนเป็นคนอันดับหนึ่งที่มาเที่ยวประเทศไทย และพูดจาขอร้องหมายความว่าให้เขารู้ว่าถ้าจะมาเมืองไทยถูกยิ่งกว่าเก่าอีก คือให้มาตอน low season แต่ต้องพูดกับทางไทยว่าต้องถูก ต้องถูกจริง โรงแรมเหลือครึ่งราคา อาหารการกินเหลือครึ่ง อย่างนี้เขาจะได้เข้ามาในยามที่เราไม่มีแขก ก็โดนด่านะครับ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทำแทบตาย นายกฯ ไปทำจะไปเอาทัวร์ศูนย์เหรียญเข้ามา คือไม่รู้แล้วพูด หมอนี่อยู่คอลัมน์หน้า 4
จีนถ่ายทอดเทคโนโลยีเกี่ยวกับดินขับให้ไทย
ถัดไปก็คุยกันเรื่องทัวร์เสร็จเรียบร้อย ก็ได้พบชุมชนชาวไทย ได้พบปะพูดจากัน การพบปะกับชุมชนชาวไทยก่อนนี่มีประโยชน์ แล้วพบกับท่านนายกฯ จีนทีหลัง เวลาไปถึงมี 2 ท่อนคือเขาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งดำเนินการเท่ากับระดับผม และเขามีประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้บริหารส่วนหนึ่งด้วย คือบริหารเกี่ยวกับงานทหาร ก็ได้พบประธานาธิบดี ก็คุยกัน ก็แสดงความเสียใจที่เหตุเกิดอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ก็บอกเขา และก็แสดงความยินดีที่งานโอลิมปิกของเขาในที่สุดก็ทำได้เรียบร้อย พอเสร็จเรียบร้อยเราก็คุยทีละเรื่อง บอกเขาว่าเรื่องแสดงความเสียใจ แสดงความยินดี และก็บอกว่าผูกพันไมตรีมา 33 ปียังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นโยบายจีนเดียวก็จีนเดียว คุยแต่ละเรื่อง ๆ แต่ที่เรื่องสำคัญคือท่านประธานาธิบดีท่านเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ว่าการทหารของจีนใหญ่ที่สุด ก็มีความร่วมมือกันทางทหาร ผมก็มาอยู่กับทหาร 4 เดือน เขามีการร่วมมือกัน คือจีนได้ให้สิ่งซึ่งไม่ได้ให้ใครในโลก คือการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องดินขับ คือจีนคิดประทัดได้เมื่อ 4,000 ปีก่อน เรื่องดินขับดินระเบิดเทคนิคเขาชั้น 1 เขาตกลงจะถ่ายทอดให้ไทย จะทำลูกกระสุน ลูกปืน ทำจรวด ถ่ายให้ และเขาก็ตกลงกับกองทัพบก ผมก็เรียนท่านประธานาธิบดีว่าเราไม่ได้ให้แต่กองทัพบกทำ เราต้องการให้ทัพเรือ ทัพอากาศ ร่วมมือด้วย เราบอกเราทำไว้ป้องกันประเทศเรา และก็ขอบคุณเขาในความร่วมมือ จีนไม่เคยฝึกอะไรกับใคร จีนก็ฝึกกับไทย ไทยส่งทหารไปฝึกกันที่กวางโจว ทหารจีนส่งมาฝึกที่เชียงใหม่ เป็นความแลกเปลี่ยนกัน มีคอบบร้าโกลเอาจีนเข้ามาสังเกตการณ์ และคุยกันเรื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ เรื่องอะไรต่าง ๆ ซึ่งไม่สมควรจะบอกละเอียด แต่ว่าบอกว่าได้คุยกัน ผมก็ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีด้วย
พบประธานโอลิมปิกจีน
เสร็จจากท่านประธานาธิบดีแล้วก็มารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็มา ก่อนหน้านั้นท่านประธานโอลิมปิกนายหลิว ฉี พูดง่าย ๆ ว่าคุ้นเคยกันมานาน เพราะว่าผมเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปี 2543 ไปถึงก็เจอกันประชุมกันคุ้นเคยกัน อยู่ประชุมกัน 4-5 วันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีอะไรท่านจะเชิญอีก ผมไปปักกิ่ง 4 หน โดยท่านหลิว ฉี เป็นคนเชิญไป ก็ไปช่วยเขานั่นอะไรต่าง ๆ วันนั้นตอนที่ไปครั้งแรกที่เจอเราเพิ่งแพ้โหวต เราบอกต่อไปนี้สนับสนุนจีนเต็มที่เรื่องโอลิมปิก และก็ทำอย่างนั้นจริง เจอกัน 4 หนได้คุยกันเรื่องถนนหนทาง วงแหวนกี่วง วงสุดท้าย จีนมีวงแหวน 6 วง ในกรุงเทพฯ ได้วงในกับวงนอกเท่านั้น แต่จีนมี 6 วง เขาปรับปรุงแก้ไข ก็ต้องยินดีกับเขา ๆ มาเยี่ยมคำนับเพื่อนเก่าเจอกัน พูดถึงความหลังของเขา พูดถึงว่าที่วิ่งคบเพลิงโอลิมปิก กรุงเทพฯ ดูแลให้เรียบร้อย นั่นละครับที่ประเทศจีน
เสร็จจากปักกิ่งแล้วลงมาที่กวางโจว ลงมากวางตุ้ง ๆ เมืองหลวงคือกวางโจว ผมไปกวางโจวมาเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ยังแย่ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่บัดนี้มาเมืองกวางโจว ขึ้นไปดูบนตึกชั้น 30 ของโรงแรมแชงกรี-ลา ทางขวาเป็นแม่น้ำจูเจียง สวยงาม ทางขวามือ เป็นเหมือนอิมแพคที่เมืองทองธานี เป็นศูนย์การประชุม กวางตุ้งมีงานประชุม Expo ปีละ 2 หน 6 เดือนมีหน และเวลาจัดงานต้องผลัดกันครับ จัด 10 วันทางนี้เข้า 10 วันทางนี้เข้า แปลว่าแทนที่จะเป็นบริษัทอยู่แช่ 20 วัน เขาเอาข้างละ 10 วัน พูดง่าย ๆ ว่าจัดงานได้ 40 วัน
ดูผลไม้ไทยที่ส่งไปขายตลาดในกวางโจว
ที่ไปกวางโจวเจตนาจริง ๆ ต้องการไปดูเรื่องผลไม้ ผมอยากรู้จริง ๆว่าผลไม้ไทยที่เดินทางไปถึงต่างประเทศนั้น เดินทางอย่างไร ขึ้นไปใต้ท้องเครื่องบินหรือไปเรือ ไม่รู้ ของเราดี แต่ว่าเราต้องพูดเลยนะว่าของดีของเรา ส้มโอ 8 อย่าง ดี 2 อย่าง ลำไยมีกะโหลกสีชมพูเขียวเบี้ยว และมี 2 อัน แต่อันอื่น ๆ นั้นก็เป็นลำไยละครับ เม็ดไม่โต เม็ดข้างในโต อย่างนี้เอาไปได้หรือไม่ ทุเรียนว่าดีตกลงกำลังนี้กินหมอนทองมาตรฐาน จะเอาไปแล้วส่งปลายทางอย่างไร ผมอยากรู้จริง ๆ เพราะฉะนั้น ไปกวางโจวก็เพื่อแบบนี้ไปเลยครับ ไปถึงก็ไปดูเขา อยากดู packaging การเดินทางเป็นอย่างไร การเดินทางก็เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกง 5 วัน ไปตู้คอนเทนเนอร์ มี 2 องศา และอยู่ในนั้น packaging ที่ผมถือ หีบห่อดีมาก เป็นที่พอใจ สวยงามเลย ตามใจเลย 10 กิโลกรัม ลำไย ขอเปิดตรงนั้นเลย เขาตัดและก็ขอชิมตรงนั้นเลย เพราะว่าอยากรู้มานานว่าต้นทาง 6 วันแล้วเป็นอย่างไร 6 วันเปิดมา ก็ใช้ได้ครับ แต่บังเอิญลำไยที่ในนั้นเป็นลำไยก่อนฤดูกาลของเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ลำไยไทยเหมือนกันแต่ว่าเป็นลำไยจันทบุรี และถามสิครับว่าเป็นอย่างไร ก็ใช้ได้ครับ แต่ว่าเขากำหนดว่าระดับ 3 เกรด C ถ้าเป็น A ก็ได้ A ตัวเดียว เขาให้ B ด้วยซ้ำไป ก็เอาไปถึง ทุกอย่างดีครับ แต่เราจะชมเชยอย่างเดียวไม่ได้ เราก็บอกว่าเดือนนี้จะเดือนดี ก็พูดจากัน ลำไย ดูมังคุด เพราะมังคุดเมื่อเวลาที่ พอชวนกินจะขยุ้ม หยิบปั๊บจะเอามือขยุ้ม เราบอกไม่ได้ถ้าจะนั่นหามีดมาหน่อย จะต้องปอกขอบอย่างนี้แล้วเฉือนมา การปอกขอบไม่ใช่เพื่อความสวยงาม สำหรับการทดสอบ ท่านปอกแล้วท่านลองไปดู ซื้อมังคุดตลาดมา และปอก ท่านจะเจอสะดุดไปเดินหน้าไม่ได้ บางอัน 7-8 อันเดินหน้าไม่ได้ นั่นแปลว่ามังคุดไม่ดีนะครับ มังคุดดีไม่ต้องมีจุด ๆ ๆ ๆ เนื้อแน่น ประเภทดันหน้าไม่ได้ มันต้องปรืดตลอดหมด เฉือนปั๊บเปิดออกมา นั่นละครับของดี แต่ที่เอาไปตะกุกตะกัก ๆ กึ๊ก ๆ ๆ ๆ เป็นจุด ๆ ๆ ๆ คือเดินหน้าไม่ได้แล้วปาดออกมา ข้างในเป็นแก้วใสออกมา เป็นแบบสีเหลืองเป็นกำมะถันอยู่ก็มี อย่างนี้ไหวไหมครับ เราต้องบอกตรง ๆ ครับว่าต้องเอาของดีไปให้เขา ไปขายเขา แบบนี้ไป
ทุเรียนเป็นอย่างไร ทุเรียนก็เดินทางเหมือนกันครับใส่ไปกล่องหนึ่ง 9 กิโลฯ packaging ทุกอย่างดี แต่ทว่า ถูกต้องครับทุเรียนต้องเอาขั้วออกหมด หน้าตาทุเรียนนั้น หน้าตาบางทีก็ดีครับ มังคุดก็หน้าตาดี แต่ปอกมาแล้วมันสะดุด ทุเรียนปอกแล้วเป็นอย่างไรครับ คนจีนกินทุเรียนเละเป็นปลาร้า แต่ปอกออกไปแล้วทุเรียนกำลังพอใช้ได้ ไม่เละ ยังไม่เป็นปลาร้า แต่มันจืด ไม่มีรสชาติเลย ความหวานแทบไม่มี มันได้อย่างไรครับ ถ้าความหวานเรากินทุเรียนเมืองไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ไปถึงเมืองจีนมีสัก 40 เปอร์เซ็นต์ แล้วจะเป็นทุเรียนได้อย่างไรครับ ความหอมไม่มี บังคับจนกระทั่งความหอมไม่เหลือแล้ว กินทุเรียนไม่เรอแล้ว ผมเสียใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะผมไปบรูไนแสดงสินค้า OTOP แสดงสินค้า Fruit คือผลไม้ ทุเรียน มังคุด มังคุดก็อีหรอบเดียวกัน ทุเรียนยิ่งแย่ ผมปาฐกถาทูตมา 14-15 ประเทศมาร่วมงาน ผมก็สอดแทรกปาฐกถาคุยกันเป็นภาษาอังกฤษให้เขารู้ คุยเรื่องผลไม้ไทย ผมยังไม่ทราบนะ ผมบอกเราต้องคัดอย่างยอดอย่างดีมาก ผมคุยถึงเรื่องมะละกอแขกดำของเรา ซึ่งทำไมไม่ไปต่างประเทศ มันดีถึงขนาด แต่ไม่ไปต่างประเทศ ไม่รู้เพราะเหตุอะไร แต่คนไทยดันสั่งมะละกอต่างประเทศเข้ามากิน
พอเสร็จแล้วก็คุยเรื่องผลหมากรากไม้ บอกเราต้องเอายอดมังคุด ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ คุยเรื่องกล้วยหอมเป็นอย่างไร ทางอเมริกาไปตัดกล้วยหอม ความหวาน 60 เราบอกตัดที่ 80 เพราะฉะนั้น เราเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ ต่างประเทศมากินกล้วยหอมอร่อยของเราได้ แต่อเมริกากินกล้วยหอมจำบ่ม ปาฐกถาเสร็จเรียบร้อยเชิญทูตมาล้อมวง บอกให้ปอกทุเรียน เห็นทุเรียนออกมาหยิบออกมาผิวเหลืองจ๋อยเลยครับ บอกว่าอย่างนี้เข้าไปข้างในต้องเป็นปลาร้าเหมือนกับ anchovy ว่าอย่างนั้น ภาษาฝรั่ง เชื่อไหมครับลูกเหลืองจ๋อยหน้าตา ถ้าพนันก็เสียเงินครับ กรีดออกมา ข้างในทุเรียนยังดิบอยู่ เปลือกสุกเหลืองจ๋อย ข้างในทุเรียนยังดิบอยู่ กดยังไม่ลง คนวันนั้นเขาก็กินทุเรียนปลาร้ากันทุเรียนนุ่ม แล้วทำอย่างไรครับ นี่แปลว่าทุเรียนจำบ่ม คือรีบตัดกันไป และทำส่งออก เสียหายครับ ต้องคำนวณได้เลยว่าทุเรียนเดินทางกี่วันอย่างไร ต้องคำนวณกันเรื่องนี้ แต่หลับหูหลับตาส่งไปอย่างนี้มันเสียหาย นายกรัฐมนตรีแทบจะเดินเอาปี๊บคลุมหัว เพราะว่าไปเอาของ 2 อย่างให้กิน กินไม่ได้ครับ หยิบให้ดู เอาที่เขาแกะไว้แล้ว ก็พอสุกพอนุ่ม กินไม่มีรสชาติเลย ไม่หวานครับ ได้อย่างไรครับ ไม่หอมไม่ว่า ไม่หวาน อย่างนี้สำนวนบอกต้องเอาปี๊บคลุมหัว ผมอยากหาปี๊บคลุมหัว เพราะปาฐกถาเอาไว้เสร็จเรียบร้อย ทูตขรตรีเศียรมา
เสร็จแล้วปรากฏว่าอย่างนี้นะครับ นี่นายกรัฐมนตรีไปตรวจเอง ผมถึงอยากรู้จริง ๆ ว่าปลายทางเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลายที่ส่งมังคุดออก ท่านลองดูว่าสวนไหนเอามา ท่านเอามาปอกขอบดูก่อนนะ แล้วสักปรืดลงไปแล้วเปิดออกมา ถ้ามันเดินหน้าตลอด นุ่มตลอดหมด นั่นดีครับดีแน่นอน แต่เดินไปติด ๆ ๆ ๆ 6 หน 7 หน มันเป็นจุดคือเนื้อเป็นไต เปลือกเป็นจุดแข็งรอบ ๆ พอสักลงไปเปิดออกมา มังคุดข้างในก็ไม่ดี แล้วส่งอย่างนี้ไปต่างประเทศ ลำไย ผมยกเว้นให้ เดี๋ยวท่านอาจารย์สุกรีจะมาโกรธผม เพราะว่าเขาซื้อจากกรุงเทพฯ กิโลฯ ละ 25 ไปถึงโน่นกิโลฯ ละ 55 ผมก็กลั้นใจบอกว่ามีหลายเกรด ก็คุณใส่เกรดอย่างนี้ถูกต้องแล้ว
มะม่วงไม่ต้องตรวจสอบแล้ว พอใช้ได้เพราะว่ามาตรฐานดี แต่ว่า 2-3 อย่างนี้เพิ่งไป คือไปได้และมาตรฐานไปก็ส่งกันใหญ่ เป็นตู้คอนเทนเนอร์เลยครับ ทำ packaging ทำ case ใส่ไป ลำไยหายใจได้ดี แต่น่าเสียดายไหมละครับ แกะออกมาแล้วมันไม่เจ๋ง นี่พูดกันตรง ๆ ละครับ ใครจะโกรธก็โกรธ แต่เราทำเพื่อจะให้ได้รู้ว่า ความที่ถูกที่ควรมันคืออย่างไร อย่างส้มโอจะกี่ตระกูล ก็ของใครว่าของใครดี อย่างนี้ต้องเหลือ 2 พันธุ์ เหลือขาวน้ำผึ้งกับทองดีเท่านั้นที่ไปได้ ส้มโอต้องไม่ใส่ตู้เย็นนะครับ ส้มโอต้องไปเปิดให้มันธรรมดา เพราะจะได้ลืมต้นสัก 2 อาทิตย์ยิ่งดี 2 อาทิตย์แล้วลืมต้นแล้วเปิดออกมาส้มโอดี นี่ยังไม่ได้ดูรายละเอียดเรื่องส้มโอ เพราะเหตุว่าเวลานั่นลูกเต่งตึงมีขั้ว ไม่ได้ละครับ ส้มโอต้องเริ่มสัก 15 วันให้เปลือกเหี่ยวข้างในถึงจะหวาน
ยิ่งดูสับปะรดแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่าไปมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ ที่บรูไนไปประเทศสุดท้ายไปเยี่ยม และได้พบกับทีมคนไทยก่อน และจะเฝ้าฯ ทีหลัง พบกับทีมคนไทยก็ดีนะครับ คนไทยมานั่งคุยมีงาน 10 ประเภท 9 ประเภทดีหมด อยู่ทางนี้มีความสุข ทำธุรกิจทุกอย่างดีหมด แต่ทว่าการบินไทยหมดบิน บอกว่าผู้โดยสารไม่เต็ม ขาดทุน เลิกบินเลยครับ คือทั้งหมดมีเสียหายอันเดียวการบินไทย แต่ว่าที่การบินไทยหยุดบินนี่ละครับ มันเป็นคำตอบว่า ประเทศนี้เขาก็เบาบางลงไปทุกอย่าง เนื้อที่เขา 5,700 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ประชากรมี 380,000 เท่านั้น ผมไปบรูไนเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ปีหนึ่งก่อนรับเอกราช ไปมาตอนนั้นประชากร 300,000 เวลา 25 ปีประชากรเพิ่มขึ้น 80,000 ก็ดีนะครับ แต่ว่าทุกอย่างไปทำอะไรเพื่อจะนั่น ไม่ได้ครับ นอกจากงานก่อสร้าง งานน้ำมัน ถึงได้สตางค์ วันนี้ต้องไปคิด
