นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีนายชวน หลีกภัย ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายประเด็นปราสาทพระวิหารกรณีที่มีการพาดพิงหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (25 มิ.ย.) เวลา 15.35 น. ณ อาคารรัฐสภา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีนายชวน หลีกภัย ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายประเด็นปราสาทพระวิหารกรณีที่มีการพาดพิงหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถึงการเสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ดังนี้
ท่านประธานที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เมื่อนานหลายสิบปีก่อน ผมเคยตื่นเต้นเพราะถูกกล่าวหาแล้วต้องไปขึ้นประจันกันต่อหน้า พอผู้กล่าวหา ๆ เสร็จ ผมก็บอกไม่น่าเชื่อเลยครับเวลาผ่านมาสัก 30 กว่าปีแล้ว มาเจอบรรยากาศอย่างนี้อีก ขอเอาตอนท้ายไปหาต้น ผมก็นั่งฟังว่าเราไปทำอะไรอย่างไร มันอะไรกันนักหนา การสัมภาษณ์ของผมกับผู้สื่อข่าวมีวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาได้ 2 อาทิตย์ ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็สอบถาม ๆ ลองไปหยิบคนไทยสักร้อยคนเอามาถามสิครับ มีคนไทยคนไหนบ้างรู้อย่างที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ได้บรรยายมายาวเหยียด ใน 100 คนที่หยิบมามีชื่อนายสมัคร สุนทรเวช อยู่ด้วย ผมรู้อย่างที่ผมพูดก็นับว่ามากพออยู่แล้วนะครับ ที่ท่านลำดับความมานั้นตลอด ตัวเลขผมไม่ได้ผิดพลาดอะไรเลย
มีคนจำนวนหนึ่งไปประท้วงที่ตากใบ วันที่ก็ถูกต้องวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยในบ้านเมืองนี้ครับ แต่ผมก็รู้เท่าที่ข่าวรู้ และผมก็จำของผมตลอดมาอย่างนั้นเอง ตัวเองถูกต้องผมจำได้ถูกต้องครับ 6 คนที่ถูกไปประท้วงไปเรียกร้องให้ปล่อยตัว 6 คน คนตาย 78 คน ตัวเลข 1,300 ก็ใช้ได้ครับ ถูกต้องตรงกัน มาถามผม ๆ ก็รู้ เวลาผ่านมากี่ปี ผมก็จำขนาดนั้นละครับ ผมก็ตอบคำถามอย่างนั้น จนวันนี้ครับ จนนาทีนี้ ผมไม่เคยรู้เรื่องอย่างที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีเอามาเล่าให้ฟังอย่างนี้เลย ก็เพิ่งรู้อย่างนี้ครับ มันเหมือนกับว่าผมรู้อยู่หมดแล้วยังดันไปพูดอย่างนั้น ได้ยังไงครับ ถ้าผมรู้แล้วไปพูดอย่างนั้นว่ากันได้เลยครับ
นี่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2 อาทิตย์มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ผม ผมตอบอย่างที่ผมรู้ แล้วยังไงครับ เป็นอันว่าผมทำให้เสียหายกับบ้านเมือง คือท่านมาบอก ถ้าจะบอกอย่างนี้ต้องบอกว่ารู้ไหมที่พูดนั่นกระทบกระเทือนเสียหายเพราะข้อเท็จจริงเป็นอีกอย่าง อย่างนี้ก็พอไหวครับ แต่เหมือนกับว่าผมนี่พอรับตำแหน่งวันที่ 6 ต้องรู้หมดทุกอย่าง อะไรที่เกิดขึ้นที่ไหน และตอบอะไรต้องไม่ผิดพลาดเลย ไม่ได้หรอกครับ แม้แต่วันที่ 6 ตุลาคม ผมพูดชัดเจนว่าเท่าที่ผมเห็น ก็เขาเผากันตายที่สนามหลวง 1 คน และก็ออกข่าวมาเอิกเกริกเป็นทำนองว่าเขาตาย ก็ผมไม่เห็นที่อื่นผมจะไปยืนยันได้อย่างไรครับ ไปอ้างที่พูดปารีสผมไม่เถียงครับ เพราะผมไม่เคยได้ไปพูดอะไรอย่างนั้น
แต่ว่าอย่างคำพูดที่พูดกันเมื่อสักครู่ ตอนเริ่มต้น คนเนรคุณ ผมไม่เนรคุณครับ แต่ผมจะบอกให้ฟังพูดไปก็บอกว่าไปแขวะเอาสื่อสารมวลชน ในบ้านเมืองนี้เวลาใครตอบคำถามอะไรแล้ว จะมีคำที่ออกไปอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการดัดแปลงคำตอบไปเสร็จเรียบร้อยหมด ทุกวันนี้ไปอ่านดูสิครับ พาดหัวทุกตัวเช้า ๆ ก็ไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นมันดัดแปลงไปหมด
