รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุยอมรับในการแสดงความคิดเห็นของรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองในภาพรวม พร้อมขอให้ทุกฝ่ายได้ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมที่จังหวัดกระบี่
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงเรื่องสืบเนื่องจากเมื่อวาน (3 ก.ค.)ที่มีการเปิดเผยชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์นายสาคร เกี่ยวข้อง ที่เข้าไปปรากฏตัวในขณะที่มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดล้อมหน้าโรงแรมกระบี่เมอร์รีไทมส์ เพื่อขับไล่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในช่วงที่เดินทางไปปฏิบัติราชการที่จังหวัดกระบี่ และดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว ว่า ตนเคารพในความคิดเห็นของดร.ไตรรงค์ ฯ และยอมรับในการแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นประโยชน์กับสถานการณ์บ้านเมืองในภาพรวม และเป็นเหตุผลที่คนไทย ทุกคนทั้งฝ่ายที่สนับสนุนหรือคัดค้าน จะต้องนำไปทบทวนไตร่ตรองให้เกิดผลปฏิบัติที่สร้างสรรค์กับประเทศต่อไป
จากนั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำซีดีเกี่ยวกับนายสาคร ฯ ที่ไปปรากฏตัวที่สนามบิน จังหวัดกระบี่ ในช่วงเวลาประมาณ 20 .00 น. ของวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีกลุ่มผู้ชุมนุม ฯ โดยไปยืนอยู่บริเวณริมระเบียงบนชั้น 3 ของสนามบิน และกำลังใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองถ่ายภาพลงมาบริเวณด้านล่าง ซึ่งนายสาคร ฯ ก็ได้ยอมรับว่าอยู่ที่นั้นจริง และชี้แจงว่าทราบเพียงแต่ว่าที่จังหวัดภูเก็ตมีการชุมนุมแต่ไม่ทราบที่จังหวัดกระบี่มีการชุมนุมเช่นกัน จึงไม่ไปพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังดูขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่เห็นจากซีดีที่ได้รับ ต่อจากนั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดซีดีพร้อมบรรยายเหตุการณ์ในซีดีดังกล่าวให้สื่อมวลชนได้รับทราบ และกล่าวว่า สิ่งที่ควรปฏิบัติของผู้ที่เป็น ส.ส. คือต้องพยายามเข้าไปทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม หรือหยุดยั้ง และไม่มีความจำเป็นที่ผู้ที่เป็น ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดกระบี่จะไปหลบอยู่เช่นนั้น หรือแม้แต่การไปยืนแล้วใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพดังกล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากนายสาคร ฯ มีความบริสุทธิ์ใจต่อกรณีดังกล่าวจริง และมีจุดยืนเหมือนดร.ไตรรงค์ ฯ ที่ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ก็ไม่ควรปฏิบัติเช่นที่เห็นในซีดีดังกล่าว ส่วนที่นายสาคร ฯ จะมีการแถลงข่าวชี้แจงในกรณีดังกล่าวในเวลา 14.00 น. ของวันนี้ ที่จังหวัดกระบี่ ก็ควรมีการชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนด้วย ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ผู้ที่เป็น ส.ส. ควรปฏิบัติอย่างไร
นอกจากนี้รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวอ้างว่ารองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายจตุพร พรหมพันธุ์ กำลังข่มขู่คนภาคใต้กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดกระบี่จะนำไปสู่การไม่อนุมัติงบประมาณในการแก้ปัญหาในพื้นที่ 14 จังหวัดในภาคใต้นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากตนและนายจตุพร ฯ ก็เป็นลูกหลานคนภาคใต้ จึงไม่เคยคิดหรือพูด รวมทั้งแสดงออกในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ตนและนายจตุพร ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารสั่งการหรือบังคับบัญชารัฐบาลนี้ ในการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ใด ๆ และแม้จากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมานั้น รัฐบาลจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งจากภาคใต้น้อยมากเมื่อเทียบกับพรรคฝ่ายค้าน ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่รัฐบาลจะนำมากล่าวอ้างไม่ให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้แต่อย่างใด
พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีความคิดที่จะไปดำเนินคดีทางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ กับฝ่ายใดเลยทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภาคใต้ และคนไทยทั้งประเทศ หากแต่จะเกิดความเสียหายมากกว่าจึงขอให้ทุกฝ่ายได้ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงเรื่องสืบเนื่องจากเมื่อวาน (3 ก.ค.)ที่มีการเปิดเผยชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์นายสาคร เกี่ยวข้อง ที่เข้าไปปรากฏตัวในขณะที่มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดล้อมหน้าโรงแรมกระบี่เมอร์รีไทมส์ เพื่อขับไล่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในช่วงที่เดินทางไปปฏิบัติราชการที่จังหวัดกระบี่ และดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว ว่า ตนเคารพในความคิดเห็นของดร.ไตรรงค์ ฯ และยอมรับในการแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นประโยชน์กับสถานการณ์บ้านเมืองในภาพรวม และเป็นเหตุผลที่คนไทย ทุกคนทั้งฝ่ายที่สนับสนุนหรือคัดค้าน จะต้องนำไปทบทวนไตร่ตรองให้เกิดผลปฏิบัติที่สร้างสรรค์กับประเทศต่อไป
จากนั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำซีดีเกี่ยวกับนายสาคร ฯ ที่ไปปรากฏตัวที่สนามบิน จังหวัดกระบี่ ในช่วงเวลาประมาณ 20 .00 น. ของวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีกลุ่มผู้ชุมนุม ฯ โดยไปยืนอยู่บริเวณริมระเบียงบนชั้น 3 ของสนามบิน และกำลังใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองถ่ายภาพลงมาบริเวณด้านล่าง ซึ่งนายสาคร ฯ ก็ได้ยอมรับว่าอยู่ที่นั้นจริง และชี้แจงว่าทราบเพียงแต่ว่าที่จังหวัดภูเก็ตมีการชุมนุมแต่ไม่ทราบที่จังหวัดกระบี่มีการชุมนุมเช่นกัน จึงไม่ไปพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังดูขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่เห็นจากซีดีที่ได้รับ ต่อจากนั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดซีดีพร้อมบรรยายเหตุการณ์ในซีดีดังกล่าวให้สื่อมวลชนได้รับทราบ และกล่าวว่า สิ่งที่ควรปฏิบัติของผู้ที่เป็น ส.ส. คือต้องพยายามเข้าไปทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม หรือหยุดยั้ง และไม่มีความจำเป็นที่ผู้ที่เป็น ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดกระบี่จะไปหลบอยู่เช่นนั้น หรือแม้แต่การไปยืนแล้วใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพดังกล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากนายสาคร ฯ มีความบริสุทธิ์ใจต่อกรณีดังกล่าวจริง และมีจุดยืนเหมือนดร.ไตรรงค์ ฯ ที่ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ก็ไม่ควรปฏิบัติเช่นที่เห็นในซีดีดังกล่าว ส่วนที่นายสาคร ฯ จะมีการแถลงข่าวชี้แจงในกรณีดังกล่าวในเวลา 14.00 น. ของวันนี้ ที่จังหวัดกระบี่ ก็ควรมีการชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนด้วย ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ผู้ที่เป็น ส.ส. ควรปฏิบัติอย่างไร
นอกจากนี้รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวอ้างว่ารองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายจตุพร พรหมพันธุ์ กำลังข่มขู่คนภาคใต้กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดกระบี่จะนำไปสู่การไม่อนุมัติงบประมาณในการแก้ปัญหาในพื้นที่ 14 จังหวัดในภาคใต้นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากตนและนายจตุพร ฯ ก็เป็นลูกหลานคนภาคใต้ จึงไม่เคยคิดหรือพูด รวมทั้งแสดงออกในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ตนและนายจตุพร ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารสั่งการหรือบังคับบัญชารัฐบาลนี้ ในการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ใด ๆ และแม้จากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมานั้น รัฐบาลจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งจากภาคใต้น้อยมากเมื่อเทียบกับพรรคฝ่ายค้าน ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่รัฐบาลจะนำมากล่าวอ้างไม่ให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้แต่อย่างใด
พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีความคิดที่จะไปดำเนินคดีทางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ กับฝ่ายใดเลยทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภาคใต้ และคนไทยทั้งประเทศ หากแต่จะเกิดความเสียหายมากกว่าจึงขอให้ทุกฝ่ายได้ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วย
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--