สนับสนุนเอกชนเข้าไปลงทุนธุรกิจอาหาร Halal ในบรูไน
ผมได้เฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ทรงฝากถามถึงพระสุขภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้กราบบังคมทูลไป และทุกอย่างคือสนทนาเป็นเรื่องธรรมดาก่อน แล้วย้ายห้องไปประชุมเรื่องธุรกิจ ก็ไม่มีปัญหาอื่น เพราะ 2 ประเทศนี้ ที่นั่นมีเงิน ทางเรามีเทคโนโลยี มีงาน มีคน เวลานี้ทำอย่างไร ทุกอย่างเบาบางลงหมด ทางบรูไนอยากจะได้เป็น Halal Food Center เราก็จะทำ แต่ผมคิดปั๊บ ผมตัดสินใจผมเองเลยบอกว่า ถ้าทรงจะสนับสนุนที่บรูไน เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าบริษัทใหญ่ ๆ ของเรามีธุรกิจ มีความสามารถมาก แต่เขาอาจจะไม่อยากเอาเงินไปลงที่นั่น ธุรกิจนี้ทำแล้วออกได้เลยครับ แต่ให้บรูไนทำดีไหม ดีครับ เพราะอาหาร Halal เขาจะส่งตะวันออกกลาง ส่งอะไรต่ออะไรหมด เขาเป็นตัวต่อ Brand ของเขา แต่ไทยลงทุน ผมสนับสนุน กราบบังคมทูลสมเด็จพระราชาธิบดีบอกว่าให้บรูไนลงทุนเลย ผมจะมาชวนอย่างน้อย ๆ 2 บริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ไปทำอาหาร Halal ที่นั่น ทำแล้วส่งขายคนบรูไนไม่ได้ครับ คน 380,000 ไม่ได้หรอกครับ ต้องส่งคนในโลกนี้
อันนี้ละครับที่ตกลงว่าสนับสนุน และก็กราบบังคมทูลสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนว่าเมืองนี้แม้จะ 5,700 ตารางกิโลเมตร แต่ปัจจัยของเมืองนี้มากมาย ประเทศไทยบังเอิญมีธุรกิจ มีเทคโนโลยีทางการอาหาร การผลิต การอะไรต่าง ๆ เรามีพร้อม เพราะฉะนั้น ที่เราขาดคือเงิน ทางเราถ้าบริษัทจะมาทำที่บรูไน เรายินดีนะ ไม่ใช่ทำเพื่อจะให้คนบรูไนจะบริโภค ไม่ได้ละครับ 380,000 แต่ว่าส่งออกทั่วโลก แต่ให้ผลิตที่ในประเทศบรูไน เพราะเงินของเขาบอกเขามีไม่อั้น เรื่องนี้พอลองเริ่มก่อสร้าง คนไทยก็ได้เข้าไปทำงานอีกแล้ว ทำโรงงานเสร็จคนไทยก็เข้าไปทำงานอีกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เจรจาความกันเรื่องแบบนี้ ทั้งหมดก็อยู่ที่บรูไน แล้วก็ได้มานี่ รุ่งขึ้นก็มีงานเรียกว่าการแสดงสินค้า OTOP และผลไม้ จากประเทศไทย ท่านทูตก็ดี เชิญทูตต่าง ๆ มา ไม่ได้ละครับ ท่านเชิญมาแล้วท่านบอกให้ผมตัดริบบิ้น ผมบอกขออนุญาตแหวกคิวหน่อย คุยอยู่ประมาณสัก 20 นาที คุยเรื่องผลหมากรากไม้อะไรต่าง ๆ เสร็จแล้วไปเจอของจริงเข้า หน้าหงายเลย มันต้องให้ได้เรื่องอย่างนี้ครับ ไปพบมาแล้วอย่างนี้ ทั้งหมดก็รายงานให้ทราบครับ เดินทางออกประเทศ กำลังนี้ไปมาแล้ว 10 ประเทศแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีครับ เดินทาง
ชี้แจงกรณีสื่อเสนอข่าวนายกฯ กุข่าวถูกจับตัวที่สนามบิน
ทีนี้ก็ถึงตาที่ผมจะต้องคุยกับท่านผู้ชมทั้งหลายหน่อย คือว่าวันนี้อยากจะเริ่มต้นด้วยภาษาไทยอาทิตย์ละหลายคำ เริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้นว่า เขาลงข่าวว่า สมัครกุข่าวเรื่องถูกจับตัวที่สนามบิน เรื่องกุข่าวจับตัวสนามบิน ฟังอย่างนี้เหมือนกับเอาข่าวว่าถูกจับแล้วมาทำ แล้วไม่ได้ถูกจับจริง แล้วข้อเท็จจริงอย่างนั้นออกข่าวกันเอิกเกริกเลยครับ กุข่าวว่าถูกจับที่สนามบิน ผมก็เล่าให้ฟังแต่เพียงว่า ผมถูกผู้สื่อข่าวถามตอนอยู่ประเทศจีน ถามว่ามีข่าวว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาวันศุกร์ เผื่อไปลงเครื่องบินแล้วจะจับตัวไปฟังคำพิพากษาเลย และก็ทำกันอย่างนั้น ได้ข่าวก็พูดจาทำนองว่าจะไม่ได้ประกัน ก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แม้แต่วันเดียวก็ไม่ได้เป็นแล้วครับ ผมก็บอกว่านี่เป็นข่าวลือ อย่างนี้วันหลังจะส่งข่าวลือมาให้แนบเนียนหน่อย อธิบายความว่าผมไม่เคยได้ยินข่าวนี้หรอก แต่ข้อเท็จจริงคือคดีความผมอยู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์นั้นจะเป็นคนวินิจฉัย ท่านจะอ่านเมื่อไรท่านต้องแจ้งให้ผมทราบ คือต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แล้วผมก็ไปฟังคำพิพากษา ฟังคำพิพากษาเสร็จจะลงโทษอย่างไรก็ตามแต่ ต่อไปผมก็ต้องประกันตัว ก็เท่านั้นเอง ถ้าแจ้งมาบอกให้ฟัง ไม่ไป แจ้งมาอีกหนไม่ฟัง ท่านก็จะออกหมายจับผม และท่านจะอ่านลับหลัง ก็เท่านั้นเอง ผมก็อธิบายความว่าถ้าจะเอาข่าวอย่างนี้ออกให้แนบเนียนหน่อย
พอมาถึงกรุงเทพฯ กลายเป็นว่าสมัครกุข่าวถูกจับสนามบิน ก็ผมไปบน.6 (ท่าอากาศยานทหาร (กองบิน 6)) มีคำอธิบายอีกนะ สมัครจะหลีกเลี่ยงไม่ลงสุวรรณภูมิให้มาลง บน. 6 ก็ผมไปเครื่องบินทหารอากาศ ขาออกก็ไปบน.6 ขากลับก็ลง บน. 6 ขาไปผู้บัญชาการทหารอากาศก็มาส่ง ขากลับท่านก็มารับ เหมือนกับว่าผมจะเอาเครื่องบินพาณิชย์ที่จะต้องลงตรงนั้นบังคับให้มาลง บน. 6 มันบ้ากันขนาดนี้ครับ แต่ที่บ้าเกินไปกว่านั้นคือว่า เขาบอกเลยว่า พาดหัวข่าว สมัครกุข่าวอย่างนี้ ปชป.เลยบอก 5 พรรคให้ถอนตัว ทำไมละครับ ภาษาไทยคำว่า “กุ” แปลว่า คนที่เป็นตัวข่าวเอาออกข่าวมาเอง อย่างนั้นเรียกว่ากุข่าว แต่ถ้าเผื่อว่าหนังสือพิมพ์อยู่ดี ๆ เขียนข่าวขึ้นมาเองเรียกว่า “ เต๊า” สำนวนที่เขาเรียก เต๊าข่าว พอมีอะไรข่าวเขียนขึ้นมาเอง เต๊าข่าว แต่คนที่ถูกเป็นข่าวแล้วอ้างว่าอย่างนั้นเขาเรียก กุข่าว กุก็ใช่ เต๊าก็ใช่
ชี้แจงกรณีสื่อเสนอข่าวสถานที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่
ถัดไปก็นี้คำนี้อีก วันเสาร์เช้า พาดหัว “ชัยหักหมัก” เรื่องอะไรเรื่องสถานที่ เหมือนกับว่าผมอยากจะให้ก่อสร้างอยู่ที่ทางปากเกร็ด แต่ท่านประธานชัย ชิดชอบ ท่านจะให้เอาที่คลองเตย พาดหัวเลยครับ “ชัยหักหมัก” โอเคเช้าวันเสาร์ วันอาทิตย์ผมนัดกัน พอดีผมนัดไว้ก่อนผมไป นัดกันล่วงหน้า กลับมาวันเสาร์ก็เอาละ ผมบอกไหว ก็ไปดูที่คลองเตยเพราะรถไฟเขาจัดการ เนื้อที่ใกล้เคียงกัน ผิดกัน 3 ไร่ เนื้อที่กว้างยาวมาก ลึก และทุกอย่างเจ๋งครับ อยู่ริมแม่น้ำและอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ไปดู ไปดูเมื่อวานวันเสาร์ พอวันอาทิตย์เช้าบอกอย่างไรรู้ไหม “หมักกินรวบ” คือกินรวบที่ก่อสร้างที่ตรงคลองเตย วันเสาร์พาดหัวเลย “ชัยหักหมัก” พอถึงวันอาทิตย์กลายเป็น “หมักกินรวบ” ความจริงทั้งหลายทั้งปวงเรื่องของประธานสภาฯ (นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร) ท่านกำลังดำเนินการเรื่องนี้ จะตัดสินรอบสุดท้าย ท่านถามผมมาว่าท่านนายกฯ จะมาช่วยกันคิดหน่อยได้ไหม ผมบอกความจริงทางท่านเป็นหลัก ทางรัฐบาลเป็นคนให้งบประมาณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเอาก็ได้ ถ้าอยากจะดู ท่านบอกเหลือ 2 แห่งสุดท้าย แต่ที่ทางคลองเตย ท่านยังไม่ได้ดู ไปดูก็ไปดู ผมเป็นคนจัดการหาเรือ ขอเรือกรมเจ้าท่าเอาไปให้ดู ก็ไม่มีอะไรละครับไปดู และดูแล้วก็ยังไม่ตกลง ต้องเรียกประชุมครับว่าสุดท้ายอย่างไร จะเอาเอกสารมาวางแล้วเขาจะตัดสินใจกัน
ออกข่าวกัน หักก็มี กินรวบก็มี “หัก” สำนวนแปลว่า หักหน้า คืออย่างนี้ก็หักธรรมดา แต่ว่า “ชัยหักหมัก” แปลว่า เหมือนกับหักหน้านายสมัคร นายสมัครอยากจะได้เมืองนนท์ ประธานชัยฯ ท่านอยากจะได้คลองเคย ก็เลยหัก หักหน้าสมัครทำนองนั้น เขายังไม่ตกลงกันเลยนะครับบอก หมักกินรวบ กินรวบน่ะพวกหวยใต้ดิน เขาเรียกหวยกินรวบ ธรรมดาถ้าบนดินก็กินแบ่ง สลากกินแบ่งหมายความว่าขายแล้วก็จัดการแบ่งสรรและแบ่งปันกัน สำนวนด่าทอก็เผื่อใครไปได้อะไรมา และเอาไว้คนเดียว พรรคพวกไม่ให้ ไม่แบ่งกันเลย อย่างนั้นเรียกว่า กินรวบ แล้วการสร้างอะไร เขาตกลงเลือกสถานที่กันของหลวงทั้งคู่ ของทหาร ทางนี้ก็ของการรถไฟฯ แล้วอย่างไรครับ ใครจะไปกินรวบอะไรได้แค่ไหนอย่างไร ฉะนั้น คนที่เขียนข้อความอย่างนี้ ต้องมีความคิดครับว่าจะเขียนถึงใคร เขียนอะไรอย่างไร สักแต่ว่าเขียน ๆ ๆ ๆ เวลาผมว่าเข้าก็ทำฟึดฟัด ๆ โกรธเคืองว่าไปว่าอีกแล้ว และถ้าไม่ว่าก็เล่นกันตามใจชอบอย่างนี้
ชี้แจงคดีปราสาทพระวิหาร
ทีนี้ถัดไปก็เรื่องเหลืออีกแผ่นหนึ่ง ตรงนี้ละครับ เขาบอกว่าอย่างไร ต่อไปนี้คำภาษาไทยที่คนไทยจะต้องพูด ประเทศไทย คนไทย รัฐบาลไทย จะต้องใช้คำ ๆ เดียวกันเสมอนะครับ คดีปราสาทพระวิหาร จำไว้เลยนะ ให้ใช้เหมือนกันหมด หนังสือพิมพ์ไม่รู้ คุณจะต้องรู้ตั้งแต่บัดนี้ ใช้คำว่าคดีปราสาทพระวิหาร และอีกคำหนึ่งคือพื้นที่พิพาทพระวิหาร สองคำเท่านั้นละครับ อันอื่นไม่ต้องพูดถึง คดีปราสาทพระวิหาร พื้นที่พิพาทพระวิหาร ใช้ให้คล่องอย่างนี้นะครับ รัฐบาลต้องใช้อย่างนี้ครับ อธิบายให้ฟังไว้ และก็บอกให้ฟังว่าอย่างกรณีที่ออกข่าวกันตอนเช้า จับผิดนพดล ไปซัดเอารัฐบาลเก่าเข้า ผมว่าท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นพดล ปัทมะ เป็นคนไทยทั้งสองละครับ ทำงานเหมือนกันทั้งคู่มีความคิดอย่างเดียวกัน แต่มันต่างกรรมต่างวาระ คุณนิตย์ฯท่านไปทำกลาง ปีกลายนี้ สถานการณ์ยังไม่มี ข้อมูลอะไรก็ยังไม่นั่น เขาก็ตัดสินใจแบบนั้น ก็สงวนสิทธิ์ไว้เหมือนกัน คุณนพดลฯ มาทำตอนนี้ข้อมูลเป็นอย่างไร ก็ทำไว้เหมือนกัน ก็สงวนสิทธิ์ไว้เหมือนกัน เหมือนกันทั้งคู่ครับ แต่ว่าสื่อสารมวลชนนั้น กระทบกระแทกแดกดัน จะเอานพดลฯให้ตายให้ได้ แสดงว่าคุณนิตย์ฯ คิดเป็นนพดลฯ คิดไม่เป็น ไม่ใช่ละครับ ไปถามกระทรวงการต่างประเทศเขาดู ไปถามแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ไปถามเจ้ากรมแผนที่ทหาร เขาดูกันมาหมดเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ใช่หลับหูหลับตาสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงแต่ว่าตอนคุณนิตย์ฯ ท่านเหลืออีก 1 ปี จะดำเนินการ พอมาถึงคุณนพดลฯ ก็เหลืออีก 2-3 วันจะดำเนินการ เท่านั้นละครับข้อแตกต่าง และเขาจะตกลงกันอย่างไร ก็ให้เขาตกลงกันไป ขอยืนยันนะครับว่าที่พาดหัวกันวันนี้ จะเอานพดลฯ เหมือนกับคอยจับผิดนพดลฯ จ้องนพดลฯ เกินเหตุนะครับ ผมยืนยันว่าเกินเหตุ
เรื่องนี้ผมจะบอกให้ฟังว่า ทำไมผมถึงบอกเมื่อวานนี้ ผมจะพูดเรื่องคดีปราสาทพระวิหารวันนี้ ผมเองคือธรรมดาเขาไม่ต้องพูดถึงละครับ คือไม่ควรจะไปพูดถึงอะไรต่ออะไรที่เป็นคดีความที่เกี่ยวถึงศาล เพราะผมก็มีคดีครับ คดีอยู่ศาลแพ่งก็มี ศาลอุทธรณ์ก็มี ศาลฎีกาก็มี ศาลปกครองก็มี ศาลรัฐธรรมนูญก็มี เวลานี้ผมอยู่ในศาล 5 ศาล ศาลแพ่ง ศาลอุทธรณ์ ศาลปกครอง ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ มี 5 ศาลครับเป็นจำเลย เป็นโจทก์อยู่อันเดียวคดีศาลแพ่ง นอกนั้นเป็นจำเลยนะครับ และบางคดีรอตัดสิน บางคดีหมายความว่าคดีหมิ่นประมาท ก็รอจะตัดสินสุดท้ายอย่างไร กลายเป็นเรื่องมากมาย แต่พวกนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมาปิดปาก ที่ผมจะแสดงความคิดเห็นวันนี้ และไม่ใช่ความคิดเห็นของผมด้วย แต่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมควรจะต้องพูดกับผู้คนทั้งประเทศได้ถึงกรณีที่เกิดขึ้นเรื่องนี้
ผมอ่านให้ฟังนะครับว่าเมื่อเวลาที่มีคนไปร้องศาล ผู้คนที่ไปร้องศาลก็นี่เลย คนไปร้องศาล นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ที่ 1 นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ 2 นายนคร ชมพูชาติ นายสุริยะใส กตะศิลา นายคำนูณ สิทธิสมาน นายคณิศร ฑปภูผา นายกิ่งแก้ว โยมเมือง นางรัศมี ไวยเนตร 8-9 คน เป็นผู้ร้องคดีไปร้องศาลปกครองกลาง ระหว่างนี้ 9 คนนี้เป็นผู้ฟ้องคดี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ 1 คณะรัฐมนตรีที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี เห็นไหมครับ เรื่องอย่างนี้ก็ดำเนินการ พอดำเนินการเสร็จแล้วศาลปกครอง ก็ออกคำวินิจฉัยของท่านออกมา คำวินิจฉัยออกมา คณะรัฐมนตรีมีประชุมและมีมติออกมาก็ 1. รับทราบและให้ถือปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองกลาง 2. ให้ส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเพื่อให้ความเห็นและคำแนะนำ ควรจะมี 2 อันนี้เท่านั้นครับ แต่ว่ามีข้อ 3. ด้วยคือ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งระงับผลการใช้บังคับของคำแถลงการณ์ร่วมออกไปก่อน ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้รัฐบาลกัมพูชาและองค์การยูเนสโก คณะกรรมการมรดกโลก ทั้งหมด 21 ประเทศ หัวหน้าผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมประชุมสมัยที่ 32 เมืองควิเบก แคนาดา อัครราชทูตไทยถาวรประจำยูเนสโก เอกอัครราชทูตไทยประจำแคนาดา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบภายในวันที่ 1 กรกฎาคม อันนี้ละครับ นักวิชาการกฎหมายในประเทศไทยบอกว่าคณะรัฐมนตรีปฏิบัติการเกินกว่าที่ศาลสั่ง น่าคิดไหมครับ ผมฟังอย่างนี้ผมก็ต้องตะแคงหูฟัง อย่างนั้นหรือครับ เกินกว่าที่ศาลสั่ง