กรณีนั้นผมไม่มีวันไปตำหนิอาจารย์เสนีย์ละครับ แต่ผมจะพูดว่าในกรณีเรื่องเขาพระวิหารนั้นข้อเท็จจริงที่รู้กันคือว่าเราแพ้เขาเรื่องแผนที่ ถ้าผมจะผิดพลาดก็คงเพียงแต่ว่าเราแพ้เขาเรื่องที่ว่าไปยอมรับว่าแผนที่นั้นเป็นของเรา ตามเส้นทางตามแผนที่ เท่านั้นละครับ พอออกมาเขาก็ตีความกันเสร็จเรียบร้อยว่า ผมใช้คำว่าทนาย ทนายของเราไปยอมรับเรื่องแผนที่ ผมพูดไปก็ตรงไปตรงมาธรรมดา แล้วก็ธรรมดาที่มาเป็นทางวิชาการที่อ่านหนังสือให้ฟังกัน ก็มีภาษาฝรั่งด้วยว่าเป็นเรื่องของกฎหมายปิดปาก คุณนพดล (นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ยังมาเล่าให้ฟังว่าคดีนี้เป็นตัวอย่างที่เขาเอามายกตัวอย่าง ภาษาฝรั่งเฉพาะเลยชื่อกฎหมายปิดปาก ผมรู้เหมือนที่คนไทยธรรมดารู้ รู้ว่าเราต้องแพ้คดีเพราะเรื่องแผนที่ ผมพูดไปเท่านั้นครับ แต่ข่าวออกมาเลยเท่ากับผมอ้างว่าใส่ชื่ออาจารย์เสนีย์ ผมไม่ใส่ครับ แต่หนังสือพิมพ์จะออกข่าวอย่างไรนั้น มันกลายเป็นผมว่ากล่าว ผมจะไปว่ากล่าวคนเป็นครูบาอาจารย์ได้อย่างไรครับ
ผมกับท่านอดีตนายกฯ ชวน ก็เรียนหนังสือสำนักเดียวกันมา รู้จักท่านอาจารย์เสนีย์มาเหมือนกันครับ ไม่มีอะไรจะไปตำหนิติเตียนท่านได้เลย แต่ว่าเวลาผมถูกตำหนิติเตียน ผมก็ต้องเถียงว่าผม แต่ผมไม่เนรคุณ ถ้าจะแปลความว่าอย่างนั้น มีหลายอย่างที่ผม เวลาที่เขาสัมภาษณ์ออกไปแล้วไม่ได้ตามไปชี้แจง ข่าวที่ออกมานั้น ครบถ้วนหมด คือพูดสลึงลงบาท เป็นอย่างนั้นหมด เขาจัดการตกแต่งใส่ข้อความให้เสร็จหมด ถ้าเราไม่ได้อ่านก็ไม่ได้ คนอื่นอ่านก็กลายเป็นว่าเราพูดอย่างนั้นเต็ม ๆ เล่นอย่างนี้ครับ
อย่างกรณีตากใบผมจำตัวเลข ผมไม่มีคลาดเคลื่อน กรณีกรือเซะ ผมอธิบายความได้ชัดเจนเพราะเขาอธิบายความไว้อย่างนั้น เข้าไปอย่างนั้นมีรองเท้าใส่ไว้ข้างใน มี 32 คน และคนที่ล้อมอยู่ตรงนั้นตัดสินตายไป กรือเซะผมก็อธิบายแบบนั้น ตากใบก็อธิบายแบบนั้นว่าเขาจับขึ้นไปขึ้นรถหลายคัน แล้วจับซ้อน ๆ ๆๆกันไป และผมก็ยังมีความเชื่อของผมอยู่ คุณหมอพรทิพย์ (แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์) ไม่เชื่อก็ไม่เป็นปัญหา ก็พูดกันอย่างนั้น ความจำของผม ผมก็จำอย่างนั้นและผมก็เล่าอย่างนั้น เหตุเกิดวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ผมกำลังนั้นไม่เป็นอะไรเลยครับ และผมไม่ต้องไปรับผิดชอบรายละเอียดอะไรต่าง ๆ จะสอบจะสวนอะไรผมไม่เคยรู้เลยครับ ไม่เคยทราบเลยว่าอะไรเป็นยังไง แต่ผมทราบในความทรงจำของผมคือว่ามีจำนวนถูกต้อง ผมบอกตัวเลขถูกต้องแล้ว ผมเข้าใจว่ายืนกันไป แล้วก็ล้มทับลงไปแล้วก็ตาย
และก็บอกการที่ผมไปพูดจาอย่างนั้นกลายเป็นว่าผมทำความกระทบกระเทือนน้ำใจ โอ๊ยตายจริงอย่างนี้ และต่อไปนี้ต้องประกาศเลยผู้สื่อข่าวต่างประเทศต้องไม่พูดหมด ในประเทศก็ไม่พูด ไม่พูดมานาน ไม่พูดเป็นเดือน เพราะแบบนี้ละครับ ทั้งหมดนี้เวลาว่าไปก็บอกว่ายังไงก็ไปลงสื่อ ก็สื่อลงยังไงละครับ ไปแปลความใส่ข้อความให้เต็มหมด ดัดแปลงให้ทั้งหมด แล้วผมคนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้อ่าน คนอ่านที่ไปสัมภาษณ์ กลายเป็นอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้น ผมขอเรียนว่าแต่ละข้อแต่ละตอนที่ท่านพูดมา ผมต้องขอชี้แจงนิดหนึ่งครับ เรื่องข้างบนอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ทั้งหมดนี่บนเขาพระวิหารนั้น ก็อธิบายความกันให้ฟัง แต่ว่าผมต้องแสดงความรู้สึกนึกคิด ผมจะต้องพูดถึงว่า เพราะสิ่งที่เวลาพูดจากัน พูดกันให้เห็นชัดเจนเลยเหมือนกับว่าต้องคิดเอาคืนมาแล้วต่อไปนี้ แสดงกันออกมาเต็มหมด จะได้คะแนนอะไรต่าง ๆ แต่ผมบอกต้องคิดสิครับว่าบ้านเมืองของเรา มีเพื่อนบ้านรอบบ้านเป็นอย่างไร ผมก็อธิบายให้ฟัง และผมก็ต้องบอกจริง ๆ ว่าต้องเสียงดังหน่อยที่ต้องพูดว่าถ้าอย่างนี้บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
ผมแน่ใจนะครับว่าเมื่อผมถูกอภิปรายนั้น เพราะเหตุว่าระยะเวลาสั้นก็ไม่มีเนื้อหาอะไรต่าง ๆ และก็กล่าวหาทุจริตก็ไม่มี ผมบอกการที่ไม่กล่าวหาทุจริตไม่อะไรต่าง ๆ ก็เลยจะต้องเขียนมาแล้วแยกมา 9 หัวข้อ แล้วพยายามดึงให้มันจะหมด ทั้งหมดนี้ละครับผมใช้คำว่า “แค่น” ผมต้องอย่างนั้นละครับ เพราะว่ามันไม่น่าก็จัดการทำมา ก็อย่างที่ว่าเค้นไปพูดไป ทำไป จนกระทั่งสุดท้ายท่านอดีตนายกรัฐมนตรีท่านก็ลงมาแสดงด้วย ผู้ที่อภิปรายวันนี้ถ้าจะมีการให้รางวัลกันยอดเยี่ยม คือคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน อย่างนี้ฟังแล้ว ไม่นั่นเลยครับ ฟังได้เลยครับ ฟังแล้วเข้าใจหมด นิด ๆ หน่อย ๆ อยากตอบยังไม่ต้องตอบเลย เพราะนี่คือการอภิปราย หัวท้ายไม่มีใครท้วงเลยครับ นี่ละครับมาตรฐาน ของท่านอดีตนายกฯ ก็มาตรฐานครับ เสียงท่านทุ้ม ท่านนุ่มนวลอย่างนี้ไม่มีปัญหา แต่พอถึงเดือนหน้าจะตื่นเต้น ผมคลายความตื่นเต้นหมดเลยครับ ดูต่าง ๆ หมด พอเสร็จเรียบร้อยบอกเพราะผมพูดไม่ระมัดระวัง กระทบกระเทือนจิตใจต้องนึกถึงญาติพี่น้องเขายังอยู่
ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นนายกรัฐมนตรีนะครับ แต่ว่าผมเป็นได้เพราะว่าผมอยู่ในแวดวงการเมือง แต่การสัมภาษณ์ 2 อาทิตย์ที่เป็นนายกฯ แล้วก็ถาม ผมตอบเท่าที่ผมรู้ และผมไม่คิดเป็นการเสียหาย แต่ CNN อัลจาซีรา ตามสัญชาตญาณของผม ๆ ไม่มีนั่นเลย จะผู้หญิงผู้ชายมาถามอย่างนั้น คำถาม ๆ ว่าอายุหน้าตายังอ่อน ๆ มาถามเรื่องที่เกิดขึ้น 36 ปีที่แล้ว ผมก็ต้องย้อนถาม สำนวนผมเป็นอย่างนี้ครับ
เพราะฉะนั้น ขอความกรุณาเถอะครับเรื่องอะไรต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ ผมอยากจะบอกสุดท้ายหน่อยเดียวเท่านั้น ไม่อยากจะไปอะไรท่านมาก เราก็อยู่แวดวงมาด้วยกัน ผมเองนั้นเมื่อเวลาที่ไปทำงานทางการเมือง กับคนที่เขาทำปฏิวัติก็เหมือนกับถูกกฎหมายปิดปาก เพราะว่าทางนั้นเขาเชิญคุณธรรมนูญ เทียนเงิน ไป คุณธรรมนูญฯ ไม่รับ ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็เคยสอนหนังสือมา ท่านชอบปากเปล่าผมด้วย ผมไปเป็นเพื่อนคุณธรรมนูญฯ ท่านก็ถามว่าผมเป็นได้ไหม เป็นรัฐมนตรีช่วยอยู่ เป็นรัฐมนตรีว่าการ นั่นละครับหลุดเข้าไปวงจรนั้นก็ 1 ปี กฎหมายปิดปากผมเลย จะทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเวลาที่มีเหตุ ที่ว่าเกิดเหตุเป็นอย่างนี้ ก็ต้องคิดถึงบ้างสิครับว่า ระบบที่เรารักกันนักหนา ระบบประชาธิปไตย ระบบที่ไม่อยากให้ใคร ไม่อยากให้เผด็จการมายึดครองต่าง ๆ เมื่อเวลาอย่างนั้นก็จะเห็นชอบเห็นงามอย่างนั้น ผมก็ไม่ว่า แต่ว่าทำไมเวลาทางซีกผมเห็นว่าเมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ดี แล้วเราจะขอแก้ ทำไมกลายเป็นคนผิด คนร้ายไปได้อย่างไร กลายเป็นคนจุดชนวนความร้าวฉานในบ้านเมืองได้อย่างไรครับ
ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ผมพูดชัดเจนมาตรา 309 ผมบอกไม่เอา มาตรา 237 บอกท่อน 2 ผมตรงไปตรงมา ไม่พูดอะไรอย่างนั้นเลย และที่พูดตรงไปตรงมา ก็คืออีก 3 เดือนจะแก้ ก็แน่ใจครับ ก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ ในเวลาแถลงนโยบายก็อธิบายให้ฟังไว้ว่าเขียนไว้ว่าจะตั้งอะไรมาตรวจสอบมาดูแล ก็ตั้งใจอย่างนั้น ดี ๆ ก็ไม่ทำ แต่ว่ามันมีกรณีที่วินิจฉัยกันไม่รู้จักแล้วจักรอด ไป ๆ มา ๆ ชนพรรคพลังประชาชนโดน ต่อไปพรรคชาติไทยโดน ต่อไปพรรคมัชฌิมาธิปไตยโดน 3 พรรคเข้าคิวอย่างนี้ ผมก็บอกอย่างนี้ต้องขอพิจารณาแก้ไข แล้วแก้แล้วตรงนี้ไม่หลุดละครับ 3 พรรคนี้จะต้องตาย ก็ต้องตายครับ แต่ว่าพรรคที่จะเกิดมาวันข้างหน้าจะได้รับการแก้ไขคือ มาตรา 237 ท่อน 2 จะได้ไม่มี จะได้ปลอดภัยขึ้นในทางการเมือง ก็คิดอย่างนั้นครับ จึงต้องกลับมาแก้ ก็ไม่เห็นเสียหายนี่ครับ
พูดว่าอีก 3 เดือนจะไปแก้ ตอนนี้มีเหตุ มีเหตุเราก็จะแก้ตามที่เหตุ และเมื่อเขาเขียนรัฐธรรมนูญมาอย่างนี้ ทำไมการชื่นชมรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ดีละครับ ก็ประคับประคองธงเขียว ธงเหลือง ว่ากันแทบตาย ดีนะครับ แต่ก็ยังใช้ดี ๆ มันก็ยังดีอยู่ แต่ว่า 3 ปีแรก ไม่ได้ใช้ เพราะคุณชวลิต (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ท่านลาออก มาใช้เอาแบบใหม่ มีนักการเมืองเศรษฐีมาเล่นการเมืองเข้า ก็เป็นอย่างนี้ ผมพูดในที่หลายหน พูดในที่สาธารณะเลยว่า เมื่อปี 2544 ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง การเมืองเมืองไทยจะไม่เป็นอย่างนี้เลย ก็จะเดินไปด้วยดี พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นคนใช้รัฐธรรมนูญ ใช้เป็นใช้ไม่เป็นไม่รู้ แต่จะไม่มีเรื่องเลย และผมพูดที่ไหน ผมปาฐกถาผมบอกว่ามันเป็นเวรกรรมจริง ๆ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือก 126 ก็จะไม่มีเรื่องอีก ได้รับ 126 ก็อภิปรายรัฐมนตรีได้ทั้งฝูง 200 มากไป ถ้า 126 ได้ทั้งฝูง สถานการณ์ก็มีก็ล่อกันไป แต่มันออกมา 123 อภิปรายไม่ได้เลย กลายเป็นว่ารัฐบาลนี้วิเศษไหม แต่เขาไม่ได้เขียนรัฐธรรมนูญปี 2540 นะครับ เขาไม่ได้หรอก คนอื่นเขียน เขาเป็นเศรษฐีมาเล่น เขามีความคิดใหม่มา
