นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายในประเด็นนายกรัฐมนตรีดูแคลนผู้สูงอายุ และการเป็นนายกรัฐมนตรีนอมินี
วันนี้ (25 มิ.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในประเด็นนายกรัฐมนตรีดูแคลนผู้สูงอายุ และการเป็นนายกรัฐมนตรีนอมินี ดังนี้
ท่านประธานที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เวลาที่คนไม่ค่อยรู้เรื่องรายละเอียดแล้วชอบหยิบเอามาพูด บันได 3 ขั้นเขาตอบคำถามกันเพราะว่าผู้สื่อข่าวมาถาม มีคนบอกว่าออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว มันเจ๊งทุกราย บังเอิญผมออกมาแล้ว ผมก็ตั้งพรรคการเมือง พอเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้มา 32 คน ส่ง 35 คน ทั่วประเทศได้มา 32 คน กรุงเทพฯ ส่ง 32 คน ได้ 29 คน ขาดไป 3 ที่นั่ง ผู้คนก็ตื่นเต้นกันทั้งเมือง และเขาก็ถามว่าต่อไปจะเป็นยังไง ผมก็บอกว่าต่อไปวันข้างหน้า ถ้าหากบันไดขั้นที่ 2 มีพรรคการเมืองมาร่วมผมก็จะได้เป็นรัฐมนตรี ชวนไปร่วม พรรคการเมืองใหญ่เขาชวนไปร่วม ผมก็จะเป็นรัฐมนตรี แต่บันไดขั้นที่ 3 คือว่าถ้าพรรคการเมืองนี้ใหญ่โตขึ้นแล้วผมยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองอยู่ แล้วพรรคการเมืองผมได้รับเสียงข้างมาก ผมก็เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงเป็นบันได 3 ขั้น นั่นไม่ได้แสดงความอยากครับ นั่นแสดงการตัด บอกอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
และข้อสำคัญที่สุดคือว่า เมื่อเวลาที่ผมออกมาแล้วนั้น ผมก็ไม่เคยไปรุกล้ำก้ำเกินอะไรพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลาที่ผมชนะในกรุงเทพฯ 32 ที่นั่ง ผมได้ 29 ผู้คนตื่นเต้นกันทั้งเมือง ฝรั่งมังค่าก็ตื่นเต้นขนาดมานั่งซักถาม ใน 3 คนที่ได้นั่นละครับ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านได้ 1 อาจารย์เกษมได้อีก 1 2คนติดกัน อีกคนคุณถนัด คอมันตร์ หนังสือพิมพ์เขาก็บอกว่าคุณถนัด คอมันตร์ ได้เพราะว่าเป็นถนัด คอมันตร์ ถ้าไม่ใช่เป็นคุณถนัด คอมันตร์ พรรคประชาธิปัตย์คงจะไม่ได้สักที่นั่งเดียวเลยในกรุงเทพฯ เขาวิพากษ์วิจารณ์แค่นั้นเอง แต่ผมก็ไม่เคยออกความเห็น แต่ไม่ได้เคยพูดถึง ไม่ได้เคยแสดงอวดศักดา และผมก็เดินหน้าของผมมา การเมืองผมก็เดินหน้ามาอย่างนี้ แต่ความอยากได้ใคร่ดีอะไรต่าง ๆ ผมไม่นั่น ผมพูดกันสนุก ๆ ว่าหมอดูชอบมาเอาดวงไปดู หมอดูชอบเอาดวงคนที่อยู่ในแวดวงการเมืองดู เขาเอาไปดูแล้วเขาจะคอยดูข้างนอก เขาดูนี่ขึ้นลงอย่างไร มันขึ้นมันลงมันตกยังไง ได้รับเลือกตั้งหรือไม่ได้รับเลือก เขาดูกันอย่างนี้ครับ และหมอดูเขาชอบทำนาย บอกว่าดวงนี้จะได้เป็นนายกฯ หมอดูคนนั้นบอกดวงนี้ต้องเป็นนายกฯ ผมก็หัวเราะแฮะ ๆ แล้ววันหนึ่งผมก็ลาออกจากผู้แทนราษฎรไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผมบอกผมแก้เคล็ดให้หมอดู ผมไปสมัครรับเลือกตั้ง ถ้าผมได้รับเลือก ผมก็เท่ากับเป็นนายกฯเล็ก กรุงเทพฯ แต่ก่อนก็คือนายกเทศมนตรี เขาเรียกนายกฯ เล็ก ต่อมาไปเรียกผู้ว่า ก็แปลว่านายกฯ เล็ก