คือคำวินิจฉัยเป็นทำนองสรุปง่าย ๆ ถ้าคนธรรมดาฟังเข้าใจง่ายก็คือว่า กรณีนี้ท่านคิดว่าควรจะต้อง ถ้าสงสัยนี้ต้องควรที่จะอยู่ที่มาตรา 190 และให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ แต่ท่านว่าศาลปกครองเหมือนกับว่าจะเป็นผู้วินิจฉัยกรณีนี้ อย่างนี้ได้หรือไม่ แต่ถ้าหากว่าอันนี้ตกลงที่เขาเรียกกันภาษาฝรั่งว่า President คือตั้งกันไว้ว่าเป็นมาตรฐาน เอาตกลงเอาอย่างนี้ ต่อไปก็ต้องเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าแล้วตกลงต่อไปนี้คนเป็นรัฐบาล จะไปทำอะไรกับใคร บริหารบ้านเมืองได้อย่างไร กับประเทศที่ไหน ๆ เขา ไปตกลงอะไรกับใครอย่างไร ธรรมดา พอมีคนร้องขึ้นศาล ใครจะไว้วางใจรัฐบาลไทย
การคานอำนาจกันในระบอบประชาธิปไตยของไทย
จริงอยู่อำนาจเขาคานกัน ก็คืออำนาจทั้ง 3 อำนาจอธิปไตยก็คืออำนาจบริหาร ก็โดยรัฐบาล เริ่มต้นต้องเริ่มต้นอย่างนี้ก่อนครับ ประเทศไทยจะต้องเริ่มต้นด้วยอำนาจนิติบัญญัติ คือไปเลือกตั้งเอาตัวแทนมา แล้วนิติบัญญัติจะแบ่งส่วนหนึ่งมาเป็นบริหาร เป็นอีกอำนาจหนึ่งบริหาร บริหารโดยคณะรัฐมนตรี นิติบัญญัติโดยสภา และที่มีอยู่ติดกับบ้านเมืองนี้ตลอดมาคืออำนาจตุลาการ อำนาจตุลการเป็นอำนาจที่ 1 ใน 3 คานกันอยู่ แต่ว่าระบบของเราเป็นเรื่องของการ ระบบราชการประจำนั้นคือศาลได้ใช้ระบบราชการประจำตลอดมา จนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งไม่ใช่ความเสียหาย แล้วก็เป็นเรื่องดีด้วย คือว่าท่านอยู่เหมือนกับว่าถ่วงน้ำหนัก คือทั้งหมดเวลาเราเรียนหนังสือนี้ก็จะถ่วงกัน อันนี้ถ่วงอันนี้ ๆ ระบบเขาสร้างไว้อย่างนี้ แต่ว่าในเวลาบัดนี้ นักวิชาการบอกว่าถ้าหากว่ากรณีนี้ ถ้าหากว่าศาลปกครองใช้อำนาจกับรัฐบาลได้อย่างนี้ แล้วต่อไปอำนาจบริหารจะทำอย่างไร เพราะอำนาจบริหารติดต่อกับผู้คนทั้งหมด จริงอยู่ครับเช่นว่าจะถ่วงว่าเขียนรัฐธรรมนูญไว้ นี่ไงที่เขาพูดว่ามาตรา 190 มาตรา 190 วรรคหนึ่งยังไม่ใส่ แต่วรรคสองเขียนไว้ครอบจักรวาล อะไรก็ไม่ได้เลย เพราะว่ามาตรา 190 วรรคสองอันนี้ถึงได้ทำให้พันธมิตร 7 คนไปร้อง แล้วศาลก็สั่ง นักกฎหมายท่านก็ไม่ใช่รัฐบาล ท่านก็ไม่ได้อย่างไร ท่านคงไม่มีคดีความอะไรติดตัวเหมือนผม ท่านก็แสดงความคิดเห็นเลย ซึ่งเป็นความคิดเห็นซึ่งน่าคิด น่าคิดครับ
การใช้รัฐธรรมนูญปี 2540
คือแต่ก่อนนี้เราอยู่กันมา เราอยู่กันมาตลอด ๆ มีระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 วันที่ 10 ธันวาคม เราก็มีรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้กันมา ๆ ก็ใช้กันสิครับ ก็มาแล้ว 17 ฉบับ ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 18 เปลี่ยนแปลงได้ไหม เปลี่ยนแปลงได้ครับ ฉีกทิ้งได้ไหม ก็มีคนฉีกทิ้งมาแล้ว แก้ไขได้ไหม แก้กันมาแล้วครับ รัฐธรรมนูญเป็นของที่คนเขียนขึ้น คนล้มล้างได้ คนทำอะไรได้ทั้งนั้นละครับ แล้วสุดท้ายนั้นก็มีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ออกไป ว่ากันว่าดี แต่ทว่าไป ๆ มา ๆ ผมขอย้ำครับ รัฐธรรมนูญ 2540 เขาเกิดขึ้นมาเพราะความขัดแย้งทางการเมือง หลังจากการปฏิวัติโดยไม่มีเหตุผลเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 แล้ว ก็ได้มีความคิดเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ในที่สุดก็ให้รัฐบาลที่เป็นคนกลางเป็นนายกฯ มาจัดการให้ พอรัฐบาลยังทำไม่ได้ตั้งไข่ไม่ได้ ก็มีการเลือกตั้ง รัฐบาลท่านนายกฯ บรรหารฯ รัฐบาลท่านนายกฯ พลเอก ชวลิตฯ ก็จัดการดำเนินการให้มีคณะ ส.ส.ร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ให้ร่างรัฐธรรมนูญ แปลว่าพวกที่มาจากเลือกตั้งร้องที่จะให้สร้างกติกาใหม่ เราก็ได้ร่วมกันสร้างกติกาเมื่อ 2540 แล้วได้ใช้ทันทีไหม ไม่ได้ใช้ เพราะว่าท่านพลเอก ชวลิตฯ ท่านอยู่ 1 ปี เขาเดินขบวนว่าท่านที่สีลม ท่านลาออก พอลาออก พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เข้ามาบริหาร เหลือเวลาอีก 3 ปีได้เข้ามาบริหาร พอบริหารก็ยังรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ปี 40 ประกาศใช้แต่จะต้องใช้เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป ท่านพลเอก ชวลิตฯ ถ้าท่านเป็นนักการเมืองต้องได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 1 ปีท่านลาออก พอลาออกปั๊บรัฐธรรมนูญยังไม่ใช้ คุณชวนฯ ท่านก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยู่อีก 3 ปี จนปี 44 จึงจะได้ใช้รัฐธรรมนูญปี 40
เมื่อใช้แล้วผมก็อธิบายให้ฟัง นี่ไม่ได้เรื่องอะไรอื่นครับ เรื่องให้ฟังให้เข้าใจเรื่องการบ้านการเมือง รัฐธรรมนูญปี 40 ใครต่อใครว่าดี แล้วทำไมถึงต้องฉีกทิ้ง ผมจะบอกให้ฟังครับ รัฐธรรมนูญ 40 เขาเขียนมาเขาเพื่อต้องการให้มีรัฐบาลที่แข็งแรง ที่แล้วมารัฐบาล 6 เดือนล้ม ครึ่งปีล้ม 1 ปีไปไม่รอด เขาก็เขียนให้แข็งแรง เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครอย่างไรหรอกครับ แต่ก็เกิดมีรัฐบาลที่เขาเกิดมีสถานะแข็งแรงทางการเงินการอะไร เขาก็เข้ามาเป็นรัฐบาล พอมาเป็นรัฐบาลแล้ว คือถ้าการเลือกตั้งเมื่อปี 44 เลือกกันครั้งแรกตอนรัฐธรรมนูญปี 40 ถ้าหากว่าฝ่ายค้านได้คะแนน 126 ไม่มีเรื่องเลยครับ ถ้าได้ 126 เพราะว่าจะเอารัฐมนตรีไปวิจารณ์ ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีต้องมี 125 ฝ่ายค้านเลือกมาได้ 123 ก็เล่นงานรัฐมนตรีก็เล่นไม่ได้ เล่นนายกฯ ก็ไม่ได้ นายกฯ ต้อง 200 ประทานโทษตอนที่เลือกตั้งกันนั้น ผมอ้างผิด อันที่สองครับปี 48 ต้องปี 48 คือปี 44 — 48 นี้อยู่กันมาได้เรียบร้อยดี พรรคการเมืองที่เป็นตัวหลักได้ 248 เอาอีกพรรคหนึ่งไปรวมก็เกินครึ่ง ก็บริหาร ก็อยู่มาได้ 4 ปีเต็มเลยครับ เลือกตั้งใหม่ ผมลำดับความ เลือกตั้งใหม่ 377 ต่อ 123 ตรงนี้ละครับคือตัวชนวน คือถ้าได้ 126 หมดเรื่องครับ รัฐมนตรีจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เอานายกฯ ไม่ได้แต่เอารัฐมนตรีได้ทั้งฝูง แต่เกิดได้ 123 จะอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมี 125 นี่ละครับคือจุดยั่วกิเลส เอาก็ไม่ได้ นายกฯ เอาไม่ได้รัฐมนตรียังเอาไม่ได้ นี่ละครับที่เกิดเหตุ ก็เลยกลายเป็นว่าก็คิดว่าหัวหน้ารัฐบาลเก่าจะต้องอยู่กันตลอดไป เลยต้องให้มีความเปลี่ยนแปลง ก็ล่อกันไปสิครับ ล่อกันไปอย่างนั้นก็ตั้งข้อกล่าวหา ผมต้องย้ำเลยนะครับว่าที่เขากล่าวหากันจนกระทั่งคนครึ่งประเทศต้องใช้คำนี้ ผมต้องใช้ด้วยครับ ว่าคิดคลางแคลงใจว่านายกฯ คนที่แล้วมีพฤติการณ์ไม่จงรักภักดี ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ เข้าไปรุกล้ำสื่อสารมวลชน ท่องได้เลยครับ 4 ข้อนี้ กล่าวหากันอย่างนี้ จนกระทั่งเสร็จแล้วก็สุกงอม ปฏิวัติ แต่วันจริง ๆ ไม่งอม เขาบอกถ้าไม่ปฏิวัติรุ่งขึ้นจะต้องนองเลือด ไม่มีหรอกครับ แต่ปฏิวัติก็ปฏิวัติเอาเถิด แล้วปฏิวัติแล้วก็ 1 ปีตามสัญญาเสร็จก็ประมาณ 1 ปี 5 เดือนก็กลับมาเลือกตั้งกันใหม่
รัฐธรรมนูญก็ยังเป็นอย่างนั้นแต่มันถูกฉีกทิ้ง แล้วถูกเขียนขึ้นมาใหม่ อะไรที่เกลียดแค้นชิงชังรัฐบาลเก่าก็เขียนใส่รัฐธรรมนูญหมด รัฐบาลทำอะไรกลายเป็นเลวหมด มาตรา 190 ถึงเกิดขึ้นไงครับ มาตรา 237 ถึงเกิดขึ้นไงครับ 309 ผมไม่พูดถึงเรื่องการเมือง แต่ 237 แต่ก่อนก็มีครับ แต่มีแค่แสดงว่าใครไปทำอะไรคนนั้นจะโดนใบแดง แต่วรรคสองบอกเลยว่าถ้าเป็นกรรมการบริหารพัวะละก็ไปทำอะไรไม่รู้ แต่ถ้าโดนพัวะลงไปทั้งพรรคโดนยุบ นี่มันของใหม่นะครับ มาตรา 190 ข้อแม้ข้อแรกใคร ๆ ก็รับได้ แต่ข้อแม้ข้อสองมันเกินเหตุไหมครับ มันเกินเหตุขนาดที่เรียกว่าคน 9 คนไปยื่นก็เกิดเรื่องเลยครับ รัฐบาลถูกมัดมือมัดเท้าเลยทันทีอย่างนี้เลย นักวิชาการเขาถึงได้ออกมาแสดงความเห็นไงครับ ว่ากรณีอย่างนี้แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมเป็นคนมีส่วนได้เสีย เรื่องนี้จะไม่ปัดไปบอกว่าความเห็นส่วนตัว ไม่ครับ ผมจะบอกว่าเป็นเรื่องของนักวิชาการ ท่านได้กรุณาแสดงความคิดเห็น ผมก็พูดกับท่านพี่น้องประชาชนได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าคิด เพราะว่าถ้าหากว่าทางศาลปกครองดำเนินการอย่างนี้ ที่เขาร้องไม่ใช่ ต้องอธิบายความก่อน เขาอยากให้คณะรัฐมนตรียื่นไปศาลปกครองสูงสุด คือกำลังนี้หมายความว่าคณะรัฐบาลกลัวระบบอำนาจศาลเสียจนกระทั่ง แม้จะยื่นไปก็ยังไม่กล้า ในขณะเดียวกันที่พันธมิตรเขาไม่กลัวเลยครับ ศาลสั่งห้ามไม่ให้นั่นไป เขายื่นอุทธรณ์ครับ เขาไม่ดำเนินการและยังไม่อุทธรณ์ด้วย แต่รัฐบาลทำท่า นักวิชาการจึงต้องออกมาไงครับ ว่า 1- 2 โอเค แต่ 3 นี่มากเกินไป แปลว่ายังไม่ต้องทำอะไร แล้วให้รอศาลปกครองกลางก่อน ศาลปกครองสูงสุดก่อน เห็นไหม
ยันทุกฝ่ายให้ความเคารพศาล
เรื่องอย่างนี้ผมต้องพูดให้ท่านฟังวันนี้ ผมมีคดีอยู่ในศาล 5 ศาลครับ แล้วพูดจาอวดศักดากับศาลไม่มีครับ รัฐบาลก็กลัวศาล ใคร ๆ ก็กลัวศาลทั้งนั้น แต่ว่าสิ่งซึ่งอยากให้พี่น้องประชาชนได้คิดคือว่า เวลามีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้วไปหยิบเอาอำนาจซึ่งอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นตัวที่ว่าถ้าเผื่อสภากับรัฐบาลทะเลาะกันนี้ศาลตัดสิน แต่เวลานี้ศาลท่านก็ลงมา ศาลไปอยู่ใน กกต. เลขา กกต. ก็เป็นศาล ศาลมาเป็นรัฐมนตรี เอาศาลมาเป็นอธิบดี ย้ายเข้าไปกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารเลยครับ ศาลอธิบดี แล้วก็เอาท่านซึ่งอยู่ข้างบน เอาลงมาอยู่ในที่ ๆ ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ นี่ข้อเท็จจริงไม่มีใครพูดหรอกครับแต่ผมพูด และผมก็แน่ใจว่า ศาลทั้งปวงท่านก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร แต่ว่าระบบที่ ผมจะไปพูดได้นะครับว่าศาลถูกใครแทรกแซง ผมพูดไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าระบบนั้นไปดึงเอาสถาบันซึ่งควรจะเป็นการถ่วงอำนาจ เอาลงมา คือศาลมาเป็นรัฐมนตรีแล้วยังจะต้องกลับไปเป็นศาลอย่างเก่าอีก ศาลมาเป็นอธิบดีแล้วจะกลับไปเป็นศาลอีก ศาลมาเป็น กกต. แม้กระทั่งเลขา กกต. กำลังนี้มีเรื่องคาราคาซังกันอยู่ครับ เพราะว่าเลขา กกต. ท่านโดนกล่าวหาเรื่องเกี่ยวกับการพิมพ์บัตร ท่านก็บอกว่าไม่ได้ หน่วยงานธรรมดาก็ยังต้องพูดจากัน ขัดแย้งกันเลยครับ ขัดแย้งกันเลย แปลว่าถ้าเผื่อทางนี้ทำผิดใครจะตรวจสอบไม่ได้ แล้วได้ไหมครับ เป็นเอกสิทธิ์ เป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเพราะมันย้อนกลับมาหาผม คดีกรณีอย่างนี้เรื่องที่ว่า DSI ไปสอบเรื่องเลขานุการ เป็นคณะเลขาธิการของ กกต. เรื่องจัดการพิมพ์บัตรมากบัตรเกินอะไรต่าง ๆ เข้าไปสอบท่านบอกสอบไม่ได้ ตัวท่านเลขาธิการฯ เองท่านก็มาจากศาล ทั้ง 5 นั้นท่านก็มาจากศาล