ผมปาฐกถาเรื่องการเมือง ผมพูดชัดเลยเป็นการเทียบเคียงกันระหว่างสองคน ผมออกชื่อคุณชวน หลีกภัย ออกชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมบอกสองสไตล์นี้เห็นชัดเลย คุณชวนท่านบริหาร 3 ปี ผมเรียกว่าเป็นราชการนิยม คุณทักษิณเรียกเหมือนกับว่าพาณิชย์นิยม เป็น commercial อันหนึ่ง เป็น bureaucracy สองท่านนี้เห็นชัดเลยครับ คิดแบบท่านนายกฯ ชวนปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ คิดแบบนายกฯ ทักษิณเสี่ยง ผมพูดทางการเมืองที่ไหน ผมก็พูดอย่างนี้ ไม่มีอะไรอื่นเลยครับ แล้วอยู่มาวันหนึ่งมันก็พลิกปั๊บ เพราะเหตุว่านายกรัฐมนตรีที่แล้วไม่ระมัดระวังตัว คนรอบตัวไม่ดี ก็เห็นก็รู้กันชัดอยู่ แล้ววันหนึ่งก็เล่นกันจนกระทั่งต้องปลิดขั้วทิ้ง แล้วทหารเข้ามา เท่านั้นละครับ แต่ตอนความเจ็บช้ำน้ำใจ ผมไม่ได้อะไรกับเขาด้วย ผมไม่ได้อยู่ในแวดวงการเมือง ผมพ้นไปแล้วครับ
ผมเป็นวุฒิสมาชิกได้รับเลือกอยู่ได้ 5 เดือนเข้ามาปลิดผมทิ้ง เพราะฉะนั้น เมื่อเวลามีคนมาชวนผม ผมก็ต้องบอกว่าผมรับคำชวนเพราะผมเสียหายเหมือนกัน ยังอยู่ในสถานะที่ทำได้ ความจริงเขาชวน 2 คน เขาชวนคนอื่นก่อน แต่คนอื่นไม่ยอมรับ เขาถึงมาชวนผม ผมก็บอกผมไปถือธงให้ ผมจะดูแล และผมทำงานการเมืองจริง ๆ ผมกระโดดลงไปเต็มตัวทำ ก็สิทธิ์ของผมครับ คนเขาเคยเป็น ส.ส.มาแล้ว เขามารวมกัน ก็ไม่ค่อยยากเท่าไร แต่ว่าต้องสู้ เห็นเลยความไม่เรียบร้อยที่มา ผมไม่อยากจะพูดอะไรอื่น ก็มีกิจกรรมกันมา แต่ว่าเดินมาด้วยกันอย่างนี้ก็เห็น แต่ฟังท่านอดีตนายกรัฐมนตรีพูดแล้วบอกว่าให้เคารพกฎเกณฑ์ ให้เคารพที่มาที่ไป ผมเคารพที่มาแบบที่มันไม่เข้าท่า ไม่ได้หรอกครับ
รัฐธรรมนูญปี 2540 ผมก็ไม่ลงคะแนน แต่ผมบอกพอใช้ได้ ก็ใช้สิครับ แต่นี่ฉีกรัฐธรรมนูญปี 40 ทิ้งไป ตอนฉีกรัฐธรรมนูญปี 40 ไม่มีใครว่าเลย แต่พอจะขอเขียนใหม่เขียนไม่ดี จะขอแก้ กลายเป็นความผิด กลายเป็นความพัวพัน ผมถึงได้สลัดความพัวพัน ผมพูดได้อย่างไร พูดเป็นครั้งแรกเลย คนที่พูดว่าจะเอามาตรา 237 ชื่อนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะแก้มาตรา 237 มาตราเดียว ผมให้สัมภาษณ์มาแต่ไกลเลย นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์ตรงกัน เพราะเขาอยู่ต่างประเทศ ผมอยู่ในประเทศ ผมบอกมาตรา 309 ไม่เอา เพราะรู้ว่าถ้าแก้ได้ต้องถูกตีความกันอีกว่าไม่ได้ประโยชน์ เราต้องการจะแก้ ผมพูดชัดเจนใครฟังก็เข้าใจ ผมบอกผมไม่ชอบพวก มีอย่างเขตละคน คนละเขต ดันกลับไปพวงเล็ก 400 157 ใคร ๆ ก็อยากแก้อันนี้ วุฒิสมาชิกเหลื่อมกัน 76, 74 ใคร ๆ ก็อยากแก้อันนี้ มีหลายข้อเมื่อเช้านี้คุณเชาวรินทร์ (ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ) บอกอยากจะแก้มาตรา 170 กว่า ยังไงก็ไม่ทราบได้ ต่างคนก็ต่างเห็น แต่ว่าเรามีสิทธิ์จะบอกนะครับให้เคารพในหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์ที่เขียนไว้ไม่ดี ผมเคารพไม่ได้หรอกครับ และการที่ขอแก้ก็ไม่ใช่การทำลายบรรยากาศ แต่ว่าการหาเหตุเอากันอะไรต่าง ๆ ฟังแล้วก็เอาเถิดครับ ผมก็บอกเลยว่าก็เอาเถิด เขียนญัตติอย่างนี้ก็ต้องรุนแรงอย่างนี้ มีอะไรแปลก ๆ ขุดเอามาว่ากล่าวกัน ผมก็บอกผมไม่วิจารณ์ละครับ ถ้าเผื่อว่าพรรคพวกด้วยกันไม่อาย ผมอาย เสร็จแล้วก็มาเจอปรากฏการณ์มีหมอมาตรวจกันกลางสภา
คุณบัญญัติฯ อภิปรายถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ไม่มีใครทักท้วง เพราะฉะนั้น ที่ผมท้วงท่านอดีตยนายกรัฐมนตรีเพราะว่าผมไม่เคยรู้สิ่งที่ท่านพูดเลย และผมมีสิทธิ์จะพูดเต็มที่ เหตุเกิดเดือนตุลาคม วันที่ 25 พ.ศ. 2547 ผมไม่มีอะไรจะทำเลยครับ และต่อมาผมก็มาทำงานโทรทัศน์ ซึ่งผมไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลย แล้วผมก็ให้สัมภาษณ์ตามความรู้เดิมของผม ขอพูดเท่านี้ละครับ ไม่ได้วกวนไม่ได้ซ้ำซาก แต่ขอให้รู้ว่าการจะโยงใยกล่าวหาท่านทำได้ครับ แต่ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองฟังเขาคงจะต้องรู้ครับว่า นี่จะเอากันอย่างนี้ ก็เอาสิครับ ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (25 มิ.ย.) เวลา 15.35 น. ณ อาคารรัฐสภา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีนายชวน หลีกภัย ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายประเด็นปราสาทพระวิหารกรณีที่มีการพาดพิงหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถึงการเสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ดังนี้