ผมก็แก้เคล็ดแล้ว ผมบอกว่าผมคงไปไม่ถึงตรงนั้นละครับ ไปปาฐกถาที่ไหนผมก็คุยเรื่องนี้เท่านั้นเอง ผมบอกผมเป็นได้แค่รองนายกฯ 3 หน ไม่ได้แสดงความทะเยอทะยานไม่ได้อยาก ไม่เลยครับ และผมมาทางนี้ก็มีคนมาชวนว่าเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนี้ แล้วก็สมัครรับเลือกตั้ง ผมก็เอาเพราะผมเสียดายคนที่จะถูกสับเป็นท่อน ๆ ถ้ารวมกันอยู่ ผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมก็ไปเป็นหัวหน้าพรรค และผมก็รณรงค์เลือกตั้ง ต้องเรียกว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดในการรณรงค์ เพราะว่าผมรณรงค์มาด้วยตัวผมเอง ผมออกไปต่างจังหวัด ผมไปปราศรัย ผมดำเนินกิจกรรมทางการเมืองครบถ้วนครับ และผมได้รับเลือกตั้ง ผมก็เป็นหัวหน้าพรรค แล้วผมก็ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และยังดำเนินการอยู่จนทุกวันนี้ และเขาก็ไม่ได้แสดงความอยากได้ใคร่ดี แต่ว่าพรรคการเมืองที่ถูกเหยียบย่ำจนจมมิดดิน แทบจะเป็นจะตาย ทุกวิถีทางไม่ให้เกิดได้
ผมจะบอกให้ฟังนะครับ วันข้างหน้าคงจะมีคนได้อ่านหนังสือ ไม่ใช่ผมเขียนก็มีคนอื่นเขียน ความสกปรกที่เกิดขึ้นในเรื่องแวดวงทางการเมืองนั้น ผมจะไม่ชี้ไปตรงไหนละครับ แต่มันสกปรกจริง ๆ ความสกปรกอย่างยิ่งนี่ละครับที่ทำให้พรรคการเมืองที่ผมอาสาไปเป็นหัวหน้าพรรคเขานั้น ได้มาต้องพูดว่าแค่ 233 ป้องกันกันอย่างสุดฤทธิ์แล้วก็ยังหลุดมาได้แค่นี้ เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้คาดคิดว่าผมจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อหลุดมาเท่านี้แล้ว ก็ได้เท่านั้นเอง แล้วจะทำอย่างไรละครับ ก็หมากมันออกมาอย่างนี้นี่ครับ มีอยู่อีก 5 พรรค สุดท้ายก็ต้องตกลง 3 ก่อนอีก 2 เขาบอกเอาไปเป็นดีกว่า เขาอ่านไพ่เขาก็นั่น การเมืองก็อย่างนี้ เล่นกันอย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่มีการวิ่งเต้น ไม่ต้องการไปหาอะไรต่าง ๆ และก็เป็นการเมืองปกติ และก็ดำเนินการกันอยู่ จะอยู่ได้เท่าไหนยังไม่ทราบได้ แต่ว่าอยู่ได้ 4 เดือนโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทุกอย่างนี่ละครับก็เป็นมาเป็นไปอย่างนั้น แต่ว่าการพูดจาอภิปรายกัน ผมบอกตรง ๆ ว่าสมัยนี้รุนแรงครับ เพราะฉะนั้น ผมก็ต้องทนเพราะผมมาเป็นนายกรัฐมนตรี การอภิปรายก็เที่ยวลากโน้นมาลากนี่มา ก็ต้องมาตามแก้ตามชี้
ผมนึกว่าตอนสรุปท้ายจะได้พูดสักหน ก็ต้องคอยพูดอย่างนี้ ก็ลองดูสิครับ ขึ้นต้นว่าต้นฉบับของการเอาของปลอมมาใส่ อย่างโน้นอย่างนี้ลากเข้ามา แม้กระทั่งเอาเท้าออก ก็อุตส่าห์ไปเก็บเอามาออก และยังไม่เข้าใจอีกครับ ยังบอกปักษ์ใต้อีก เขาใช้ตักน้ำมาให้คนก้างติดคอเป็น กรุงเทพฯ เขาก็มีครับ เอาหัวแม่เท้าเขี่ยคอ ก้างหลุด ก็รู้แค่นั้น นึกว่าความสำคัญของคนที่เอาเท้าออกเป็นอย่างนั้น ผมถึงบอกไปถามพระ ถ้าไม่รู้ก็รู้ซะว่าคนเอาเท้านั่นใคร ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (25 มิ.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในประเด็นนายกรัฐมนตรีดูแคลนผู้สูงอายุ และการเป็นนายกรัฐมนตรีนอมินี ดังนี้