แล้วเรื่องพรรค์อย่างนี้กรณีที่เกิดขึ้นอย่างนี้แล้วผมจะทำอย่างไร ผมเป็นนายกรัฐมนตรี สื่อสารมวลชนทั้งหลายจับจ้อง รัฐบาลนี้ถ้าอะไรต่าง ๆ คือถ้าผมพูดแต่จับจ้อง พันธมิตรจะจับจ้อง มาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ทำไมจะแก้ไม่ได้ละครับ ถ้ามันไม่ดีทำไมจะแก้ไม่ได้ ไม่ได้เลยถ้าแก้รัฐธรรมนูญต้องเอารัฐบาลออกไปเลย รัฐธรรมนูญตกไปแก้ไม่ได้เพราะคนไปถอนชื่อ จัดการ เอ้า มีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมิ่นอย่างไรครับ เขาหมิ่นกันมา เขาทำกันมา 10 เดือนแล้ว คนที่ยื่นก็รู้ความหมิ่น เขาเก็บใส่ลิ้นชักไว้ ถ้าไม่เป็นรัฐมนตรีก็ปลอดภัย ก็กลายเป็นคนดีไป กลายเป็นคนจงรักภักดีเหมือนคนธรรมดา พอไปเหยียบหางใครเขาเข้าเขาก็ควักออกมาแจ้งความทันที ดำเนินการ เหตุเกิดเมื่อไร เหตุเกิดเดือนสิงหาคม 2550 เอามาล่อกันเดือนเมษายน 2551 แล้วก็จะมาเค้นคอให้ผม บอกให้จัดการทันที ผมบอกไม่ได้ ตำรวจจัดการ ผมไม่ใช่ศาล ตำรวจต้องจัดการทันที พอตำรวจจัดการเสร็จปั๊บเขาก็ต้องลาออกไป 1 หลุดไป 2 หลุดไป 3 มาถึงบอกตอนรัฐมนตรีต้องออก ไม่ไว้วางใจรัฐบาลต้องไล่ไป ไล่รัฐบาล รัฐบาลก็ยังไปและก็ยังอยู่ได้
อ่านคำแถลงส่วนตัวกรณีปราสาทพระวิหาร
เหยื่อชิ้นใหม่มา คดีปราสาทพระวิหารมา กระโดดเข้ามาก็ล่อกันไป ได้ไหมครับเรื่อง จะทำก็ทำได้แต่เกินเหตุไหมครับ เกินเหตุครับ เกินเหตุ คำแถลงของผมซึ่งผมควรจะต้องอ่าน เพราะว่าไม่อยากจะให้ผิดพลาด ผมบอก ทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าเทียมกัน บัดนี้เรื่องนี้อยู่ที่คนกลางที่จะเป็นผู้ตัดสิน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีทั้งในระดับระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชาด้วย ถูกต้องไหมครับ ผมจะอ่านคำแถลงส่วนตัวของผมให้ฟังอีกทีครับ “ทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าเทียมกัน บัดนี้เรื่องนี้อยู่ที่คนกลางที่จะเป็นผู้ตัดสิน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีทั้งในระดับระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชาด้วย” เห็นไหมครับ ต้องเป็นอย่างนี้ครับ คือจริง ๆ แล้วต้องนึกถึง อยู่กันมา 45 ปี เรื่องจะทำอะไรต่ออะไรอย่างไร ๆ ก็เขาพูดกัน จะเอาขึ้น ท่านก็บอกว่าไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยกลับมาสุดท้ายเขาบอกเขาจะขีดเอาเฉพาะตรงนั้นขึ้นไป ก็บอกให้คนกลางที่ยูเนสโก ปารีส ดู ยูเนสโกบอกขีดตรงนี้ก็โอเค อย่างนี้ก็ได้ก็โอเคก็ส่งไป เท่านั้นเองครับได้หรือไม่ได้ก็ยังไม่รู้ เรื่องทั้งหมดมีเท่านี้ ไม่มีใครเสียอะไร ทางโน้นก็ไม่ได้ ทางเราก็ไม่เสีย แต่เอามาใช้เอามาเล่นเอามาถล่มกันในสภาจนกระทั่ง 45 ปี คิดดูสิครับ เหตุการณ์ที่แล้วที่เกิดมา ตัวละครพูดจริงไม่จริง ไปพูดไปเอาคืน ไปเอานครวัดนครธมคืน เกิดอะไรขึ้นครับ เผาสถานทูตกัน
นี่นายกฯ กับนายกฯ ต้องโทรศัพท์พูดกัน ผมไม่ได้ไปขอร้อง บอกคุณช่วยดูสถานทูตไทยให้ดีหน่อย แล้วเราจะดูสถานทูตคุณให้ดี เพราะต้องเท่าเทียมกัน เสียรังวัดทั้งคู่ เสียหายทั้งคู่ ทางโน้นมีอะไรทางโน้นมีพรรคการเมืองฝ่ายค้านซึ่งก็ไม่อยากให้รัฐบาลนี้อยู่ ทางนี้ก็มีนักการเมืองฝ่ายค้านซึ่งก็ต้องซัดรัฐบาลนี้ รัฐบาลเสียรังวัดทั้งคู่ ไม่มีใครคิดได้ทั้งคู่ ทางโน้นอาจจะได้ชื่อเสียงว่าได้ขึ้นมรดกโลกในสมัยรัฐบาลตัว การขึ้นจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่รู้ ขนาดพิพาทกันตรงนี้ไม่เอา เอาเฉพาะขีดตรงนี้ ถ้าขีดตรงนี้โดยสามัญสำนึกว่าไม่มีใครเสียหายอะไรก็เอาไปสิ แล้วคนตัดสินเขาก็ยังไม่ตัดสิน แต่ว่าคนสองประเทศถามสิครับว่าดำเนินกันไปธรรมดา ถกเถียงกันที่ประชุมธรรมดาไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ แต่ว่ากล่าวหาว่ากล่าวเสียจนกระทั่งต้องฮึ่ม ๆ กันแล้วครับ มันอยู่กันด้วยความสุข รั้วติดกันอย่างนี้ มีธุรกิจทำอะไรต่าง ๆ อยู่กันด้วยความสุข แล้วตรงนั้นจะทำอะไรก็มีคนเขาจะเซ็น ได้ไม่ได้แต่ยังไม่รู้ แล้วก็ไม่มีใครเสียไม่มีใครหาย แต่เอามาปลุกปั่น ผมใช้คำนี้เลยครับ ปลุกปั่นแสดงความเห็นจนกระทั่งบ้านเมืองจะต้องเผชิญหน้ากัน รัฐบาลกับรัฐบาล กั้นได้เพราะวงเล็ก แต่ประชาชนกับประชาชนก็แห่กันไปอีกแล้ว แบกศาลากันไปอีกแล้ว แสดงความรักชาติแสดงความรักแผ่นดิน นิ้วเดียว ก็มันไม่เสียอะไรไปสักนิ้วสักเซ็น จะแสดงกันทำไมละครับ แสดงความรักเพื่อให้คนชื่นชม ผมก็รักครับ ผมก็ห่วงผมก็หวง ทางเขา ๆ ก็คิดเหมือนกัน ของพรรค์อย่างนี้ต้องคิดต้องนั่นหน่อย
ไป ๆ มา ๆ เรื่องนี้ละครับ โยงใยไปถึงอำนาจ 3 อำนาจของเรา อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร นักวิชาการบอกอย่างนี้ ถ้าอำนาจตุลาการล้ำอำนาจบริหารอย่างนี้ อำนาจบริหารบริหารไม่ได้ ดำเนินการอะไรต่ออะไรไม่ได้ครับ มันไม่ได้ถ่วง มันขัดเลย ดึงเอาไว้เลย แล้วเราจะอยู่ในโลกนี้บริหารได้อย่างไรครับ ในเมื่ออีกอำนาจหนึ่งจับแขนไว้อย่างนี้ เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ ที่ผมพูดเมื่อวานผมจะพูดเรื่องนี้ละครับ แล้วพอพูดได้ ก็ฟังดูสิครับ ท่านพี่น้องประชาชนทั้งประเทศท่านคิดเถอะครับว่า ดูอะไรที่เกิดจากเหตุ เหตุคือต้องการจะไล่รัฐบาลนี้ เหตุคือเกลียดนายกฯ เก่า แล้วนายกฯ เก่าก็เกิดฆ่าไม่ตาย ขายไม่ขาด เกิดกลับมาขึ้นศาลได้ เขาขึ้นศาลอยู่ ต้องล่องศาลอยู่ แต่กล่าวหารัฐบาลนี้ว่าปกป้อง ผมไปปกป้องอำนาจศาลได้หรือครับ ไปรุกล้ำท่านได้หรือครับ ไม่ได้ ไป ๆ มา ๆ ก็เร่งกันไปเร่งกันมา เขามาขึ้นศาลก็ต้องตามความต้องการ
ผมก็เป็นนายกรัฐมนตรีผมมาจากการเลือกตั้ง จะโยงใยอย่างไร สมาชิกสภาสับไปสับมา อยู่พรรคโน้นก็มี พรรคนี้ตรงนี้ก็มี แล้วผมก็เป็นนายกฯ ผมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยตัวผมเอง จะด้วยอะไรก็ได้สุดแท้แต่ ก็นัดกัน พรรคก็พรรคใหม่ ชื่อก็ชื่อใหม่ แล้วผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง คนละคนกันเลยครับ อยากจะพูดว่าคนละความคิดก็อยากจะพูดได้ ผมอาจจะไม่เก่งเท่า แต่เราก็รวบรวมคนเก่ง รัฐบาลดูหน้าตา ก็เอาเข้าไปอยู่ในนั้น 111 คนนะครับ คนเก่งการเมือง ที่ควรจะเอื้อเฟื้อทางภาคการเมืองนี้ ถูกกักไว้ 111 ก็เอาที่เหลือมาจัดรัฐบาล ก็เอาที่เหลือมาจัดรัฐบาล ก็เอาเท่าที่ได้ แต่คนเดียวไหม ไม่ครับ 6 พรรค อีก 5 พรรคเขามีคนเก่ง มีครับ รัฐมนตรีท่องเที่ยว รัฐมนตรีเกษตรเขาช่วยงานเยอะ รัฐมนตรีช่วยคลังเขาก็ช่วยงานเยอะ รัฐมนตรีแต่ละพรรคทำงานกันนั้นเป็นทีม ก็อยู่ด้วยกันได้ทำอย่างนี้ แต่ว่าจะมีคนอดรนทนไม่ได้ จะพยายาม แต่บอกกุข่าว กุไม่กุไม่รู้หรอกครับ ออกมาเลยครับ พรรคประชาธิปัตย์ออกชื่อก็ได้ ออกมาเลยบอกว่าให้อีก 5 พรรคตัดสินใจถอนตัว คำอธิบายชัดเจนเรื่องเท่านี้ พอถามมาผมก็ตอบไปแค่นี้เอง แต่มาทำข่าว อะไรกันนักหนาละครับ เสร็จแล้วนี่ละครับเรียกร้องทุกโอกาสจ้องเลย
พันธมิตรก็ทำอย่างเดียวกันนี้ เรื่องนี้ไม่ได้เอาเรื่องนี้ ๆ จะเอากันให้ตาย ให้มันหลุด ให้บ้านเมืองบรรลัยวายวอด คนสองประเทศจะอย่างไรช่างมัน ให้กูจะได้เป็นรัฐบาลต่อก็แล้วกัน หรือฆ่ารัฐบาลนี้ให้พัง ให้มันตายลงไปก็แล้วกัน ได้ไหมครับแบบนี้ บ้านเมืองกำลังดำเนินการ เพิ่งจะกอบกู้สถานการณ์เพิ่งจะกลับมา 4 เดือนกำลังดำเนินการ ต้องพูดกันให้มันชัดเจนเลยครับ เพราะผมก็จะต้องการทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองนี้ต่อไป มันไม่ได้เลวทรามถึงขนาดไหน จะเป็นจะตายเขียนจดหมายใครต่อใคร พูดจา เหมือนกับบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้แล้ว ประชาชนอะไรต่ออะไร เขาอยู่ได้ครับ เขาอยู่ได้ น้ำมันขึ้นมันขึ้นทั่วโลก ราคาแพง ๆ ทั่วโลก ราคากำลังแก้ไข กำลังหาวิธีแก้ไข มีวิธีการ แต่ละประเทศมีวิธีการ คนบางคนกระเย้อกระแหย่ง คำนี้บอกว่าผมเป็นคนเอามาใช้ ถูกต้องมันอยู่ในพจนานุกรมมานานแล้วครับ มันใช้เลยครับ กระเหี้ยนกระหือรือ กระเหี้ยนกระหือรือกันจริง ๆ ครับ อยากจะฆ่านายกฯ คนก่อน จะลากผมเอาไปรวมฆ่าด้วย ไม่ได้ครับ ไม่ได้กินหรอกผมบอกให้รู้แล้วกัน คิดว่าจะงอมแล้วฝ่ายทหารจะออกมา ไม่ได้กินหรอกครับเพราะเขามีสติปัญญาความคิด เขารู้ว่าอะไร ๆ ควรเป็นอะไร แล้วผมก็ไม่ได้ทำแสดงว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่หรอกครับ
ผมทำงานร่วมกัน ผมทำงานให้บ้านเมืองนี้ เพราะฉะนั้นงานที่ผมทำนี้ผมได้อะไรอย่างไร ผมไม่ต้องการอะไรหรอกครับ ผมมาสุดทางของผมแล้ว แต่กลับมาช่วยผมก็ช่วย ผมต้องมาทำงานนี้เพราะว่าผมตกลงไปเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อถูกเลือกตั้งต้องเข้ามาตรงนี้ ต้องทำครับ นายกรัฐมนตรีคนก่อนเขาจะขึ้นศาล ก็ให้เขาขึ้นศาลไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผม จะฆ่าคนโน้นก็จะลากผมไปฆ่าด้วย ไม่ได้ครับ อย่างไรก็ฆ่าไม่ได้ จะเกลียดชังอย่างไรก็ตามแต่ จะเอาผมไปโดนด้วย ผมไม่มีวันยอมอย่างนั้นหรอกครับ เห็นกันชัด ๆ นะครับว่ามันอะไรเป็นอะไรอย่างไร พรรคการเมืองฝ่ายค้าน โฆษกพรรคการเมืองฝ่ายค้านแจ๋ว ๆ ๆ คอยเก็บทุกประเด็น นั่นน่ะเขาออกความคิดอ่านไม่เข้าท่าอย่างนั้น แล้วพรรคพลังประชาชนบอกไม่เห็นด้วย อย่างนี้ใช้ไม่ได้เลย อย่างนี้ดีไม่ดีต้องกล่าวหาได้ด้วย พูดไปพูดมานั่นไป ไม่ตำหนิครับ ของพรรค์นี้ต้องตำหนิเลยว่าคิดได้อย่างไรอยู่ดี ๆ คิดอย่างนั้นได้อย่างไร บ้านเมืองเดินหน้าขนาดนี้จับไปถอยหลัง คิดเอาเอง หลักการมาจากไหนอย่างไร ไม่เข้าท่าครับอย่างนี้ ต้องพูดเลยครับ
ผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด ทีวีออกมานั้น ตั้งวงด่า ทีวีถ่ายทอดวงด่า ด่าหยาบด่าคายด่าเลวด่าทราม คนทั้งประเทศฟังหมด เขาไปบอกพวกที่ติดนั่นละครับคุณทำผิด หาว่าสั่งปิด เขาเตือนคนที่เอาเร็วไปว่าคุณจะต้องถูกนั่น หาว่าสั่งปิด แล้วบัดนี้ว่าอย่างไร ออกโทรทัศน์ข้างเดียวศาลท่านคุ้มครอง แล้วด่ารัฐบาล ด่าหยาบด่าคายด่าเสียด่าหายด่าหมดเลยครับ แต่ศาลปกครองคุ้มครอง แล้วกำลังนี้จะออกใหม่ เขาจะออกทีวีอีกช่องหนึ่ง แสดงความเห็นแล้วครับ ออกชื่อก็ได้ นายเทพไท เสนพงศ์ แสดงความเห็นเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องตอบโต้กัน จะเป็นเรื่องทำให้เกิดบรรยากาศ ความเสียหายจะกลับไปสู่ 2549 ด่าข้างเดียวนี่เขาบอกเขาจะแสดงความจริง เขาไม่ได้จะด่าเลยครับ จะแสดงข้อเท็จจริง คือด่าแล้วอีกข้างหนึ่งต้องฟังอีกข้างหนึ่ง จะออกโทรทัศน์ช่องทีวีนี้ ออกก็ออก ไม่ได้เรียกว่าสู้กัน เขาเป็นการจะหักล้างข้อมูลว่าคุณมานั่งด่าอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าคนทั่วประเทศได้รับข้อมูลจะได้รู้อะไรเป็นอะไร ออกมาว่า คือทางโน้นทำมาตลอด ทำมาเท่าไรไม่ว่าครับ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ว่า แต่พอทางนี้เขาจะทำขึ้นมาหักล้าง บอกว่าจะทำให้สถานการณ์เลวทราม ให้บ้านเมืองเลือดตกยางออก แปลว่าอย่างไรครับนี่
ต้องขออภัยท่านที่ส่งคำถามมา ผมไม่ได้มีโอกาสตอบ ผมต้องพูดเรื่องนี้วันนี้ผมพูดอย่างนี้ ที่น่าสนใจคืออย่างนี้ครับ คุณสุภาพสตรีต้องนั่งแท็กซี่มา ต่อโทรศัพท์ไม่ได้ แล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ร้องเรียนครับ แต่ในนามคนภาคใต้คนหนึ่ง จริง ๆ มากลุ่มหนึ่ง มาให้เลยครับ เอาจดหมายมาให้ มายืนยัน ว่ากรณีที่คน คือกำลังจะพูดเรื่องสำคัญหมดเวลา นิด ๆ หน่อย ๆ ต้องอธิบายความได้เวลานี้เขาต่อต้าน นายสมัคร เฉลิม ต่อไปคณะรัฐมนตรีจะลงจะต่อต้านไม่เอา ผมบอกไม่ได้หรอกครับ เขาถามผม เขาถามผมว่าอย่างนี้จะทำอย่างไร ผมบอกว่าผมคิดดีกับพวกนั้น คือผมไม่เคยคิดเลยทางคนใต้จะขึ้นมากรุงเทพฯ ผมไม่เคยคิดต่อต้าน ไม่เคยคิดเลยครับ ผมคิดดีกับพวกนั้นครับ ถ้าพวกนั้นคิดจริงว่าคนทางนี้รัฐมนตรีลงไปจะต้องต่อต้าน ผมว่าคิดสู้ผมไม่ได้ ผมคิดดีกว่า แล้วคนปักษ์ใต้ขึ้นมากรุงเทพฯ ผมก็ยินดีต้อนรับ ไม่มีคิดต่อต้านเลย ส.ส.ปักษ์ใต้ขึ้นมาไม่คิดต่อต้านเลยครับ ไม่เคยคิดเลย คิดอะไรโง่ ๆ พรรค์อย่างนั้นผมคิดไม่เป็น เวลาหมดครับ วันอาทิตย์หน้า 08.30 น. พบกันใหม่ วันนี้ลาก่อนครับ สวัสดีครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
รายการ “สนทนาประสาสมัคร”
โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)
และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2551 เวลา 08.30-09.30 น.