ท่านประธานที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เมื่อนานหลายสิบปีก่อน ผมเคยตื่นเต้นเพราะถูกกล่าวหาแล้วต้องไปขึ้นประจันกันต่อหน้า พอผู้กล่าวหา ๆ เสร็จ ผมก็บอกไม่น่าเชื่อเลยครับเวลาผ่านมาสัก 30 กว่าปีแล้ว มาเจอบรรยากาศอย่างนี้อีก ขอเอาตอนท้ายไปหาต้น ผมก็นั่งฟังว่าเราไปทำอะไรอย่างไร มันอะไรกันนักหนา การสัมภาษณ์ของผมกับผู้สื่อข่าวมีวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาได้ 2 อาทิตย์ ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็สอบถาม ๆ ลองไปหยิบคนไทยสักร้อยคนเอามาถามสิครับ มีคนไทยคนไหนบ้างรู้อย่างที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ได้บรรยายมายาวเหยียด ใน 100 คนที่หยิบมามีชื่อนายสมัคร สุนทรเวช อยู่ด้วย ผมรู้อย่างที่ผมพูดก็นับว่ามากพออยู่แล้วนะครับ ที่ท่านลำดับความมานั้นตลอด ตัวเลขผมไม่ได้ผิดพลาดอะไรเลย
มีคนจำนวนหนึ่งไปประท้วงที่ตากใบ วันที่ก็ถูกต้องวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยในบ้านเมืองนี้ครับ แต่ผมก็รู้เท่าที่ข่าวรู้ และผมก็จำของผมตลอดมาอย่างนั้นเอง ตัวเองถูกต้องผมจำได้ถูกต้องครับ 6 คนที่ถูกไปประท้วงไปเรียกร้องให้ปล่อยตัว 6 คน คนตาย 78 คน ตัวเลข 1,300 ก็ใช้ได้ครับ ถูกต้องตรงกัน มาถามผม ๆ ก็รู้ เวลาผ่านมากี่ปี ผมก็จำขนาดนั้นละครับ ผมก็ตอบคำถามอย่างนั้น จนวันนี้ครับ จนนาทีนี้ ผมไม่เคยรู้เรื่องอย่างที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีเอามาเล่าให้ฟังอย่างนี้เลย ก็เพิ่งรู้อย่างนี้ครับ มันเหมือนกับว่าผมรู้อยู่หมดแล้วยังดันไปพูดอย่างนั้น ได้ยังไงครับ ถ้าผมรู้แล้วไปพูดอย่างนั้นว่ากันได้เลยครับ
นี่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2 อาทิตย์มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ผม ผมตอบอย่างที่ผมรู้ แล้วยังไงครับ เป็นอันว่าผมทำให้เสียหายกับบ้านเมือง คือท่านมาบอก ถ้าจะบอกอย่างนี้ต้องบอกว่ารู้ไหมที่พูดนั่นกระทบกระเทือนเสียหายเพราะข้อเท็จจริงเป็นอีกอย่าง อย่างนี้ก็พอไหวครับ แต่เหมือนกับว่าผมนี่พอรับตำแหน่งวันที่ 6 ต้องรู้หมดทุกอย่าง อะไรที่เกิดขึ้นที่ไหน และตอบอะไรต้องไม่ผิดพลาดเลย ไม่ได้หรอกครับ แม้แต่วันที่ 6 ตุลาคม ผมพูดชัดเจนว่าเท่าที่ผมเห็น ก็เขาเผากันตายที่สนามหลวง 1 คน และก็ออกข่าวมาเอิกเกริกเป็นทำนองว่าเขาตาย ก็ผมไม่เห็นที่อื่นผมจะไปยืนยันได้อย่างไรครับ ไปอ้างที่พูดปารีสผมไม่เถียงครับ เพราะผมไม่เคยได้ไปพูดอะไรอย่างนั้น
แต่ว่าอย่างคำพูดที่พูดกันเมื่อสักครู่ ตอนเริ่มต้น คนเนรคุณ ผมไม่เนรคุณครับ แต่ผมจะบอกให้ฟังพูดไปก็บอกว่าไปแขวะเอาสื่อสารมวลชน ในบ้านเมืองนี้เวลาใครตอบคำถามอะไรแล้ว จะมีคำที่ออกไปอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นการดัดแปลงคำตอบไปเสร็จเรียบร้อยหมด ทุกวันนี้ไปอ่านดูสิครับ พาดหัวทุกตัวเช้า ๆ ก็ไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นมันดัดแปลงไปหมด
กรณีนั้นผมไม่มีวันไปตำหนิอาจารย์เสนีย์ละครับ แต่ผมจะพูดว่าในกรณีเรื่องเขาพระวิหารนั้นข้อเท็จจริงที่รู้กันคือว่าเราแพ้เขาเรื่องแผนที่ ถ้าผมจะผิดพลาดก็คงเพียงแต่ว่าเราแพ้เขาเรื่องที่ว่าไปยอมรับว่าแผนที่นั้นเป็นของเรา ตามเส้นทางตามแผนที่ เท่านั้นละครับ พอออกมาเขาก็ตีความกันเสร็จเรียบร้อยว่า ผมใช้คำว่าทนาย ทนายของเราไปยอมรับเรื่องแผนที่ ผมพูดไปก็ตรงไปตรงมาธรรมดา แล้วก็ธรรมดาที่มาเป็นทางวิชาการที่อ่านหนังสือให้ฟังกัน ก็มีภาษาฝรั่งด้วยว่าเป็นเรื่องของกฎหมายปิดปาก คุณนพดล (นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ยังมาเล่าให้ฟังว่าคดีนี้เป็นตัวอย่างที่เขาเอามายกตัวอย่าง ภาษาฝรั่งเฉพาะเลยชื่อกฎหมายปิดปาก ผมรู้เหมือนที่คนไทยธรรมดารู้ รู้ว่าเราต้องแพ้คดีเพราะเรื่องแผนที่ ผมพูดไปเท่านั้นครับ แต่ข่าวออกมาเลยเท่ากับผมอ้างว่าใส่ชื่ออาจารย์เสนีย์ ผมไม่ใส่ครับ แต่หนังสือพิมพ์จะออกข่าวอย่างไรนั้น มันกลายเป็นผมว่ากล่าว ผมจะไปว่ากล่าวคนเป็นครูบาอาจารย์ได้อย่างไรครับ