ท่านประธานที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เวลาที่คนไม่ค่อยรู้เรื่องรายละเอียดแล้วชอบหยิบเอามาพูด บันได 3 ขั้นเขาตอบคำถามกันเพราะว่าผู้สื่อข่าวมาถาม มีคนบอกว่าออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว มันเจ๊งทุกราย บังเอิญผมออกมาแล้ว ผมก็ตั้งพรรคการเมือง พอเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้มา 32 คน ส่ง 35 คน ทั่วประเทศได้มา 32 คน กรุงเทพฯ ส่ง 32 คน ได้ 29 คน ขาดไป 3 ที่นั่ง ผู้คนก็ตื่นเต้นกันทั้งเมือง และเขาก็ถามว่าต่อไปจะเป็นยังไง ผมก็บอกว่าต่อไปวันข้างหน้า ถ้าหากบันไดขั้นที่ 2 มีพรรคการเมืองมาร่วมผมก็จะได้เป็นรัฐมนตรี ชวนไปร่วม พรรคการเมืองใหญ่เขาชวนไปร่วม ผมก็จะเป็นรัฐมนตรี แต่บันไดขั้นที่ 3 คือว่าถ้าพรรคการเมืองนี้ใหญ่โตขึ้นแล้วผมยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองอยู่ แล้วพรรคการเมืองผมได้รับเสียงข้างมาก ผมก็เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงเป็นบันได 3 ขั้น นั่นไม่ได้แสดงความอยากครับ นั่นแสดงการตัด บอกอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
และข้อสำคัญที่สุดคือว่า เมื่อเวลาที่ผมออกมาแล้วนั้น ผมก็ไม่เคยไปรุกล้ำก้ำเกินอะไรพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลาที่ผมชนะในกรุงเทพฯ 32 ที่นั่ง ผมได้ 29 ผู้คนตื่นเต้นกันทั้งเมือง ฝรั่งมังค่าก็ตื่นเต้นขนาดมานั่งซักถาม ใน 3 คนที่ได้นั่นละครับ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านได้ 1 อาจารย์เกษมได้อีก 1 2คนติดกัน อีกคนคุณถนัด คอมันตร์ หนังสือพิมพ์เขาก็บอกว่าคุณถนัด คอมันตร์ ได้เพราะว่าเป็นถนัด คอมันตร์ ถ้าไม่ใช่เป็นคุณถนัด คอมันตร์ พรรคประชาธิปัตย์คงจะไม่ได้สักที่นั่งเดียวเลยในกรุงเทพฯ เขาวิพากษ์วิจารณ์แค่นั้นเอง แต่ผมก็ไม่เคยออกความเห็น แต่ไม่ได้เคยพูดถึง ไม่ได้เคยแสดงอวดศักดา และผมก็เดินหน้าของผมมา การเมืองผมก็เดินหน้ามาอย่างนี้ แต่ความอยากได้ใคร่ดีอะไรต่าง ๆ ผมไม่นั่น ผมพูดกันสนุก ๆ ว่าหมอดูชอบมาเอาดวงไปดู หมอดูชอบเอาดวงคนที่อยู่ในแวดวงการเมืองดู เขาเอาไปดูแล้วเขาจะคอยดูข้างนอก เขาดูนี่ขึ้นลงอย่างไร มันขึ้นมันลงมันตกยังไง ได้รับเลือกตั้งหรือไม่ได้รับเลือก เขาดูกันอย่างนี้ครับ และหมอดูเขาชอบทำนาย บอกว่าดวงนี้จะได้เป็นนายกฯ หมอดูคนนั้นบอกดวงนี้ต้องเป็นนายกฯ ผมก็หัวเราะแฮะ ๆ แล้ววันหนึ่งผมก็ลาออกจากผู้แทนราษฎรไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผมบอกผมแก้เคล็ดให้หมอดู ผมไปสมัครรับเลือกตั้ง ถ้าผมได้รับเลือก ผมก็เท่ากับเป็นนายกฯเล็ก กรุงเทพฯ แต่ก่อนก็คือนายกเทศมนตรี เขาเรียกนายกฯ เล็ก ต่อมาไปเรียกผู้ว่า ก็แปลว่านายกฯ เล็ก