--------------------------------------
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่เคารพ 08.30 น. วันอาทิตย์พระเทศน์เสร็จก็ย้ายมาฟังสนทนาประสาสมัคร วันนี้ได้บอกใครต่อใครเขาบอกว่า ถามถึงเรื่องคดีปราสาทพระวิหาร บอกเดี๋ยวจะมาคุยให้ฟังวันนี้ แต่รายการไม่ยาวครับอยู่ตอนหลัง เวลาที่ต้องคุยให้ฟังคือว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาอยู่เมืองไทยเพียงเมื่อวานนี้กับวันนี้เท่านั้นละครับ 5 วันก็ไปอยู่ต่างประเทศ ไปทำหน้าที่นะครับ ได้สนทนากับจีนเพราะพูดจากันไว้ว่าจะไปเยี่ยม รายการจีนตกลงกันไว้ว่าเสร็จจากอาเซียน 9 ประเทศจะไปจีนเป็นประเทศแรก ตอนที่เกิดไปป่วยไข้ซะตอนกลับจากลาว ก็เคลื่อนฟิลิปปินส์กับบรูไน ซึ่งนัดอยาก ทางบรูไนก็นัดอยาก และเสร็จเรียบร้อยท่านก็นัดให้ บังเอิญท่านมานัดตอนนี้ จีนเลยต่อ พอจีนกำลังจะเดินทางไปแล้ว ก็เกิดแผ่นดินไหว ก็ต้องเคลื่อน ก่อนจะไป 2 วันเท่านั้น เลยเลื่อนเข้ามา จนกระทั่งมาต่อกัน ไปจีนและไปบรูไน 5 วัน จีน 3 วัน บรูไน 2 วัน ก็ควรจะต้องเล่าให้ฟังนะครับไปทำงานมา ไม่ได้ไปเที่ยว
ชักชวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยช่วง low season
จริงๆ คือการไปจีนมีเหตุนะครับ จริง ๆ วันที่ไปถึง 30 มิถุนายน แต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันครบรอบ 33 ปีของสัมพันธภาพระหว่างไทยกับจีน วันแรกไปก็ได้พบท่านนายกรัฐมนตรีจีนก็เจรจาความกันเรื่องที่ต้องพูดกัน คือเรื่องงานต่าง ๆ เขามีเรื่องการค้าซึ่งยังไม่สมบูรณ์แบบ ก็ค้ากันดีเรียบร้อยดี FTA ก็ดี ก็ไปเติมเรื่องการค้าหน่อย และเติมเรื่องการลงทุน เรื่องการท่องเที่ยว เราก็อยากได้นักท่องเที่ยวมามากขึ้น หนังสือพิมพ์ทางนี้ว่าเลยหาว่าโง่เง่า เหมือนกับว่าเขาไม่เอามาแล้วนักท่องเที่ยวจีน ไม่ละครับเขาเปลี่ยนแปลง เขามีคุณภาพ เขาไม่ได้เอาทัวร์ศูนย์เหรียญมารุงรังพันเตอย่างนั้น และที่ไปเจรจาความกับท่านคือว่าอยากให้มาระหว่างเดือนที่ไม่พีค เขาไม่เรียกว่า high season มา low season คือมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน มีเหตุคือชวนให้เขามาในอีก 4 เดือนที่ว่ากำลังจะแห้งแล้ง ไม่มีแขกไม่มีอะไร อยากให้เขามาตอนนั้น โรงแรมก็ครึ่งราคา อาหารก็ถูกกว่า ทั้งหมดพูดกันไว้เชียงใหม่ ก็เอาสิ่งที่พูดไว้ไปเจรจาความ คือให้เขามาเพราะบ้านใกล้เรือนเคียง บิน 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เข้ามาถึงเมืองไทย เขาบอกให้มาฝนฟ้าอย่างไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไรนัก มีฝนตกหน่อยเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวอื่นเขาไม่มา เรียกว่า low season ก็ไปทำงานอย่างนี้ เพื่อจะเอาคนมาให้เติม ในประเทศไทยผมยังทำเลย เวลาที่สัมมนามีงบสำหรับสัมมนา แต่ว่าไม่ออกเป็นคำสั่ง แต่ได้ออกเป็นคำแจ้งขอร้องไปว่าสัมมนาให้สัมมนากันเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ออกไปสัมมนาต่างจังหวัดอย่างเคย คือเวลาที่ high season ดันไปเข้าโรงแรมแข่งกับเขา ไปขอจองเขา ไม่สมควร แต่โรงแรมจะตายแห้งแล้ง นั่นละควรออกไปสัมมนา 4 เดือน
เห็นไหมครับ เราก็เป็นคนมีความคิดนี่ครับ ควรจะต้องทำอย่างไรแก้ไขอย่างไร เพราะฉะนั้น ไปชวนนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวจีนเป็นคนอันดับหนึ่งที่มาเที่ยวประเทศไทย และพูดจาขอร้องหมายความว่าให้เขารู้ว่าถ้าจะมาเมืองไทยถูกยิ่งกว่าเก่าอีก คือให้มาตอน low season แต่ต้องพูดกับทางไทยว่าต้องถูก ต้องถูกจริง โรงแรมเหลือครึ่งราคา อาหารการกินเหลือครึ่ง อย่างนี้เขาจะได้เข้ามาในยามที่เราไม่มีแขก ก็โดนด่านะครับ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทำแทบตาย นายกฯ ไปทำจะไปเอาทัวร์ศูนย์เหรียญเข้ามา คือไม่รู้แล้วพูด หมอนี่อยู่คอลัมน์หน้า 4
จีนถ่ายทอดเทคโนโลยีเกี่ยวกับดินขับให้ไทย
ถัดไปก็คุยกันเรื่องทัวร์เสร็จเรียบร้อย ก็ได้พบชุมชนชาวไทย ได้พบปะพูดจากัน การพบปะกับชุมชนชาวไทยก่อนนี่มีประโยชน์ แล้วพบกับท่านนายกฯ จีนทีหลัง เวลาไปถึงมี 2 ท่อนคือเขาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งดำเนินการเท่ากับระดับผม และเขามีประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้บริหารส่วนหนึ่งด้วย คือบริหารเกี่ยวกับงานทหาร ก็ได้พบประธานาธิบดี ก็คุยกัน ก็แสดงความเสียใจที่เหตุเกิดอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ก็บอกเขา และก็แสดงความยินดีที่งานโอลิมปิกของเขาในที่สุดก็ทำได้เรียบร้อย พอเสร็จเรียบร้อยเราก็คุยทีละเรื่อง บอกเขาว่าเรื่องแสดงความเสียใจ แสดงความยินดี และก็บอกว่าผูกพันไมตรีมา 33 ปียังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นโยบายจีนเดียวก็จีนเดียว คุยแต่ละเรื่อง ๆ แต่ที่เรื่องสำคัญคือท่านประธานาธิบดีท่านเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้ว่าการทหารของจีนใหญ่ที่สุด ก็มีความร่วมมือกันทางทหาร ผมก็มาอยู่กับทหาร 4 เดือน เขามีการร่วมมือกัน คือจีนได้ให้สิ่งซึ่งไม่ได้ให้ใครในโลก คือการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องดินขับ คือจีนคิดประทัดได้เมื่อ 4,000 ปีก่อน เรื่องดินขับดินระเบิดเทคนิคเขาชั้น 1 เขาตกลงจะถ่ายทอดให้ไทย จะทำลูกกระสุน ลูกปืน ทำจรวด ถ่ายให้ และเขาก็ตกลงกับกองทัพบก ผมก็เรียนท่านประธานาธิบดีว่าเราไม่ได้ให้แต่กองทัพบกทำ เราต้องการให้ทัพเรือ ทัพอากาศ ร่วมมือด้วย เราบอกเราทำไว้ป้องกันประเทศเรา และก็ขอบคุณเขาในความร่วมมือ จีนไม่เคยฝึกอะไรกับใคร จีนก็ฝึกกับไทย ไทยส่งทหารไปฝึกกันที่กวางโจว ทหารจีนส่งมาฝึกที่เชียงใหม่ เป็นความแลกเปลี่ยนกัน มีคอบบร้าโกลเอาจีนเข้ามาสังเกตการณ์ และคุยกันเรื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ เรื่องอะไรต่าง ๆ ซึ่งไม่สมควรจะบอกละเอียด แต่ว่าบอกว่าได้คุยกัน ผมก็ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีด้วย
พบประธานโอลิมปิกจีน
เสร็จจากท่านประธานาธิบดีแล้วก็มารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็มา ก่อนหน้านั้นท่านประธานโอลิมปิกนายหลิว ฉี พูดง่าย ๆ ว่าคุ้นเคยกันมานาน เพราะว่าผมเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปี 2543 ไปถึงก็เจอกันประชุมกันคุ้นเคยกัน อยู่ประชุมกัน 4-5 วันเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีอะไรท่านจะเชิญอีก ผมไปปักกิ่ง 4 หน โดยท่านหลิว ฉี เป็นคนเชิญไป ก็ไปช่วยเขานั่นอะไรต่าง ๆ วันนั้นตอนที่ไปครั้งแรกที่เจอเราเพิ่งแพ้โหวต เราบอกต่อไปนี้สนับสนุนจีนเต็มที่เรื่องโอลิมปิก และก็ทำอย่างนั้นจริง เจอกัน 4 หนได้คุยกันเรื่องถนนหนทาง วงแหวนกี่วง วงสุดท้าย จีนมีวงแหวน 6 วง ในกรุงเทพฯ ได้วงในกับวงนอกเท่านั้น แต่จีนมี 6 วง เขาปรับปรุงแก้ไข ก็ต้องยินดีกับเขา ๆ มาเยี่ยมคำนับเพื่อนเก่าเจอกัน พูดถึงความหลังของเขา พูดถึงว่าที่วิ่งคบเพลิงโอลิมปิก กรุงเทพฯ ดูแลให้เรียบร้อย นั่นละครับที่ประเทศจีน
เสร็จจากปักกิ่งแล้วลงมาที่กวางโจว ลงมากวางตุ้ง ๆ เมืองหลวงคือกวางโจว ผมไปกวางโจวมาเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ยังแย่ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่บัดนี้มาเมืองกวางโจว ขึ้นไปดูบนตึกชั้น 30 ของโรงแรมแชงกรี-ลา ทางขวาเป็นแม่น้ำจูเจียง สวยงาม ทางขวามือ เป็นเหมือนอิมแพคที่เมืองทองธานี เป็นศูนย์การประชุม กวางตุ้งมีงานประชุม Expo ปีละ 2 หน 6 เดือนมีหน และเวลาจัดงานต้องผลัดกันครับ จัด 10 วันทางนี้เข้า 10 วันทางนี้เข้า แปลว่าแทนที่จะเป็นบริษัทอยู่แช่ 20 วัน เขาเอาข้างละ 10 วัน พูดง่าย ๆ ว่าจัดงานได้ 40 วัน
ดูผลไม้ไทยที่ส่งไปขายตลาดในกวางโจว
ที่ไปกวางโจวเจตนาจริง ๆ ต้องการไปดูเรื่องผลไม้ ผมอยากรู้จริง ๆว่าผลไม้ไทยที่เดินทางไปถึงต่างประเทศนั้น เดินทางอย่างไร ขึ้นไปใต้ท้องเครื่องบินหรือไปเรือ ไม่รู้ ของเราดี แต่ว่าเราต้องพูดเลยนะว่าของดีของเรา ส้มโอ 8 อย่าง ดี 2 อย่าง ลำไยมีกะโหลกสีชมพูเขียวเบี้ยว และมี 2 อัน แต่อันอื่น ๆ นั้นก็เป็นลำไยละครับ เม็ดไม่โต เม็ดข้างในโต อย่างนี้เอาไปได้หรือไม่ ทุเรียนว่าดีตกลงกำลังนี้กินหมอนทองมาตรฐาน จะเอาไปแล้วส่งปลายทางอย่างไร ผมอยากรู้จริง ๆ เพราะฉะนั้น ไปกวางโจวก็เพื่อแบบนี้ไปเลยครับ ไปถึงก็ไปดูเขา อยากดู packaging การเดินทางเป็นอย่างไร การเดินทางก็เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกง 5 วัน ไปตู้คอนเทนเนอร์ มี 2 องศา และอยู่ในนั้น packaging ที่ผมถือ หีบห่อดีมาก เป็นที่พอใจ สวยงามเลย ตามใจเลย 10 กิโลกรัม ลำไย ขอเปิดตรงนั้นเลย เขาตัดและก็ขอชิมตรงนั้นเลย เพราะว่าอยากรู้มานานว่าต้นทาง 6 วันแล้วเป็นอย่างไร 6 วันเปิดมา ก็ใช้ได้ครับ แต่บังเอิญลำไยที่ในนั้นเป็นลำไยก่อนฤดูกาลของเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ลำไยไทยเหมือนกันแต่ว่าเป็นลำไยจันทบุรี และถามสิครับว่าเป็นอย่างไร ก็ใช้ได้ครับ แต่ว่าเขากำหนดว่าระดับ 3 เกรด C ถ้าเป็น A ก็ได้ A ตัวเดียว เขาให้ B ด้วยซ้ำไป ก็เอาไปถึง ทุกอย่างดีครับ แต่เราจะชมเชยอย่างเดียวไม่ได้ เราก็บอกว่าเดือนนี้จะเดือนดี ก็พูดจากัน ลำไย ดูมังคุด เพราะมังคุดเมื่อเวลาที่ พอชวนกินจะขยุ้ม หยิบปั๊บจะเอามือขยุ้ม เราบอกไม่ได้ถ้าจะนั่นหามีดมาหน่อย จะต้องปอกขอบอย่างนี้แล้วเฉือนมา การปอกขอบไม่ใช่เพื่อความสวยงาม สำหรับการทดสอบ ท่านปอกแล้วท่านลองไปดู ซื้อมังคุดตลาดมา และปอก ท่านจะเจอสะดุดไปเดินหน้าไม่ได้ บางอัน 7-8 อันเดินหน้าไม่ได้ นั่นแปลว่ามังคุดไม่ดีนะครับ มังคุดดีไม่ต้องมีจุด ๆ ๆ ๆ เนื้อแน่น ประเภทดันหน้าไม่ได้ มันต้องปรืดตลอดหมด เฉือนปั๊บเปิดออกมา นั่นละครับของดี แต่ที่เอาไปตะกุกตะกัก ๆ กึ๊ก ๆ ๆ ๆ เป็นจุด ๆ ๆ ๆ คือเดินหน้าไม่ได้แล้วปาดออกมา ข้างในเป็นแก้วใสออกมา เป็นแบบสีเหลืองเป็นกำมะถันอยู่ก็มี อย่างนี้ไหวไหมครับ เราต้องบอกตรง ๆ ครับว่าต้องเอาของดีไปให้เขา ไปขายเขา แบบนี้ไป
ทุเรียนเป็นอย่างไร ทุเรียนก็เดินทางเหมือนกันครับใส่ไปกล่องหนึ่ง 9 กิโลฯ packaging ทุกอย่างดี แต่ทว่า ถูกต้องครับทุเรียนต้องเอาขั้วออกหมด หน้าตาทุเรียนนั้น หน้าตาบางทีก็ดีครับ มังคุดก็หน้าตาดี แต่ปอกมาแล้วมันสะดุด ทุเรียนปอกแล้วเป็นอย่างไรครับ คนจีนกินทุเรียนเละเป็นปลาร้า แต่ปอกออกไปแล้วทุเรียนกำลังพอใช้ได้ ไม่เละ ยังไม่เป็นปลาร้า แต่มันจืด ไม่มีรสชาติเลย ความหวานแทบไม่มี มันได้อย่างไรครับ ถ้าความหวานเรากินทุเรียนเมืองไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ไปถึงเมืองจีนมีสัก 40 เปอร์เซ็นต์ แล้วจะเป็นทุเรียนได้อย่างไรครับ ความหอมไม่มี บังคับจนกระทั่งความหอมไม่เหลือแล้ว กินทุเรียนไม่เรอแล้ว ผมเสียใจเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะผมไปบรูไนแสดงสินค้า OTOP แสดงสินค้า Fruit คือผลไม้ ทุเรียน มังคุด มังคุดก็อีหรอบเดียวกัน ทุเรียนยิ่งแย่ ผมปาฐกถาทูตมา 14-15 ประเทศมาร่วมงาน ผมก็สอดแทรกปาฐกถาคุยกันเป็นภาษาอังกฤษให้เขารู้ คุยเรื่องผลไม้ไทย ผมยังไม่ทราบนะ ผมบอกเราต้องคัดอย่างยอดอย่างดีมาก ผมคุยถึงเรื่องมะละกอแขกดำของเรา ซึ่งทำไมไม่ไปต่างประเทศ มันดีถึงขนาด แต่ไม่ไปต่างประเทศ ไม่รู้เพราะเหตุอะไร แต่คนไทยดันสั่งมะละกอต่างประเทศเข้ามากิน
พอเสร็จแล้วก็คุยเรื่องผลหมากรากไม้ บอกเราต้องเอายอดมังคุด ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ คุยเรื่องกล้วยหอมเป็นอย่างไร ทางอเมริกาไปตัดกล้วยหอม ความหวาน 60 เราบอกตัดที่ 80 เพราะฉะนั้น เราเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ ต่างประเทศมากินกล้วยหอมอร่อยของเราได้ แต่อเมริกากินกล้วยหอมจำบ่ม ปาฐกถาเสร็จเรียบร้อยเชิญทูตมาล้อมวง บอกให้ปอกทุเรียน เห็นทุเรียนออกมาหยิบออกมาผิวเหลืองจ๋อยเลยครับ บอกว่าอย่างนี้เข้าไปข้างในต้องเป็นปลาร้าเหมือนกับ anchovy ว่าอย่างนั้น ภาษาฝรั่ง เชื่อไหมครับลูกเหลืองจ๋อยหน้าตา ถ้าพนันก็เสียเงินครับ กรีดออกมา ข้างในทุเรียนยังดิบอยู่ เปลือกสุกเหลืองจ๋อย ข้างในทุเรียนยังดิบอยู่ กดยังไม่ลง คนวันนั้นเขาก็กินทุเรียนปลาร้ากันทุเรียนนุ่ม แล้วทำอย่างไรครับ นี่แปลว่าทุเรียนจำบ่ม คือรีบตัดกันไป และทำส่งออก เสียหายครับ ต้องคำนวณได้เลยว่าทุเรียนเดินทางกี่วันอย่างไร ต้องคำนวณกันเรื่องนี้ แต่หลับหูหลับตาส่งไปอย่างนี้มันเสียหาย นายกรัฐมนตรีแทบจะเดินเอาปี๊บคลุมหัว เพราะว่าไปเอาของ 2 อย่างให้กิน กินไม่ได้ครับ หยิบให้ดู เอาที่เขาแกะไว้แล้ว ก็พอสุกพอนุ่ม กินไม่มีรสชาติเลย ไม่หวานครับ ได้อย่างไรครับ ไม่หอมไม่ว่า ไม่หวาน อย่างนี้สำนวนบอกต้องเอาปี๊บคลุมหัว ผมอยากหาปี๊บคลุมหัว เพราะปาฐกถาเอาไว้เสร็จเรียบร้อย ทูตขรตรีเศียรมา