ผมกับท่านอดีตนายกฯ ชวน ก็เรียนหนังสือสำนักเดียวกันมา รู้จักท่านอาจารย์เสนีย์มาเหมือนกันครับ ไม่มีอะไรจะไปตำหนิติเตียนท่านได้เลย แต่ว่าเวลาผมถูกตำหนิติเตียน ผมก็ต้องเถียงว่าผม แต่ผมไม่เนรคุณ ถ้าจะแปลความว่าอย่างนั้น มีหลายอย่างที่ผม เวลาที่เขาสัมภาษณ์ออกไปแล้วไม่ได้ตามไปชี้แจง ข่าวที่ออกมานั้น ครบถ้วนหมด คือพูดสลึงลงบาท เป็นอย่างนั้นหมด เขาจัดการตกแต่งใส่ข้อความให้เสร็จหมด ถ้าเราไม่ได้อ่านก็ไม่ได้ คนอื่นอ่านก็กลายเป็นว่าเราพูดอย่างนั้นเต็ม ๆ เล่นอย่างนี้ครับ
อย่างกรณีตากใบผมจำตัวเลข ผมไม่มีคลาดเคลื่อน กรณีกรือเซะ ผมอธิบายความได้ชัดเจนเพราะเขาอธิบายความไว้อย่างนั้น เข้าไปอย่างนั้นมีรองเท้าใส่ไว้ข้างใน มี 32 คน และคนที่ล้อมอยู่ตรงนั้นตัดสินตายไป กรือเซะผมก็อธิบายแบบนั้น ตากใบก็อธิบายแบบนั้นว่าเขาจับขึ้นไปขึ้นรถหลายคัน แล้วจับซ้อน ๆ ๆๆกันไป และผมก็ยังมีความเชื่อของผมอยู่ คุณหมอพรทิพย์ (แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์) ไม่เชื่อก็ไม่เป็นปัญหา ก็พูดกันอย่างนั้น ความจำของผม ผมก็จำอย่างนั้นและผมก็เล่าอย่างนั้น เหตุเกิดวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ผมกำลังนั้นไม่เป็นอะไรเลยครับ และผมไม่ต้องไปรับผิดชอบรายละเอียดอะไรต่าง ๆ จะสอบจะสวนอะไรผมไม่เคยรู้เลยครับ ไม่เคยทราบเลยว่าอะไรเป็นยังไง แต่ผมทราบในความทรงจำของผมคือว่ามีจำนวนถูกต้อง ผมบอกตัวเลขถูกต้องแล้ว ผมเข้าใจว่ายืนกันไป แล้วก็ล้มทับลงไปแล้วก็ตาย
และก็บอกการที่ผมไปพูดจาอย่างนั้นกลายเป็นว่าผมทำความกระทบกระเทือนน้ำใจ โอ๊ยตายจริงอย่างนี้ และต่อไปนี้ต้องประกาศเลยผู้สื่อข่าวต่างประเทศต้องไม่พูดหมด ในประเทศก็ไม่พูด ไม่พูดมานาน ไม่พูดเป็นเดือน เพราะแบบนี้ละครับ ทั้งหมดนี้เวลาว่าไปก็บอกว่ายังไงก็ไปลงสื่อ ก็สื่อลงยังไงละครับ ไปแปลความใส่ข้อความให้เต็มหมด ดัดแปลงให้ทั้งหมด แล้วผมคนสัมภาษณ์ก็ไม่ได้อ่าน คนอ่านที่ไปสัมภาษณ์ กลายเป็นอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้น ผมขอเรียนว่าแต่ละข้อแต่ละตอนที่ท่านพูดมา ผมต้องขอชี้แจงนิดหนึ่งครับ เรื่องข้างบนอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ทั้งหมดนี่บนเขาพระวิหารนั้น ก็อธิบายความกันให้ฟัง แต่ว่าผมต้องแสดงความรู้สึกนึกคิด ผมจะต้องพูดถึงว่า เพราะสิ่งที่เวลาพูดจากัน พูดกันให้เห็นชัดเจนเลยเหมือนกับว่าต้องคิดเอาคืนมาแล้วต่อไปนี้ แสดงกันออกมาเต็มหมด จะได้คะแนนอะไรต่าง ๆ แต่ผมบอกต้องคิดสิครับว่าบ้านเมืองของเรา มีเพื่อนบ้านรอบบ้านเป็นอย่างไร ผมก็อธิบายให้ฟัง และผมก็ต้องบอกจริง ๆ ว่าต้องเสียงดังหน่อยที่ต้องพูดว่าถ้าอย่างนี้บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
ผมแน่ใจนะครับว่าเมื่อผมถูกอภิปรายนั้น เพราะเหตุว่าระยะเวลาสั้นก็ไม่มีเนื้อหาอะไรต่าง ๆ และก็กล่าวหาทุจริตก็ไม่มี ผมบอกการที่ไม่กล่าวหาทุจริตไม่อะไรต่าง ๆ ก็เลยจะต้องเขียนมาแล้วแยกมา 9 หัวข้อ แล้วพยายามดึงให้มันจะหมด ทั้งหมดนี้ละครับผมใช้คำว่า “แค่น” ผมต้องอย่างนั้นละครับ เพราะว่ามันไม่น่าก็จัดการทำมา ก็อย่างที่ว่าเค้นไปพูดไป ทำไป จนกระทั่งสุดท้ายท่านอดีตนายกรัฐมนตรีท่านก็ลงมาแสดงด้วย ผู้ที่อภิปรายวันนี้ถ้าจะมีการให้รางวัลกันยอดเยี่ยม คือคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน อย่างนี้ฟังแล้ว ไม่นั่นเลยครับ ฟังได้เลยครับ ฟังแล้วเข้าใจหมด นิด ๆ หน่อย ๆ อยากตอบยังไม่ต้องตอบเลย เพราะนี่คือการอภิปราย หัวท้ายไม่มีใครท้วงเลยครับ นี่ละครับมาตรฐาน ของท่านอดีตนายกฯ ก็มาตรฐานครับ เสียงท่านทุ้ม ท่านนุ่มนวลอย่างนี้ไม่มีปัญหา แต่พอถึงเดือนหน้าจะตื่นเต้น ผมคลายความตื่นเต้นหมดเลยครับ ดูต่าง ๆ หมด พอเสร็จเรียบร้อยบอกเพราะผมพูดไม่ระมัดระวัง กระทบกระเทือนจิตใจต้องนึกถึงญาติพี่น้องเขายังอยู่
ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นนายกรัฐมนตรีนะครับ แต่ว่าผมเป็นได้เพราะว่าผมอยู่ในแวดวงการเมือง แต่การสัมภาษณ์ 2 อาทิตย์ที่เป็นนายกฯ แล้วก็ถาม ผมตอบเท่าที่ผมรู้ และผมไม่คิดเป็นการเสียหาย แต่ CNN อัลจาซีรา ตามสัญชาตญาณของผม ๆ ไม่มีนั่นเลย จะผู้หญิงผู้ชายมาถามอย่างนั้น คำถาม ๆ ว่าอายุหน้าตายังอ่อน ๆ มาถามเรื่องที่เกิดขึ้น 36 ปีที่แล้ว ผมก็ต้องย้อนถาม สำนวนผมเป็นอย่างนี้ครับ
เพราะฉะนั้น ขอความกรุณาเถอะครับเรื่องอะไรต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ ผมอยากจะบอกสุดท้ายหน่อยเดียวเท่านั้น ไม่อยากจะไปอะไรท่านมาก เราก็อยู่แวดวงมาด้วยกัน ผมเองนั้นเมื่อเวลาที่ไปทำงานทางการเมือง กับคนที่เขาทำปฏิวัติก็เหมือนกับถูกกฎหมายปิดปาก เพราะว่าทางนั้นเขาเชิญคุณธรรมนูญ เทียนเงิน ไป คุณธรรมนูญฯ ไม่รับ ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็เคยสอนหนังสือมา ท่านชอบปากเปล่าผมด้วย ผมไปเป็นเพื่อนคุณธรรมนูญฯ ท่านก็ถามว่าผมเป็นได้ไหม เป็นรัฐมนตรีช่วยอยู่ เป็นรัฐมนตรีว่าการ นั่นละครับหลุดเข้าไปวงจรนั้นก็ 1 ปี กฎหมายปิดปากผมเลย จะทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเวลาที่มีเหตุ ที่ว่าเกิดเหตุเป็นอย่างนี้ ก็ต้องคิดถึงบ้างสิครับว่า ระบบที่เรารักกันนักหนา ระบบประชาธิปไตย ระบบที่ไม่อยากให้ใคร ไม่อยากให้เผด็จการมายึดครองต่าง ๆ เมื่อเวลาอย่างนั้นก็จะเห็นชอบเห็นงามอย่างนั้น ผมก็ไม่ว่า แต่ว่าทำไมเวลาทางซีกผมเห็นว่าเมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ดี แล้วเราจะขอแก้ ทำไมกลายเป็นคนผิด คนร้ายไปได้อย่างไร กลายเป็นคนจุดชนวนความร้าวฉานในบ้านเมืองได้อย่างไรครับ
ผมยกตัวอย่างให้ฟัง ผมพูดชัดเจนมาตรา 309 ผมบอกไม่เอา มาตรา 237 บอกท่อน 2 ผมตรงไปตรงมา ไม่พูดอะไรอย่างนั้นเลย และที่พูดตรงไปตรงมา ก็คืออีก 3 เดือนจะแก้ ก็แน่ใจครับ ก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ ในเวลาแถลงนโยบายก็อธิบายให้ฟังไว้ว่าเขียนไว้ว่าจะตั้งอะไรมาตรวจสอบมาดูแล ก็ตั้งใจอย่างนั้น ดี ๆ ก็ไม่ทำ แต่ว่ามันมีกรณีที่วินิจฉัยกันไม่รู้จักแล้วจักรอด ไป ๆ มา ๆ ชนพรรคพลังประชาชนโดน ต่อไปพรรคชาติไทยโดน ต่อไปพรรคมัชฌิมาธิปไตยโดน 3 พรรคเข้าคิวอย่างนี้ ผมก็บอกอย่างนี้ต้องขอพิจารณาแก้ไข แล้วแก้แล้วตรงนี้ไม่หลุดละครับ 3 พรรคนี้จะต้องตาย ก็ต้องตายครับ แต่ว่าพรรคที่จะเกิดมาวันข้างหน้าจะได้รับการแก้ไขคือ มาตรา 237 ท่อน 2 จะได้ไม่มี จะได้ปลอดภัยขึ้นในทางการเมือง ก็คิดอย่างนั้นครับ จึงต้องกลับมาแก้ ก็ไม่เห็นเสียหายนี่ครับ
พูดว่าอีก 3 เดือนจะไปแก้ ตอนนี้มีเหตุ มีเหตุเราก็จะแก้ตามที่เหตุ และเมื่อเขาเขียนรัฐธรรมนูญมาอย่างนี้ ทำไมการชื่นชมรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ดีละครับ ก็ประคับประคองธงเขียว ธงเหลือง ว่ากันแทบตาย ดีนะครับ แต่ก็ยังใช้ดี ๆ มันก็ยังดีอยู่ แต่ว่า 3 ปีแรก ไม่ได้ใช้ เพราะคุณชวลิต (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ท่านลาออก มาใช้เอาแบบใหม่ มีนักการเมืองเศรษฐีมาเล่นการเมืองเข้า ก็เป็นอย่างนี้ ผมพูดในที่หลายหน พูดในที่สาธารณะเลยว่า เมื่อปี 2544 ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้ง การเมืองเมืองไทยจะไม่เป็นอย่างนี้เลย ก็จะเดินไปด้วยดี พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นคนใช้รัฐธรรมนูญ ใช้เป็นใช้ไม่เป็นไม่รู้ แต่จะไม่มีเรื่องเลย และผมพูดที่ไหน ผมปาฐกถาผมบอกว่ามันเป็นเวรกรรมจริง ๆ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือก 126 ก็จะไม่มีเรื่องอีก ได้รับ 126 ก็อภิปรายรัฐมนตรีได้ทั้งฝูง 200 มากไป ถ้า 126 ได้ทั้งฝูง สถานการณ์ก็มีก็ล่อกันไป แต่มันออกมา 123 อภิปรายไม่ได้เลย กลายเป็นว่ารัฐบาลนี้วิเศษไหม แต่เขาไม่ได้เขียนรัฐธรรมนูญปี 2540 นะครับ เขาไม่ได้หรอก คนอื่นเขียน เขาเป็นเศรษฐีมาเล่น เขามีความคิดใหม่มา