ผมก็แก้เคล็ดแล้ว ผมบอกว่าผมคงไปไม่ถึงตรงนั้นละครับ ไปปาฐกถาที่ไหนผมก็คุยเรื่องนี้เท่านั้นเอง ผมบอกผมเป็นได้แค่รองนายกฯ 3 หน ไม่ได้แสดงความทะเยอทะยานไม่ได้อยาก ไม่เลยครับ และผมมาทางนี้ก็มีคนมาชวนว่าเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนี้ แล้วก็สมัครรับเลือกตั้ง ผมก็เอาเพราะผมเสียดายคนที่จะถูกสับเป็นท่อน ๆ ถ้ารวมกันอยู่ ผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมก็ไปเป็นหัวหน้าพรรค และผมก็รณรงค์เลือกตั้ง ต้องเรียกว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดในการรณรงค์ เพราะว่าผมรณรงค์มาด้วยตัวผมเอง ผมออกไปต่างจังหวัด ผมไปปราศรัย ผมดำเนินกิจกรรมทางการเมืองครบถ้วนครับ และผมได้รับเลือกตั้ง ผมก็เป็นหัวหน้าพรรค แล้วผมก็ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และยังดำเนินการอยู่จนทุกวันนี้ และเขาก็ไม่ได้แสดงความอยากได้ใคร่ดี แต่ว่าพรรคการเมืองที่ถูกเหยียบย่ำจนจมมิดดิน แทบจะเป็นจะตาย ทุกวิถีทางไม่ให้เกิดได้
ผมจะบอกให้ฟังนะครับ วันข้างหน้าคงจะมีคนได้อ่านหนังสือ ไม่ใช่ผมเขียนก็มีคนอื่นเขียน ความสกปรกที่เกิดขึ้นในเรื่องแวดวงทางการเมืองนั้น ผมจะไม่ชี้ไปตรงไหนละครับ แต่มันสกปรกจริง ๆ ความสกปรกอย่างยิ่งนี่ละครับที่ทำให้พรรคการเมืองที่ผมอาสาไปเป็นหัวหน้าพรรคเขานั้น ได้มาต้องพูดว่าแค่ 233 ป้องกันกันอย่างสุดฤทธิ์แล้วก็ยังหลุดมาได้แค่นี้ เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้คาดคิดว่าผมจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อหลุดมาเท่านี้แล้ว ก็ได้เท่านั้นเอง แล้วจะทำอย่างไรละครับ ก็หมากมันออกมาอย่างนี้นี่ครับ มีอยู่อีก 5 พรรค สุดท้ายก็ต้องตกลง 3 ก่อนอีก 2 เขาบอกเอาไปเป็นดีกว่า เขาอ่านไพ่เขาก็นั่น การเมืองก็อย่างนี้ เล่นกันอย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่มีการวิ่งเต้น ไม่ต้องการไปหาอะไรต่าง ๆ และก็เป็นการเมืองปกติ และก็ดำเนินการกันอยู่ จะอยู่ได้เท่าไหนยังไม่ทราบได้ แต่ว่าอยู่ได้ 4 เดือนโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทุกอย่างนี่ละครับก็เป็นมาเป็นไปอย่างนั้น แต่ว่าการพูดจาอภิปรายกัน ผมบอกตรง ๆ ว่าสมัยนี้รุนแรงครับ เพราะฉะนั้น ผมก็ต้องทนเพราะผมมาเป็นนายกรัฐมนตรี การอภิปรายก็เที่ยวลากโน้นมาลากนี่มา ก็ต้องมาตามแก้ตามชี้
ผมนึกว่าตอนสรุปท้ายจะได้พูดสักหน ก็ต้องคอยพูดอย่างนี้ ก็ลองดูสิครับ ขึ้นต้นว่าต้นฉบับของการเอาของปลอมมาใส่ อย่างโน้นอย่างนี้ลากเข้ามา แม้กระทั่งเอาเท้าออก ก็อุตส่าห์ไปเก็บเอามาออก และยังไม่เข้าใจอีกครับ ยังบอกปักษ์ใต้อีก เขาใช้ตักน้ำมาให้คนก้างติดคอเป็น กรุงเทพฯ เขาก็มีครับ เอาหัวแม่เท้าเขี่ยคอ ก้างหลุด ก็รู้แค่นั้น นึกว่าความสำคัญของคนที่เอาเท้าออกเป็นอย่างนั้น ผมถึงบอกไปถามพระ ถ้าไม่รู้ก็รู้ซะว่าคนเอาเท้านั่นใคร ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--