เสร็จแล้วปรากฏว่าอย่างนี้นะครับ นี่นายกรัฐมนตรีไปตรวจเอง ผมถึงอยากรู้จริง ๆ ว่าปลายทางเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลายที่ส่งมังคุดออก ท่านลองดูว่าสวนไหนเอามา ท่านเอามาปอกขอบดูก่อนนะ แล้วสักปรืดลงไปแล้วเปิดออกมา ถ้ามันเดินหน้าตลอด นุ่มตลอดหมด นั่นดีครับดีแน่นอน แต่เดินไปติด ๆ ๆ ๆ 6 หน 7 หน มันเป็นจุดคือเนื้อเป็นไต เปลือกเป็นจุดแข็งรอบ ๆ พอสักลงไปเปิดออกมา มังคุดข้างในก็ไม่ดี แล้วส่งอย่างนี้ไปต่างประเทศ ลำไย ผมยกเว้นให้ เดี๋ยวท่านอาจารย์สุกรีจะมาโกรธผม เพราะว่าเขาซื้อจากกรุงเทพฯ กิโลฯ ละ 25 ไปถึงโน่นกิโลฯ ละ 55 ผมก็กลั้นใจบอกว่ามีหลายเกรด ก็คุณใส่เกรดอย่างนี้ถูกต้องแล้ว
มะม่วงไม่ต้องตรวจสอบแล้ว พอใช้ได้เพราะว่ามาตรฐานดี แต่ว่า 2-3 อย่างนี้เพิ่งไป คือไปได้และมาตรฐานไปก็ส่งกันใหญ่ เป็นตู้คอนเทนเนอร์เลยครับ ทำ packaging ทำ case ใส่ไป ลำไยหายใจได้ดี แต่น่าเสียดายไหมละครับ แกะออกมาแล้วมันไม่เจ๋ง นี่พูดกันตรง ๆ ละครับ ใครจะโกรธก็โกรธ แต่เราทำเพื่อจะให้ได้รู้ว่า ความที่ถูกที่ควรมันคืออย่างไร อย่างส้มโอจะกี่ตระกูล ก็ของใครว่าของใครดี อย่างนี้ต้องเหลือ 2 พันธุ์ เหลือขาวน้ำผึ้งกับทองดีเท่านั้นที่ไปได้ ส้มโอต้องไม่ใส่ตู้เย็นนะครับ ส้มโอต้องไปเปิดให้มันธรรมดา เพราะจะได้ลืมต้นสัก 2 อาทิตย์ยิ่งดี 2 อาทิตย์แล้วลืมต้นแล้วเปิดออกมาส้มโอดี นี่ยังไม่ได้ดูรายละเอียดเรื่องส้มโอ เพราะเหตุว่าเวลานั่นลูกเต่งตึงมีขั้ว ไม่ได้ละครับ ส้มโอต้องเริ่มสัก 15 วันให้เปลือกเหี่ยวข้างในถึงจะหวาน
ยิ่งดูสับปะรดแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่าไปมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ ที่บรูไนไปประเทศสุดท้ายไปเยี่ยม และได้พบกับทีมคนไทยก่อน และจะเฝ้าฯ ทีหลัง พบกับทีมคนไทยก็ดีนะครับ คนไทยมานั่งคุยมีงาน 10 ประเภท 9 ประเภทดีหมด อยู่ทางนี้มีความสุข ทำธุรกิจทุกอย่างดีหมด แต่ทว่าการบินไทยหมดบิน บอกว่าผู้โดยสารไม่เต็ม ขาดทุน เลิกบินเลยครับ คือทั้งหมดมีเสียหายอันเดียวการบินไทย แต่ว่าที่การบินไทยหยุดบินนี่ละครับ มันเป็นคำตอบว่า ประเทศนี้เขาก็เบาบางลงไปทุกอย่าง เนื้อที่เขา 5,700 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ประชากรมี 380,000 เท่านั้น ผมไปบรูไนเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ปีหนึ่งก่อนรับเอกราช ไปมาตอนนั้นประชากร 300,000 เวลา 25 ปีประชากรเพิ่มขึ้น 80,000 ก็ดีนะครับ แต่ว่าทุกอย่างไปทำอะไรเพื่อจะนั่น ไม่ได้ครับ นอกจากงานก่อสร้าง งานน้ำมัน ถึงได้สตางค์ วันนี้ต้องไปคิด
สนับสนุนเอกชนเข้าไปลงทุนธุรกิจอาหาร Halal ในบรูไน
ผมได้เฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ทรงฝากถามถึงพระสุขภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้กราบบังคมทูลไป และทุกอย่างคือสนทนาเป็นเรื่องธรรมดาก่อน แล้วย้ายห้องไปประชุมเรื่องธุรกิจ ก็ไม่มีปัญหาอื่น เพราะ 2 ประเทศนี้ ที่นั่นมีเงิน ทางเรามีเทคโนโลยี มีงาน มีคน เวลานี้ทำอย่างไร ทุกอย่างเบาบางลงหมด ทางบรูไนอยากจะได้เป็น Halal Food Center เราก็จะทำ แต่ผมคิดปั๊บ ผมตัดสินใจผมเองเลยบอกว่า ถ้าทรงจะสนับสนุนที่บรูไน เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าบริษัทใหญ่ ๆ ของเรามีธุรกิจ มีความสามารถมาก แต่เขาอาจจะไม่อยากเอาเงินไปลงที่นั่น ธุรกิจนี้ทำแล้วออกได้เลยครับ แต่ให้บรูไนทำดีไหม ดีครับ เพราะอาหาร Halal เขาจะส่งตะวันออกกลาง ส่งอะไรต่ออะไรหมด เขาเป็นตัวต่อ Brand ของเขา แต่ไทยลงทุน ผมสนับสนุน กราบบังคมทูลสมเด็จพระราชาธิบดีบอกว่าให้บรูไนลงทุนเลย ผมจะมาชวนอย่างน้อย ๆ 2 บริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ไปทำอาหาร Halal ที่นั่น ทำแล้วส่งขายคนบรูไนไม่ได้ครับ คน 380,000 ไม่ได้หรอกครับ ต้องส่งคนในโลกนี้
อันนี้ละครับที่ตกลงว่าสนับสนุน และก็กราบบังคมทูลสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนว่าเมืองนี้แม้จะ 5,700 ตารางกิโลเมตร แต่ปัจจัยของเมืองนี้มากมาย ประเทศไทยบังเอิญมีธุรกิจ มีเทคโนโลยีทางการอาหาร การผลิต การอะไรต่าง ๆ เรามีพร้อม เพราะฉะนั้น ที่เราขาดคือเงิน ทางเราถ้าบริษัทจะมาทำที่บรูไน เรายินดีนะ ไม่ใช่ทำเพื่อจะให้คนบรูไนจะบริโภค ไม่ได้ละครับ 380,000 แต่ว่าส่งออกทั่วโลก แต่ให้ผลิตที่ในประเทศบรูไน เพราะเงินของเขาบอกเขามีไม่อั้น เรื่องนี้พอลองเริ่มก่อสร้าง คนไทยก็ได้เข้าไปทำงานอีกแล้ว ทำโรงงานเสร็จคนไทยก็เข้าไปทำงานอีกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เจรจาความกันเรื่องแบบนี้ ทั้งหมดก็อยู่ที่บรูไน แล้วก็ได้มานี่ รุ่งขึ้นก็มีงานเรียกว่าการแสดงสินค้า OTOP และผลไม้ จากประเทศไทย ท่านทูตก็ดี เชิญทูตต่าง ๆ มา ไม่ได้ละครับ ท่านเชิญมาแล้วท่านบอกให้ผมตัดริบบิ้น ผมบอกขออนุญาตแหวกคิวหน่อย คุยอยู่ประมาณสัก 20 นาที คุยเรื่องผลหมากรากไม้อะไรต่าง ๆ เสร็จแล้วไปเจอของจริงเข้า หน้าหงายเลย มันต้องให้ได้เรื่องอย่างนี้ครับ ไปพบมาแล้วอย่างนี้ ทั้งหมดก็รายงานให้ทราบครับ เดินทางออกประเทศ กำลังนี้ไปมาแล้ว 10 ประเทศแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีครับ เดินทาง
ชี้แจงกรณีสื่อเสนอข่าวนายกฯ กุข่าวถูกจับตัวที่สนามบิน
ทีนี้ก็ถึงตาที่ผมจะต้องคุยกับท่านผู้ชมทั้งหลายหน่อย คือว่าวันนี้อยากจะเริ่มต้นด้วยภาษาไทยอาทิตย์ละหลายคำ เริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้นว่า เขาลงข่าวว่า สมัครกุข่าวเรื่องถูกจับตัวที่สนามบิน เรื่องกุข่าวจับตัวสนามบิน ฟังอย่างนี้เหมือนกับเอาข่าวว่าถูกจับแล้วมาทำ แล้วไม่ได้ถูกจับจริง แล้วข้อเท็จจริงอย่างนั้นออกข่าวกันเอิกเกริกเลยครับ กุข่าวว่าถูกจับที่สนามบิน ผมก็เล่าให้ฟังแต่เพียงว่า ผมถูกผู้สื่อข่าวถามตอนอยู่ประเทศจีน ถามว่ามีข่าวว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาวันศุกร์ เผื่อไปลงเครื่องบินแล้วจะจับตัวไปฟังคำพิพากษาเลย และก็ทำกันอย่างนั้น ได้ข่าวก็พูดจาทำนองว่าจะไม่ได้ประกัน ก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป แม้แต่วันเดียวก็ไม่ได้เป็นแล้วครับ ผมก็บอกว่านี่เป็นข่าวลือ อย่างนี้วันหลังจะส่งข่าวลือมาให้แนบเนียนหน่อย อธิบายความว่าผมไม่เคยได้ยินข่าวนี้หรอก แต่ข้อเท็จจริงคือคดีความผมอยู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์นั้นจะเป็นคนวินิจฉัย ท่านจะอ่านเมื่อไรท่านต้องแจ้งให้ผมทราบ คือต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แล้วผมก็ไปฟังคำพิพากษา ฟังคำพิพากษาเสร็จจะลงโทษอย่างไรก็ตามแต่ ต่อไปผมก็ต้องประกันตัว ก็เท่านั้นเอง ถ้าแจ้งมาบอกให้ฟัง ไม่ไป แจ้งมาอีกหนไม่ฟัง ท่านก็จะออกหมายจับผม และท่านจะอ่านลับหลัง ก็เท่านั้นเอง ผมก็อธิบายความว่าถ้าจะเอาข่าวอย่างนี้ออกให้แนบเนียนหน่อย
พอมาถึงกรุงเทพฯ กลายเป็นว่าสมัครกุข่าวถูกจับสนามบิน ก็ผมไปบน.6 (ท่าอากาศยานทหาร (กองบิน 6)) มีคำอธิบายอีกนะ สมัครจะหลีกเลี่ยงไม่ลงสุวรรณภูมิให้มาลง บน. 6 ก็ผมไปเครื่องบินทหารอากาศ ขาออกก็ไปบน.6 ขากลับก็ลง บน. 6 ขาไปผู้บัญชาการทหารอากาศก็มาส่ง ขากลับท่านก็มารับ เหมือนกับว่าผมจะเอาเครื่องบินพาณิชย์ที่จะต้องลงตรงนั้นบังคับให้มาลง บน. 6 มันบ้ากันขนาดนี้ครับ แต่ที่บ้าเกินไปกว่านั้นคือว่า เขาบอกเลยว่า พาดหัวข่าว สมัครกุข่าวอย่างนี้ ปชป.เลยบอก 5 พรรคให้ถอนตัว ทำไมละครับ ภาษาไทยคำว่า “กุ” แปลว่า คนที่เป็นตัวข่าวเอาออกข่าวมาเอง อย่างนั้นเรียกว่ากุข่าว แต่ถ้าเผื่อว่าหนังสือพิมพ์อยู่ดี ๆ เขียนข่าวขึ้นมาเองเรียกว่า “ เต๊า” สำนวนที่เขาเรียก เต๊าข่าว พอมีอะไรข่าวเขียนขึ้นมาเอง เต๊าข่าว แต่คนที่ถูกเป็นข่าวแล้วอ้างว่าอย่างนั้นเขาเรียก กุข่าว กุก็ใช่ เต๊าก็ใช่
ชี้แจงกรณีสื่อเสนอข่าวสถานที่ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่
ถัดไปก็นี้คำนี้อีก วันเสาร์เช้า พาดหัว “ชัยหักหมัก” เรื่องอะไรเรื่องสถานที่ เหมือนกับว่าผมอยากจะให้ก่อสร้างอยู่ที่ทางปากเกร็ด แต่ท่านประธานชัย ชิดชอบ ท่านจะให้เอาที่คลองเตย พาดหัวเลยครับ “ชัยหักหมัก” โอเคเช้าวันเสาร์ วันอาทิตย์ผมนัดกัน พอดีผมนัดไว้ก่อนผมไป นัดกันล่วงหน้า กลับมาวันเสาร์ก็เอาละ ผมบอกไหว ก็ไปดูที่คลองเตยเพราะรถไฟเขาจัดการ เนื้อที่ใกล้เคียงกัน ผิดกัน 3 ไร่ เนื้อที่กว้างยาวมาก ลึก และทุกอย่างเจ๋งครับ อยู่ริมแม่น้ำและอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ไปดู ไปดูเมื่อวานวันเสาร์ พอวันอาทิตย์เช้าบอกอย่างไรรู้ไหม “หมักกินรวบ” คือกินรวบที่ก่อสร้างที่ตรงคลองเตย วันเสาร์พาดหัวเลย “ชัยหักหมัก” พอถึงวันอาทิตย์กลายเป็น “หมักกินรวบ” ความจริงทั้งหลายทั้งปวงเรื่องของประธานสภาฯ (นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร) ท่านกำลังดำเนินการเรื่องนี้ จะตัดสินรอบสุดท้าย ท่านถามผมมาว่าท่านนายกฯ จะมาช่วยกันคิดหน่อยได้ไหม ผมบอกความจริงทางท่านเป็นหลัก ทางรัฐบาลเป็นคนให้งบประมาณ เพราะฉะนั้น ท่านจะเอาก็ได้ ถ้าอยากจะดู ท่านบอกเหลือ 2 แห่งสุดท้าย แต่ที่ทางคลองเตย ท่านยังไม่ได้ดู ไปดูก็ไปดู ผมเป็นคนจัดการหาเรือ ขอเรือกรมเจ้าท่าเอาไปให้ดู ก็ไม่มีอะไรละครับไปดู และดูแล้วก็ยังไม่ตกลง ต้องเรียกประชุมครับว่าสุดท้ายอย่างไร จะเอาเอกสารมาวางแล้วเขาจะตัดสินใจกัน
ออกข่าวกัน หักก็มี กินรวบก็มี “หัก” สำนวนแปลว่า หักหน้า คืออย่างนี้ก็หักธรรมดา แต่ว่า “ชัยหักหมัก” แปลว่า เหมือนกับหักหน้านายสมัคร นายสมัครอยากจะได้เมืองนนท์ ประธานชัยฯ ท่านอยากจะได้คลองเคย ก็เลยหัก หักหน้าสมัครทำนองนั้น เขายังไม่ตกลงกันเลยนะครับบอก หมักกินรวบ กินรวบน่ะพวกหวยใต้ดิน เขาเรียกหวยกินรวบ ธรรมดาถ้าบนดินก็กินแบ่ง สลากกินแบ่งหมายความว่าขายแล้วก็จัดการแบ่งสรรและแบ่งปันกัน สำนวนด่าทอก็เผื่อใครไปได้อะไรมา และเอาไว้คนเดียว พรรคพวกไม่ให้ ไม่แบ่งกันเลย อย่างนั้นเรียกว่า กินรวบ แล้วการสร้างอะไร เขาตกลงเลือกสถานที่กันของหลวงทั้งคู่ ของทหาร ทางนี้ก็ของการรถไฟฯ แล้วอย่างไรครับ ใครจะไปกินรวบอะไรได้แค่ไหนอย่างไร ฉะนั้น คนที่เขียนข้อความอย่างนี้ ต้องมีความคิดครับว่าจะเขียนถึงใคร เขียนอะไรอย่างไร สักแต่ว่าเขียน ๆ ๆ ๆ เวลาผมว่าเข้าก็ทำฟึดฟัด ๆ โกรธเคืองว่าไปว่าอีกแล้ว และถ้าไม่ว่าก็เล่นกันตามใจชอบอย่างนี้
ชี้แจงคดีปราสาทพระวิหาร
ทีนี้ถัดไปก็เรื่องเหลืออีกแผ่นหนึ่ง ตรงนี้ละครับ เขาบอกว่าอย่างไร ต่อไปนี้คำภาษาไทยที่คนไทยจะต้องพูด ประเทศไทย คนไทย รัฐบาลไทย จะต้องใช้คำ ๆ เดียวกันเสมอนะครับ คดีปราสาทพระวิหาร จำไว้เลยนะ ให้ใช้เหมือนกันหมด หนังสือพิมพ์ไม่รู้ คุณจะต้องรู้ตั้งแต่บัดนี้ ใช้คำว่าคดีปราสาทพระวิหาร และอีกคำหนึ่งคือพื้นที่พิพาทพระวิหาร สองคำเท่านั้นละครับ อันอื่นไม่ต้องพูดถึง คดีปราสาทพระวิหาร พื้นที่พิพาทพระวิหาร ใช้ให้คล่องอย่างนี้นะครับ รัฐบาลต้องใช้อย่างนี้ครับ อธิบายให้ฟังไว้ และก็บอกให้ฟังว่าอย่างกรณีที่ออกข่าวกันตอนเช้า จับผิดนพดล ไปซัดเอารัฐบาลเก่าเข้า ผมว่าท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นพดล ปัทมะ เป็นคนไทยทั้งสองละครับ ทำงานเหมือนกันทั้งคู่มีความคิดอย่างเดียวกัน แต่มันต่างกรรมต่างวาระ คุณนิตย์ฯท่านไปทำกลาง ปีกลายนี้ สถานการณ์ยังไม่มี ข้อมูลอะไรก็ยังไม่นั่น เขาก็ตัดสินใจแบบนั้น ก็สงวนสิทธิ์ไว้เหมือนกัน คุณนพดลฯ มาทำตอนนี้ข้อมูลเป็นอย่างไร ก็ทำไว้เหมือนกัน ก็สงวนสิทธิ์ไว้เหมือนกัน เหมือนกันทั้งคู่ครับ แต่ว่าสื่อสารมวลชนนั้น กระทบกระแทกแดกดัน จะเอานพดลฯให้ตายให้ได้ แสดงว่าคุณนิตย์ฯ คิดเป็นนพดลฯ คิดไม่เป็น ไม่ใช่ละครับ ไปถามกระทรวงการต่างประเทศเขาดู ไปถามแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ไปถามเจ้ากรมแผนที่ทหาร เขาดูกันมาหมดเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ใช่หลับหูหลับตาสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงแต่ว่าตอนคุณนิตย์ฯ ท่านเหลืออีก 1 ปี จะดำเนินการ พอมาถึงคุณนพดลฯ ก็เหลืออีก 2-3 วันจะดำเนินการ เท่านั้นละครับข้อแตกต่าง และเขาจะตกลงกันอย่างไร ก็ให้เขาตกลงกันไป ขอยืนยันนะครับว่าที่พาดหัวกันวันนี้ จะเอานพดลฯ เหมือนกับคอยจับผิดนพดลฯ จ้องนพดลฯ เกินเหตุนะครับ ผมยืนยันว่าเกินเหตุ