ผมปาฐกถาเรื่องการเมือง ผมพูดชัดเลยเป็นการเทียบเคียงกันระหว่างสองคน ผมออกชื่อคุณชวน หลีกภัย ออกชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมบอกสองสไตล์นี้เห็นชัดเลย คุณชวนท่านบริหาร 3 ปี ผมเรียกว่าเป็นราชการนิยม คุณทักษิณเรียกเหมือนกับว่าพาณิชย์นิยม เป็น commercial อันหนึ่ง เป็น bureaucracy สองท่านนี้เห็นชัดเลยครับ คิดแบบท่านนายกฯ ชวนปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ คิดแบบนายกฯ ทักษิณเสี่ยง ผมพูดทางการเมืองที่ไหน ผมก็พูดอย่างนี้ ไม่มีอะไรอื่นเลยครับ แล้วอยู่มาวันหนึ่งมันก็พลิกปั๊บ เพราะเหตุว่านายกรัฐมนตรีที่แล้วไม่ระมัดระวังตัว คนรอบตัวไม่ดี ก็เห็นก็รู้กันชัดอยู่ แล้ววันหนึ่งก็เล่นกันจนกระทั่งต้องปลิดขั้วทิ้ง แล้วทหารเข้ามา เท่านั้นละครับ แต่ตอนความเจ็บช้ำน้ำใจ ผมไม่ได้อะไรกับเขาด้วย ผมไม่ได้อยู่ในแวดวงการเมือง ผมพ้นไปแล้วครับ
ผมเป็นวุฒิสมาชิกได้รับเลือกอยู่ได้ 5 เดือนเข้ามาปลิดผมทิ้ง เพราะฉะนั้น เมื่อเวลามีคนมาชวนผม ผมก็ต้องบอกว่าผมรับคำชวนเพราะผมเสียหายเหมือนกัน ยังอยู่ในสถานะที่ทำได้ ความจริงเขาชวน 2 คน เขาชวนคนอื่นก่อน แต่คนอื่นไม่ยอมรับ เขาถึงมาชวนผม ผมก็บอกผมไปถือธงให้ ผมจะดูแล และผมทำงานการเมืองจริง ๆ ผมกระโดดลงไปเต็มตัวทำ ก็สิทธิ์ของผมครับ คนเขาเคยเป็น ส.ส.มาแล้ว เขามารวมกัน ก็ไม่ค่อยยากเท่าไร แต่ว่าต้องสู้ เห็นเลยความไม่เรียบร้อยที่มา ผมไม่อยากจะพูดอะไรอื่น ก็มีกิจกรรมกันมา แต่ว่าเดินมาด้วยกันอย่างนี้ก็เห็น แต่ฟังท่านอดีตนายกรัฐมนตรีพูดแล้วบอกว่าให้เคารพกฎเกณฑ์ ให้เคารพที่มาที่ไป ผมเคารพที่มาแบบที่มันไม่เข้าท่า ไม่ได้หรอกครับ
รัฐธรรมนูญปี 2540 ผมก็ไม่ลงคะแนน แต่ผมบอกพอใช้ได้ ก็ใช้สิครับ แต่นี่ฉีกรัฐธรรมนูญปี 40 ทิ้งไป ตอนฉีกรัฐธรรมนูญปี 40 ไม่มีใครว่าเลย แต่พอจะขอเขียนใหม่เขียนไม่ดี จะขอแก้ กลายเป็นความผิด กลายเป็นความพัวพัน ผมถึงได้สลัดความพัวพัน ผมพูดได้อย่างไร พูดเป็นครั้งแรกเลย คนที่พูดว่าจะเอามาตรา 237 ชื่อนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จะแก้มาตรา 237 มาตราเดียว ผมให้สัมภาษณ์มาแต่ไกลเลย นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์ตรงกัน เพราะเขาอยู่ต่างประเทศ ผมอยู่ในประเทศ ผมบอกมาตรา 309 ไม่เอา เพราะรู้ว่าถ้าแก้ได้ต้องถูกตีความกันอีกว่าไม่ได้ประโยชน์ เราต้องการจะแก้ ผมพูดชัดเจนใครฟังก็เข้าใจ ผมบอกผมไม่ชอบพวก มีอย่างเขตละคน คนละเขต ดันกลับไปพวงเล็ก 400 157 ใคร ๆ ก็อยากแก้อันนี้ วุฒิสมาชิกเหลื่อมกัน 76, 74 ใคร ๆ ก็อยากแก้อันนี้ มีหลายข้อเมื่อเช้านี้คุณเชาวรินทร์ (ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ) บอกอยากจะแก้มาตรา 170 กว่า ยังไงก็ไม่ทราบได้ ต่างคนก็ต่างเห็น แต่ว่าเรามีสิทธิ์จะบอกนะครับให้เคารพในหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์ที่เขียนไว้ไม่ดี ผมเคารพไม่ได้หรอกครับ และการที่ขอแก้ก็ไม่ใช่การทำลายบรรยากาศ แต่ว่าการหาเหตุเอากันอะไรต่าง ๆ ฟังแล้วก็เอาเถิดครับ ผมก็บอกเลยว่าก็เอาเถิด เขียนญัตติอย่างนี้ก็ต้องรุนแรงอย่างนี้ มีอะไรแปลก ๆ ขุดเอามาว่ากล่าวกัน ผมก็บอกผมไม่วิจารณ์ละครับ ถ้าเผื่อว่าพรรคพวกด้วยกันไม่อาย ผมอาย เสร็จแล้วก็มาเจอปรากฏการณ์มีหมอมาตรวจกันกลางสภา
คุณบัญญัติฯ อภิปรายถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ไม่มีใครทักท้วง เพราะฉะนั้น ที่ผมท้วงท่านอดีตยนายกรัฐมนตรีเพราะว่าผมไม่เคยรู้สิ่งที่ท่านพูดเลย และผมมีสิทธิ์จะพูดเต็มที่ เหตุเกิดเดือนตุลาคม วันที่ 25 พ.ศ. 2547 ผมไม่มีอะไรจะทำเลยครับ และต่อมาผมก็มาทำงานโทรทัศน์ ซึ่งผมไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลย แล้วผมก็ให้สัมภาษณ์ตามความรู้เดิมของผม ขอพูดเท่านี้ละครับ ไม่ได้วกวนไม่ได้ซ้ำซาก แต่ขอให้รู้ว่าการจะโยงใยกล่าวหาท่านทำได้ครับ แต่ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองฟังเขาคงจะต้องรู้ครับว่า นี่จะเอากันอย่างนี้ ก็เอาสิครับ ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--