เรื่องนี้ผมจะบอกให้ฟังว่า ทำไมผมถึงบอกเมื่อวานนี้ ผมจะพูดเรื่องคดีปราสาทพระวิหารวันนี้ ผมเองคือธรรมดาเขาไม่ต้องพูดถึงละครับ คือไม่ควรจะไปพูดถึงอะไรต่ออะไรที่เป็นคดีความที่เกี่ยวถึงศาล เพราะผมก็มีคดีครับ คดีอยู่ศาลแพ่งก็มี ศาลอุทธรณ์ก็มี ศาลฎีกาก็มี ศาลปกครองก็มี ศาลรัฐธรรมนูญก็มี เวลานี้ผมอยู่ในศาล 5 ศาล ศาลแพ่ง ศาลอุทธรณ์ ศาลปกครอง ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ มี 5 ศาลครับเป็นจำเลย เป็นโจทก์อยู่อันเดียวคดีศาลแพ่ง นอกนั้นเป็นจำเลยนะครับ และบางคดีรอตัดสิน บางคดีหมายความว่าคดีหมิ่นประมาท ก็รอจะตัดสินสุดท้ายอย่างไร กลายเป็นเรื่องมากมาย แต่พวกนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมาปิดปาก ที่ผมจะแสดงความคิดเห็นวันนี้ และไม่ใช่ความคิดเห็นของผมด้วย แต่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมควรจะต้องพูดกับผู้คนทั้งประเทศได้ถึงกรณีที่เกิดขึ้นเรื่องนี้
ผมอ่านให้ฟังนะครับว่าเมื่อเวลาที่มีคนไปร้องศาล ผู้คนที่ไปร้องศาลก็นี่เลย คนไปร้องศาล นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ที่ 1 นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ 2 นายนคร ชมพูชาติ นายสุริยะใส กตะศิลา นายคำนูณ สิทธิสมาน นายคณิศร ฑปภูผา นายกิ่งแก้ว โยมเมือง นางรัศมี ไวยเนตร 8-9 คน เป็นผู้ร้องคดีไปร้องศาลปกครองกลาง ระหว่างนี้ 9 คนนี้เป็นผู้ฟ้องคดี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ 1 คณะรัฐมนตรีที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี เห็นไหมครับ เรื่องอย่างนี้ก็ดำเนินการ พอดำเนินการเสร็จแล้วศาลปกครอง ก็ออกคำวินิจฉัยของท่านออกมา คำวินิจฉัยออกมา คณะรัฐมนตรีมีประชุมและมีมติออกมาก็ 1. รับทราบและให้ถือปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองกลาง 2. ให้ส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเพื่อให้ความเห็นและคำแนะนำ ควรจะมี 2 อันนี้เท่านั้นครับ แต่ว่ามีข้อ 3. ด้วยคือ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งระงับผลการใช้บังคับของคำแถลงการณ์ร่วมออกไปก่อน ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้รัฐบาลกัมพูชาและองค์การยูเนสโก คณะกรรมการมรดกโลก ทั้งหมด 21 ประเทศ หัวหน้าผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมประชุมสมัยที่ 32 เมืองควิเบก แคนาดา อัครราชทูตไทยถาวรประจำยูเนสโก เอกอัครราชทูตไทยประจำแคนาดา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบภายในวันที่ 1 กรกฎาคม อันนี้ละครับ นักวิชาการกฎหมายในประเทศไทยบอกว่าคณะรัฐมนตรีปฏิบัติการเกินกว่าที่ศาลสั่ง น่าคิดไหมครับ ผมฟังอย่างนี้ผมก็ต้องตะแคงหูฟัง อย่างนั้นหรือครับ เกินกว่าที่ศาลสั่ง
คือคำวินิจฉัยเป็นทำนองสรุปง่าย ๆ ถ้าคนธรรมดาฟังเข้าใจง่ายก็คือว่า กรณีนี้ท่านคิดว่าควรจะต้อง ถ้าสงสัยนี้ต้องควรที่จะอยู่ที่มาตรา 190 และให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ แต่ท่านว่าศาลปกครองเหมือนกับว่าจะเป็นผู้วินิจฉัยกรณีนี้ อย่างนี้ได้หรือไม่ แต่ถ้าหากว่าอันนี้ตกลงที่เขาเรียกกันภาษาฝรั่งว่า President คือตั้งกันไว้ว่าเป็นมาตรฐาน เอาตกลงเอาอย่างนี้ ต่อไปก็ต้องเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าแล้วตกลงต่อไปนี้คนเป็นรัฐบาล จะไปทำอะไรกับใคร บริหารบ้านเมืองได้อย่างไร กับประเทศที่ไหน ๆ เขา ไปตกลงอะไรกับใครอย่างไร ธรรมดา พอมีคนร้องขึ้นศาล ใครจะไว้วางใจรัฐบาลไทย
การคานอำนาจกันในระบอบประชาธิปไตยของไทย
จริงอยู่อำนาจเขาคานกัน ก็คืออำนาจทั้ง 3 อำนาจอธิปไตยก็คืออำนาจบริหาร ก็โดยรัฐบาล เริ่มต้นต้องเริ่มต้นอย่างนี้ก่อนครับ ประเทศไทยจะต้องเริ่มต้นด้วยอำนาจนิติบัญญัติ คือไปเลือกตั้งเอาตัวแทนมา แล้วนิติบัญญัติจะแบ่งส่วนหนึ่งมาเป็นบริหาร เป็นอีกอำนาจหนึ่งบริหาร บริหารโดยคณะรัฐมนตรี นิติบัญญัติโดยสภา และที่มีอยู่ติดกับบ้านเมืองนี้ตลอดมาคืออำนาจตุลาการ อำนาจตุลการเป็นอำนาจที่ 1 ใน 3 คานกันอยู่ แต่ว่าระบบของเราเป็นเรื่องของการ ระบบราชการประจำนั้นคือศาลได้ใช้ระบบราชการประจำตลอดมา จนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งไม่ใช่ความเสียหาย แล้วก็เป็นเรื่องดีด้วย คือว่าท่านอยู่เหมือนกับว่าถ่วงน้ำหนัก คือทั้งหมดเวลาเราเรียนหนังสือนี้ก็จะถ่วงกัน อันนี้ถ่วงอันนี้ ๆ ระบบเขาสร้างไว้อย่างนี้ แต่ว่าในเวลาบัดนี้ นักวิชาการบอกว่าถ้าหากว่ากรณีนี้ ถ้าหากว่าศาลปกครองใช้อำนาจกับรัฐบาลได้อย่างนี้ แล้วต่อไปอำนาจบริหารจะทำอย่างไร เพราะอำนาจบริหารติดต่อกับผู้คนทั้งหมด จริงอยู่ครับเช่นว่าจะถ่วงว่าเขียนรัฐธรรมนูญไว้ นี่ไงที่เขาพูดว่ามาตรา 190 มาตรา 190 วรรคหนึ่งยังไม่ใส่ แต่วรรคสองเขียนไว้ครอบจักรวาล อะไรก็ไม่ได้เลย เพราะว่ามาตรา 190 วรรคสองอันนี้ถึงได้ทำให้พันธมิตร 7 คนไปร้อง แล้วศาลก็สั่ง นักกฎหมายท่านก็ไม่ใช่รัฐบาล ท่านก็ไม่ได้อย่างไร ท่านคงไม่มีคดีความอะไรติดตัวเหมือนผม ท่านก็แสดงความคิดเห็นเลย ซึ่งเป็นความคิดเห็นซึ่งน่าคิด น่าคิดครับ
การใช้รัฐธรรมนูญปี 2540
คือแต่ก่อนนี้เราอยู่กันมา เราอยู่กันมาตลอด ๆ มีระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 วันที่ 10 ธันวาคม เราก็มีรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้กันมา ๆ ก็ใช้กันสิครับ ก็มาแล้ว 17 ฉบับ ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 18 เปลี่ยนแปลงได้ไหม เปลี่ยนแปลงได้ครับ ฉีกทิ้งได้ไหม ก็มีคนฉีกทิ้งมาแล้ว แก้ไขได้ไหม แก้กันมาแล้วครับ รัฐธรรมนูญเป็นของที่คนเขียนขึ้น คนล้มล้างได้ คนทำอะไรได้ทั้งนั้นละครับ แล้วสุดท้ายนั้นก็มีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ออกไป ว่ากันว่าดี แต่ทว่าไป ๆ มา ๆ ผมขอย้ำครับ รัฐธรรมนูญ 2540 เขาเกิดขึ้นมาเพราะความขัดแย้งทางการเมือง หลังจากการปฏิวัติโดยไม่มีเหตุผลเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 แล้ว ก็ได้มีความคิดเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ในที่สุดก็ให้รัฐบาลที่เป็นคนกลางเป็นนายกฯ มาจัดการให้ พอรัฐบาลยังทำไม่ได้ตั้งไข่ไม่ได้ ก็มีการเลือกตั้ง รัฐบาลท่านนายกฯ บรรหารฯ รัฐบาลท่านนายกฯ พลเอก ชวลิตฯ ก็จัดการดำเนินการให้มีคณะ ส.ส.ร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ให้ร่างรัฐธรรมนูญ แปลว่าพวกที่มาจากเลือกตั้งร้องที่จะให้สร้างกติกาใหม่ เราก็ได้ร่วมกันสร้างกติกาเมื่อ 2540 แล้วได้ใช้ทันทีไหม ไม่ได้ใช้ เพราะว่าท่านพลเอก ชวลิตฯ ท่านอยู่ 1 ปี เขาเดินขบวนว่าท่านที่สีลม ท่านลาออก พอลาออก พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เข้ามาบริหาร เหลือเวลาอีก 3 ปีได้เข้ามาบริหาร พอบริหารก็ยังรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ปี 40 ประกาศใช้แต่จะต้องใช้เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป ท่านพลเอก ชวลิตฯ ถ้าท่านเป็นนักการเมืองต้องได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 1 ปีท่านลาออก พอลาออกปั๊บรัฐธรรมนูญยังไม่ใช้ คุณชวนฯ ท่านก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยู่อีก 3 ปี จนปี 44 จึงจะได้ใช้รัฐธรรมนูญปี 40
เมื่อใช้แล้วผมก็อธิบายให้ฟัง นี่ไม่ได้เรื่องอะไรอื่นครับ เรื่องให้ฟังให้เข้าใจเรื่องการบ้านการเมือง รัฐธรรมนูญปี 40 ใครต่อใครว่าดี แล้วทำไมถึงต้องฉีกทิ้ง ผมจะบอกให้ฟังครับ รัฐธรรมนูญ 40 เขาเขียนมาเขาเพื่อต้องการให้มีรัฐบาลที่แข็งแรง ที่แล้วมารัฐบาล 6 เดือนล้ม ครึ่งปีล้ม 1 ปีไปไม่รอด เขาก็เขียนให้แข็งแรง เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครอย่างไรหรอกครับ แต่ก็เกิดมีรัฐบาลที่เขาเกิดมีสถานะแข็งแรงทางการเงินการอะไร เขาก็เข้ามาเป็นรัฐบาล พอมาเป็นรัฐบาลแล้ว คือถ้าการเลือกตั้งเมื่อปี 44 เลือกกันครั้งแรกตอนรัฐธรรมนูญปี 40 ถ้าหากว่าฝ่ายค้านได้คะแนน 126 ไม่มีเรื่องเลยครับ ถ้าได้ 126 เพราะว่าจะเอารัฐมนตรีไปวิจารณ์ ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีต้องมี 125 ฝ่ายค้านเลือกมาได้ 123 ก็เล่นงานรัฐมนตรีก็เล่นไม่ได้ เล่นนายกฯ ก็ไม่ได้ นายกฯ ต้อง 200 ประทานโทษตอนที่เลือกตั้งกันนั้น ผมอ้างผิด อันที่สองครับปี 48 ต้องปี 48 คือปี 44 — 48 นี้อยู่กันมาได้เรียบร้อยดี พรรคการเมืองที่เป็นตัวหลักได้ 248 เอาอีกพรรคหนึ่งไปรวมก็เกินครึ่ง ก็บริหาร ก็อยู่มาได้ 4 ปีเต็มเลยครับ เลือกตั้งใหม่ ผมลำดับความ เลือกตั้งใหม่ 377 ต่อ 123 ตรงนี้ละครับคือตัวชนวน คือถ้าได้ 126 หมดเรื่องครับ รัฐมนตรีจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เอานายกฯ ไม่ได้แต่เอารัฐมนตรีได้ทั้งฝูง แต่เกิดได้ 123 จะอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมี 125 นี่ละครับคือจุดยั่วกิเลส เอาก็ไม่ได้ นายกฯ เอาไม่ได้รัฐมนตรียังเอาไม่ได้ นี่ละครับที่เกิดเหตุ ก็เลยกลายเป็นว่าก็คิดว่าหัวหน้ารัฐบาลเก่าจะต้องอยู่กันตลอดไป เลยต้องให้มีความเปลี่ยนแปลง ก็ล่อกันไปสิครับ ล่อกันไปอย่างนั้นก็ตั้งข้อกล่าวหา ผมต้องย้ำเลยนะครับว่าที่เขากล่าวหากันจนกระทั่งคนครึ่งประเทศต้องใช้คำนี้ ผมต้องใช้ด้วยครับ ว่าคิดคลางแคลงใจว่านายกฯ คนที่แล้วมีพฤติการณ์ไม่จงรักภักดี ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ เข้าไปรุกล้ำสื่อสารมวลชน ท่องได้เลยครับ 4 ข้อนี้ กล่าวหากันอย่างนี้ จนกระทั่งเสร็จแล้วก็สุกงอม ปฏิวัติ แต่วันจริง ๆ ไม่งอม เขาบอกถ้าไม่ปฏิวัติรุ่งขึ้นจะต้องนองเลือด ไม่มีหรอกครับ แต่ปฏิวัติก็ปฏิวัติเอาเถิด แล้วปฏิวัติแล้วก็ 1 ปีตามสัญญาเสร็จก็ประมาณ 1 ปี 5 เดือนก็กลับมาเลือกตั้งกันใหม่
รัฐธรรมนูญก็ยังเป็นอย่างนั้นแต่มันถูกฉีกทิ้ง แล้วถูกเขียนขึ้นมาใหม่ อะไรที่เกลียดแค้นชิงชังรัฐบาลเก่าก็เขียนใส่รัฐธรรมนูญหมด รัฐบาลทำอะไรกลายเป็นเลวหมด มาตรา 190 ถึงเกิดขึ้นไงครับ มาตรา 237 ถึงเกิดขึ้นไงครับ 309 ผมไม่พูดถึงเรื่องการเมือง แต่ 237 แต่ก่อนก็มีครับ แต่มีแค่แสดงว่าใครไปทำอะไรคนนั้นจะโดนใบแดง แต่วรรคสองบอกเลยว่าถ้าเป็นกรรมการบริหารพัวะละก็ไปทำอะไรไม่รู้ แต่ถ้าโดนพัวะลงไปทั้งพรรคโดนยุบ นี่มันของใหม่นะครับ มาตรา 190 ข้อแม้ข้อแรกใคร ๆ ก็รับได้ แต่ข้อแม้ข้อสองมันเกินเหตุไหมครับ มันเกินเหตุขนาดที่เรียกว่าคน 9 คนไปยื่นก็เกิดเรื่องเลยครับ รัฐบาลถูกมัดมือมัดเท้าเลยทันทีอย่างนี้เลย นักวิชาการเขาถึงได้ออกมาแสดงความเห็นไงครับ ว่ากรณีอย่างนี้แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมเป็นคนมีส่วนได้เสีย เรื่องนี้จะไม่ปัดไปบอกว่าความเห็นส่วนตัว ไม่ครับ ผมจะบอกว่าเป็นเรื่องของนักวิชาการ ท่านได้กรุณาแสดงความคิดเห็น ผมก็พูดกับท่านพี่น้องประชาชนได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าคิด เพราะว่าถ้าหากว่าทางศาลปกครองดำเนินการอย่างนี้ ที่เขาร้องไม่ใช่ ต้องอธิบายความก่อน เขาอยากให้คณะรัฐมนตรียื่นไปศาลปกครองสูงสุด คือกำลังนี้หมายความว่าคณะรัฐบาลกลัวระบบอำนาจศาลเสียจนกระทั่ง แม้จะยื่นไปก็ยังไม่กล้า ในขณะเดียวกันที่พันธมิตรเขาไม่กลัวเลยครับ ศาลสั่งห้ามไม่ให้นั่นไป เขายื่นอุทธรณ์ครับ เขาไม่ดำเนินการและยังไม่อุทธรณ์ด้วย แต่รัฐบาลทำท่า นักวิชาการจึงต้องออกมาไงครับ ว่า 1- 2 โอเค แต่ 3 นี่มากเกินไป แปลว่ายังไม่ต้องทำอะไร แล้วให้รอศาลปกครองกลางก่อน ศาลปกครองสูงสุดก่อน เห็นไหม
ยันทุกฝ่ายให้ความเคารพศาล
เรื่องอย่างนี้ผมต้องพูดให้ท่านฟังวันนี้ ผมมีคดีอยู่ในศาล 5 ศาลครับ แล้วพูดจาอวดศักดากับศาลไม่มีครับ รัฐบาลก็กลัวศาล ใคร ๆ ก็กลัวศาลทั้งนั้น แต่ว่าสิ่งซึ่งอยากให้พี่น้องประชาชนได้คิดคือว่า เวลามีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้วไปหยิบเอาอำนาจซึ่งอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นตัวที่ว่าถ้าเผื่อสภากับรัฐบาลทะเลาะกันนี้ศาลตัดสิน แต่เวลานี้ศาลท่านก็ลงมา ศาลไปอยู่ใน กกต. เลขา กกต. ก็เป็นศาล ศาลมาเป็นรัฐมนตรี เอาศาลมาเป็นอธิบดี ย้ายเข้าไปกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารเลยครับ ศาลอธิบดี แล้วก็เอาท่านซึ่งอยู่ข้างบน เอาลงมาอยู่ในที่ ๆ ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ นี่ข้อเท็จจริงไม่มีใครพูดหรอกครับแต่ผมพูด และผมก็แน่ใจว่า ศาลทั้งปวงท่านก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร แต่ว่าระบบที่ ผมจะไปพูดได้นะครับว่าศาลถูกใครแทรกแซง ผมพูดไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าระบบนั้นไปดึงเอาสถาบันซึ่งควรจะเป็นการถ่วงอำนาจ เอาลงมา คือศาลมาเป็นรัฐมนตรีแล้วยังจะต้องกลับไปเป็นศาลอย่างเก่าอีก ศาลมาเป็นอธิบดีแล้วจะกลับไปเป็นศาลอีก ศาลมาเป็น กกต. แม้กระทั่งเลขา กกต. กำลังนี้มีเรื่องคาราคาซังกันอยู่ครับ เพราะว่าเลขา กกต. ท่านโดนกล่าวหาเรื่องเกี่ยวกับการพิมพ์บัตร ท่านก็บอกว่าไม่ได้ หน่วยงานธรรมดาก็ยังต้องพูดจากัน ขัดแย้งกันเลยครับ ขัดแย้งกันเลย แปลว่าถ้าเผื่อทางนี้ทำผิดใครจะตรวจสอบไม่ได้ แล้วได้ไหมครับ เป็นเอกสิทธิ์ เป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเพราะมันย้อนกลับมาหาผม คดีกรณีอย่างนี้เรื่องที่ว่า DSI ไปสอบเรื่องเลขานุการ เป็นคณะเลขาธิการของ กกต. เรื่องจัดการพิมพ์บัตรมากบัตรเกินอะไรต่าง ๆ เข้าไปสอบท่านบอกสอบไม่ได้ ตัวท่านเลขาธิการฯ เองท่านก็มาจากศาล ทั้ง 5 นั้นท่านก็มาจากศาล
แล้วเรื่องพรรค์อย่างนี้กรณีที่เกิดขึ้นอย่างนี้แล้วผมจะทำอย่างไร ผมเป็นนายกรัฐมนตรี สื่อสารมวลชนทั้งหลายจับจ้อง รัฐบาลนี้ถ้าอะไรต่าง ๆ คือถ้าผมพูดแต่จับจ้อง พันธมิตรจะจับจ้อง มาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ทำไมจะแก้ไม่ได้ละครับ ถ้ามันไม่ดีทำไมจะแก้ไม่ได้ ไม่ได้เลยถ้าแก้รัฐธรรมนูญต้องเอารัฐบาลออกไปเลย รัฐธรรมนูญตกไปแก้ไม่ได้เพราะคนไปถอนชื่อ จัดการ เอ้า มีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมิ่นอย่างไรครับ เขาหมิ่นกันมา เขาทำกันมา 10 เดือนแล้ว คนที่ยื่นก็รู้ความหมิ่น เขาเก็บใส่ลิ้นชักไว้ ถ้าไม่เป็นรัฐมนตรีก็ปลอดภัย ก็กลายเป็นคนดีไป กลายเป็นคนจงรักภักดีเหมือนคนธรรมดา พอไปเหยียบหางใครเขาเข้าเขาก็ควักออกมาแจ้งความทันที ดำเนินการ เหตุเกิดเมื่อไร เหตุเกิดเดือนสิงหาคม 2550 เอามาล่อกันเดือนเมษายน 2551 แล้วก็จะมาเค้นคอให้ผม บอกให้จัดการทันที ผมบอกไม่ได้ ตำรวจจัดการ ผมไม่ใช่ศาล ตำรวจต้องจัดการทันที พอตำรวจจัดการเสร็จปั๊บเขาก็ต้องลาออกไป 1 หลุดไป 2 หลุดไป 3 มาถึงบอกตอนรัฐมนตรีต้องออก ไม่ไว้วางใจรัฐบาลต้องไล่ไป ไล่รัฐบาล รัฐบาลก็ยังไปและก็ยังอยู่ได้
อ่านคำแถลงส่วนตัวกรณีปราสาทพระวิหาร
เหยื่อชิ้นใหม่มา คดีปราสาทพระวิหารมา กระโดดเข้ามาก็ล่อกันไป ได้ไหมครับเรื่อง จะทำก็ทำได้แต่เกินเหตุไหมครับ เกินเหตุครับ เกินเหตุ คำแถลงของผมซึ่งผมควรจะต้องอ่าน เพราะว่าไม่อยากจะให้ผิดพลาด ผมบอก ทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าเทียมกัน บัดนี้เรื่องนี้อยู่ที่คนกลางที่จะเป็นผู้ตัดสิน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีทั้งในระดับระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชาด้วย ถูกต้องไหมครับ ผมจะอ่านคำแถลงส่วนตัวของผมให้ฟังอีกทีครับ “ทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าเทียมกัน บัดนี้เรื่องนี้อยู่ที่คนกลางที่จะเป็นผู้ตัดสิน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีทั้งในระดับระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชาด้วย” เห็นไหมครับ ต้องเป็นอย่างนี้ครับ คือจริง ๆ แล้วต้องนึกถึง อยู่กันมา 45 ปี เรื่องจะทำอะไรต่ออะไรอย่างไร ๆ ก็เขาพูดกัน จะเอาขึ้น ท่านก็บอกว่าไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยกลับมาสุดท้ายเขาบอกเขาจะขีดเอาเฉพาะตรงนั้นขึ้นไป ก็บอกให้คนกลางที่ยูเนสโก ปารีส ดู ยูเนสโกบอกขีดตรงนี้ก็โอเค อย่างนี้ก็ได้ก็โอเคก็ส่งไป เท่านั้นเองครับได้หรือไม่ได้ก็ยังไม่รู้ เรื่องทั้งหมดมีเท่านี้ ไม่มีใครเสียอะไร ทางโน้นก็ไม่ได้ ทางเราก็ไม่เสีย แต่เอามาใช้เอามาเล่นเอามาถล่มกันในสภาจนกระทั่ง 45 ปี คิดดูสิครับ เหตุการณ์ที่แล้วที่เกิดมา ตัวละครพูดจริงไม่จริง ไปพูดไปเอาคืน ไปเอานครวัดนครธมคืน เกิดอะไรขึ้นครับ เผาสถานทูตกัน
นี่นายกฯ กับนายกฯ ต้องโทรศัพท์พูดกัน ผมไม่ได้ไปขอร้อง บอกคุณช่วยดูสถานทูตไทยให้ดีหน่อย แล้วเราจะดูสถานทูตคุณให้ดี เพราะต้องเท่าเทียมกัน เสียรังวัดทั้งคู่ เสียหายทั้งคู่ ทางโน้นมีอะไรทางโน้นมีพรรคการเมืองฝ่ายค้านซึ่งก็ไม่อยากให้รัฐบาลนี้อยู่ ทางนี้ก็มีนักการเมืองฝ่ายค้านซึ่งก็ต้องซัดรัฐบาลนี้ รัฐบาลเสียรังวัดทั้งคู่ ไม่มีใครคิดได้ทั้งคู่ ทางโน้นอาจจะได้ชื่อเสียงว่าได้ขึ้นมรดกโลกในสมัยรัฐบาลตัว การขึ้นจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่รู้ ขนาดพิพาทกันตรงนี้ไม่เอา เอาเฉพาะขีดตรงนี้ ถ้าขีดตรงนี้โดยสามัญสำนึกว่าไม่มีใครเสียหายอะไรก็เอาไปสิ แล้วคนตัดสินเขาก็ยังไม่ตัดสิน แต่ว่าคนสองประเทศถามสิครับว่าดำเนินกันไปธรรมดา ถกเถียงกันที่ประชุมธรรมดาไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ แต่ว่ากล่าวหาว่ากล่าวเสียจนกระทั่งต้องฮึ่ม ๆ กันแล้วครับ มันอยู่กันด้วยความสุข รั้วติดกันอย่างนี้ มีธุรกิจทำอะไรต่าง ๆ อยู่กันด้วยความสุข แล้วตรงนั้นจะทำอะไรก็มีคนเขาจะเซ็น ได้ไม่ได้แต่ยังไม่รู้ แล้วก็ไม่มีใครเสียไม่มีใครหาย แต่เอามาปลุกปั่น ผมใช้คำนี้เลยครับ ปลุกปั่นแสดงความเห็นจนกระทั่งบ้านเมืองจะต้องเผชิญหน้ากัน รัฐบาลกับรัฐบาล กั้นได้เพราะวงเล็ก แต่ประชาชนกับประชาชนก็แห่กันไปอีกแล้ว แบกศาลากันไปอีกแล้ว แสดงความรักชาติแสดงความรักแผ่นดิน นิ้วเดียว ก็มันไม่เสียอะไรไปสักนิ้วสักเซ็น จะแสดงกันทำไมละครับ แสดงความรักเพื่อให้คนชื่นชม ผมก็รักครับ ผมก็ห่วงผมก็หวง ทางเขา ๆ ก็คิดเหมือนกัน ของพรรค์อย่างนี้ต้องคิดต้องนั่นหน่อย
ไป ๆ มา ๆ เรื่องนี้ละครับ โยงใยไปถึงอำนาจ 3 อำนาจของเรา อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร นักวิชาการบอกอย่างนี้ ถ้าอำนาจตุลาการล้ำอำนาจบริหารอย่างนี้ อำนาจบริหารบริหารไม่ได้ ดำเนินการอะไรต่ออะไรไม่ได้ครับ มันไม่ได้ถ่วง มันขัดเลย ดึงเอาไว้เลย แล้วเราจะอยู่ในโลกนี้บริหารได้อย่างไรครับ ในเมื่ออีกอำนาจหนึ่งจับแขนไว้อย่างนี้ เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ ที่ผมพูดเมื่อวานผมจะพูดเรื่องนี้ละครับ แล้วพอพูดได้ ก็ฟังดูสิครับ ท่านพี่น้องประชาชนทั้งประเทศท่านคิดเถอะครับว่า ดูอะไรที่เกิดจากเหตุ เหตุคือต้องการจะไล่รัฐบาลนี้ เหตุคือเกลียดนายกฯ เก่า แล้วนายกฯ เก่าก็เกิดฆ่าไม่ตาย ขายไม่ขาด เกิดกลับมาขึ้นศาลได้ เขาขึ้นศาลอยู่ ต้องล่องศาลอยู่ แต่กล่าวหารัฐบาลนี้ว่าปกป้อง ผมไปปกป้องอำนาจศาลได้หรือครับ ไปรุกล้ำท่านได้หรือครับ ไม่ได้ ไป ๆ มา ๆ ก็เร่งกันไปเร่งกันมา เขามาขึ้นศาลก็ต้องตามความต้องการ
ผมก็เป็นนายกรัฐมนตรีผมมาจากการเลือกตั้ง จะโยงใยอย่างไร สมาชิกสภาสับไปสับมา อยู่พรรคโน้นก็มี พรรคนี้ตรงนี้ก็มี แล้วผมก็เป็นนายกฯ ผมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยตัวผมเอง จะด้วยอะไรก็ได้สุดแท้แต่ ก็นัดกัน พรรคก็พรรคใหม่ ชื่อก็ชื่อใหม่ แล้วผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง คนละคนกันเลยครับ อยากจะพูดว่าคนละความคิดก็อยากจะพูดได้ ผมอาจจะไม่เก่งเท่า แต่เราก็รวบรวมคนเก่ง รัฐบาลดูหน้าตา ก็เอาเข้าไปอยู่ในนั้น 111 คนนะครับ คนเก่งการเมือง ที่ควรจะเอื้อเฟื้อทางภาคการเมืองนี้ ถูกกักไว้ 111 ก็เอาที่เหลือมาจัดรัฐบาล ก็เอาที่เหลือมาจัดรัฐบาล ก็เอาเท่าที่ได้ แต่คนเดียวไหม ไม่ครับ 6 พรรค อีก 5 พรรคเขามีคนเก่ง มีครับ รัฐมนตรีท่องเที่ยว รัฐมนตรีเกษตรเขาช่วยงานเยอะ รัฐมนตรีช่วยคลังเขาก็ช่วยงานเยอะ รัฐมนตรีแต่ละพรรคทำงานกันนั้นเป็นทีม ก็อยู่ด้วยกันได้ทำอย่างนี้ แต่ว่าจะมีคนอดรนทนไม่ได้ จะพยายาม แต่บอกกุข่าว กุไม่กุไม่รู้หรอกครับ ออกมาเลยครับ พรรคประชาธิปัตย์ออกชื่อก็ได้ ออกมาเลยบอกว่าให้อีก 5 พรรคตัดสินใจถอนตัว คำอธิบายชัดเจนเรื่องเท่านี้ พอถามมาผมก็ตอบไปแค่นี้เอง แต่มาทำข่าว อะไรกันนักหนาละครับ เสร็จแล้วนี่ละครับเรียกร้องทุกโอกาสจ้องเลย
พันธมิตรก็ทำอย่างเดียวกันนี้ เรื่องนี้ไม่ได้เอาเรื่องนี้ ๆ จะเอากันให้ตาย ให้มันหลุด ให้บ้านเมืองบรรลัยวายวอด คนสองประเทศจะอย่างไรช่างมัน ให้กูจะได้เป็นรัฐบาลต่อก็แล้วกัน หรือฆ่ารัฐบาลนี้ให้พัง ให้มันตายลงไปก็แล้วกัน ได้ไหมครับแบบนี้ บ้านเมืองกำลังดำเนินการ เพิ่งจะกอบกู้สถานการณ์เพิ่งจะกลับมา 4 เดือนกำลังดำเนินการ ต้องพูดกันให้มันชัดเจนเลยครับ เพราะผมก็จะต้องการทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองนี้ต่อไป มันไม่ได้เลวทรามถึงขนาดไหน จะเป็นจะตายเขียนจดหมายใครต่อใคร พูดจา เหมือนกับบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้แล้ว ประชาชนอะไรต่ออะไร เขาอยู่ได้ครับ เขาอยู่ได้ น้ำมันขึ้นมันขึ้นทั่วโลก ราคาแพง ๆ ทั่วโลก ราคากำลังแก้ไข กำลังหาวิธีแก้ไข มีวิธีการ แต่ละประเทศมีวิธีการ คนบางคนกระเย้อกระแหย่ง คำนี้บอกว่าผมเป็นคนเอามาใช้ ถูกต้องมันอยู่ในพจนานุกรมมานานแล้วครับ มันใช้เลยครับ กระเหี้ยนกระหือรือ กระเหี้ยนกระหือรือกันจริง ๆ ครับ อยากจะฆ่านายกฯ คนก่อน จะลากผมเอาไปรวมฆ่าด้วย ไม่ได้ครับ ไม่ได้กินหรอกผมบอกให้รู้แล้วกัน คิดว่าจะงอมแล้วฝ่ายทหารจะออกมา ไม่ได้กินหรอกครับเพราะเขามีสติปัญญาความคิด เขารู้ว่าอะไร ๆ ควรเป็นอะไร แล้วผมก็ไม่ได้ทำแสดงว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่หรอกครับ
ผมทำงานร่วมกัน ผมทำงานให้บ้านเมืองนี้ เพราะฉะนั้นงานที่ผมทำนี้ผมได้อะไรอย่างไร ผมไม่ต้องการอะไรหรอกครับ ผมมาสุดทางของผมแล้ว แต่กลับมาช่วยผมก็ช่วย ผมต้องมาทำงานนี้เพราะว่าผมตกลงไปเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อถูกเลือกตั้งต้องเข้ามาตรงนี้ ต้องทำครับ นายกรัฐมนตรีคนก่อนเขาจะขึ้นศาล ก็ให้เขาขึ้นศาลไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผม จะฆ่าคนโน้นก็จะลากผมไปฆ่าด้วย ไม่ได้ครับ อย่างไรก็ฆ่าไม่ได้ จะเกลียดชังอย่างไรก็ตามแต่ จะเอาผมไปโดนด้วย ผมไม่มีวันยอมอย่างนั้นหรอกครับ เห็นกันชัด ๆ นะครับว่ามันอะไรเป็นอะไรอย่างไร พรรคการเมืองฝ่ายค้าน โฆษกพรรคการเมืองฝ่ายค้านแจ๋ว ๆ ๆ คอยเก็บทุกประเด็น นั่นน่ะเขาออกความคิดอ่านไม่เข้าท่าอย่างนั้น แล้วพรรคพลังประชาชนบอกไม่เห็นด้วย อย่างนี้ใช้ไม่ได้เลย อย่างนี้ดีไม่ดีต้องกล่าวหาได้ด้วย พูดไปพูดมานั่นไป ไม่ตำหนิครับ ของพรรค์นี้ต้องตำหนิเลยว่าคิดได้อย่างไรอยู่ดี ๆ คิดอย่างนั้นได้อย่างไร บ้านเมืองเดินหน้าขนาดนี้จับไปถอยหลัง คิดเอาเอง หลักการมาจากไหนอย่างไร ไม่เข้าท่าครับอย่างนี้ ต้องพูดเลยครับ
ผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด ทีวีออกมานั้น ตั้งวงด่า ทีวีถ่ายทอดวงด่า ด่าหยาบด่าคายด่าเลวด่าทราม คนทั้งประเทศฟังหมด เขาไปบอกพวกที่ติดนั่นละครับคุณทำผิด หาว่าสั่งปิด เขาเตือนคนที่เอาเร็วไปว่าคุณจะต้องถูกนั่น หาว่าสั่งปิด แล้วบัดนี้ว่าอย่างไร ออกโทรทัศน์ข้างเดียวศาลท่านคุ้มครอง แล้วด่ารัฐบาล ด่าหยาบด่าคายด่าเสียด่าหายด่าหมดเลยครับ แต่ศาลปกครองคุ้มครอง แล้วกำลังนี้จะออกใหม่ เขาจะออกทีวีอีกช่องหนึ่ง แสดงความเห็นแล้วครับ ออกชื่อก็ได้ นายเทพไท เสนพงศ์ แสดงความเห็นเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องตอบโต้กัน จะเป็นเรื่องทำให้เกิดบรรยากาศ ความเสียหายจะกลับไปสู่ 2549 ด่าข้างเดียวนี่เขาบอกเขาจะแสดงความจริง เขาไม่ได้จะด่าเลยครับ จะแสดงข้อเท็จจริง คือด่าแล้วอีกข้างหนึ่งต้องฟังอีกข้างหนึ่ง จะออกโทรทัศน์ช่องทีวีนี้ ออกก็ออก ไม่ได้เรียกว่าสู้กัน เขาเป็นการจะหักล้างข้อมูลว่าคุณมานั่งด่าอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าคนทั่วประเทศได้รับข้อมูลจะได้รู้อะไรเป็นอะไร ออกมาว่า คือทางโน้นทำมาตลอด ทำมาเท่าไรไม่ว่าครับ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ว่า แต่พอทางนี้เขาจะทำขึ้นมาหักล้าง บอกว่าจะทำให้สถานการณ์เลวทราม ให้บ้านเมืองเลือดตกยางออก แปลว่าอย่างไรครับนี่
ต้องขออภัยท่านที่ส่งคำถามมา ผมไม่ได้มีโอกาสตอบ ผมต้องพูดเรื่องนี้วันนี้ผมพูดอย่างนี้ ที่น่าสนใจคืออย่างนี้ครับ คุณสุภาพสตรีต้องนั่งแท็กซี่มา ต่อโทรศัพท์ไม่ได้ แล้วต้องการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ร้องเรียนครับ แต่ในนามคนภาคใต้คนหนึ่ง จริง ๆ มากลุ่มหนึ่ง มาให้เลยครับ เอาจดหมายมาให้ มายืนยัน ว่ากรณีที่คน คือกำลังจะพูดเรื่องสำคัญหมดเวลา นิด ๆ หน่อย ๆ ต้องอธิบายความได้เวลานี้เขาต่อต้าน นายสมัคร เฉลิม ต่อไปคณะรัฐมนตรีจะลงจะต่อต้านไม่เอา ผมบอกไม่ได้หรอกครับ เขาถามผม เขาถามผมว่าอย่างนี้จะทำอย่างไร ผมบอกว่าผมคิดดีกับพวกนั้น คือผมไม่เคยคิดเลยทางคนใต้จะขึ้นมากรุงเทพฯ ผมไม่เคยคิดต่อต้าน ไม่เคยคิดเลยครับ ผมคิดดีกับพวกนั้นครับ ถ้าพวกนั้นคิดจริงว่าคนทางนี้รัฐมนตรีลงไปจะต้องต่อต้าน ผมว่าคิดสู้ผมไม่ได้ ผมคิดดีกว่า แล้วคนปักษ์ใต้ขึ้นมากรุงเทพฯ ผมก็ยินดีต้อนรับ ไม่มีคิดต่อต้านเลย ส.ส.ปักษ์ใต้ขึ้นมาไม่คิดต่อต้านเลยครับ ไม่เคยคิดเลย คิดอะไรโง่ ๆ พรรค์อย่างนั้นผมคิดไม่เป็น เวลาหมดครับ วันอาทิตย์หน้า 08.30 น. พบกันใหม่ วันนี้ลาก่อนครับ สวัสดีครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--