แท็ก
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ
นายสมัคร สุนทรเวช
พรรคประชาธิปัตย์
พรรคพลังประชาชน
สภาผู้แทนราษฎร
นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีชี้แจงภายหลังนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายตอบโต้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่เรียกร้องให้ฝ่ายค้านนำเอกสารประกอบการอภิปรายทุกอย่างส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหลังการประชุม
วันนี้ (25 มิ.ย.) เวลา 10.50 น. ณ อาคารรัฐสภา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงภายหลังนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายตอบโต้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่เรียกร้องให้ฝ่ายค้านนำเอกสารประกอบการอภิปรายทุกอย่างส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหลังการประชุม โดยระบุว่าต้นตำรับการใช้เอกสารเท็จ คือ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และยังกล่าวถึงหนังสือ ”การเมืองเรื่องตัณหา” ที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เขียนขึ้น
ท่านประธานที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ความจริงถ้าอภิปรายปกติธรรมดา ไม่มาพาลชิงกันจนเกินไปผมก็ทนฟังได้ ผมนั่งเซ็นหนังสืออยู่ข้างหลัง แต่การเริ่มต้นที่พูดว่า ผมเป็นต้นตำรับของเรื่องการแสดงเอกสารเท็จในสภา ผมไม่ทราบว่าตอนที่ผมแสดงนั้น คนที่พูดนั้นเป็นใครอยู่ที่ไหนอย่างไร คือเวลาเขาสู้กันตรงนั้นเขาสู้กันเรื่องเอกสารเท็จนะครับ เอกสารที่ผมเอามาแสดงให้ดูเป็นเอกสารเท็จครับ เพราะข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่รู้ไปศึกษาเสียก่อนครับ เอกสารนั้นเป็นเอกสารเท็จครับ เอามาแสดงให้ดูเพราะคนเขาบอกว่ามีคนเอาเอกสารเท็จนี้ไปแสดงให้ดู เพื่อจะได้รับเงินส่วนที่เกินกว่าการลงทุน เอกสารที่เอามาให้เป็นเอกสารเท็จ และคนก็ด่าบอกนายสมัครเอาเอกสารเท็จอะไรมา ถูกต้องครับ เอกสารที่มาแสดงเป็นเอกสารเท็จ และถามสิครับว่าคนเป็นรัฐมนตรีกับคนที่เป็น ส.ส. นั้น มีเส้นทางเดินอย่างไรครับ เขาเป็นรัฐมนตรี เขาก็ต้องถอยไปอยู่ที่อื่น เขาพูดกันเลยในสภานะครับว่าคนที่เป็นไม้สัก ทำพื้นได้ ทำเสาได้ ตากแดดตากฝนได้ คือคนอย่างนายสมัคร แต่คนที่เป็นไม้ฉำฉามาปูพื้น ทนฝนไม่ได้นานหรอกครับ
งานการเมืองเขาสู้กันมาอย่างนั้นครับ ไปศึกษาซะก่อน ๆ จะมาพูดจาว่าผมเป็นต้นฉบับ แสดงเอกสารเท็จในสภา ถูกต้องครับ ขอย้ำว่าเอกสารที่แสดงวันนั้นเป็นเอกสารเท็จครับ เพราะคนเอาเอกสารเท็จไปแสดง ไปแสดงเอาเงินเขาครับ เรื่องอย่างนี้ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ไป ๆ มา ๆ อภิปรายคุณสมบัติคนอย่างผม ผมจะบอกให้ฟังนะครับวิธีการที่ไปเอาเอกสารมาอ่าน หนังสือเล่มนั้นตอนพิมพ์มีคนซื้อไป 84,000 เล่ม หนังสือชื่อ “การเมืองเรื่องตัณหา” และก่อนจะมาอ้างทศพิธราชธรรมว่าไม่มีอะไรนั้น ศึกษาพุทธศาสนามาแค่ไหนอย่างไรครับ คือสติปัญญาของคนเวลาจะแสดงให้คนเขารู้ว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรอย่างไร ถามสิสมัยพระพุทธเจ้ามีการเมืองหรือยังครับ 2,500 ปีก่อนมีการเมืองไหมครับ ไม่มีคำว่าการเมืองด้วยซ้ำสมัยนั้น แต่คำว่า “ตัณหา” นั้น คนเขียนหนังสือสามารถจะเขียนได้ว่า คนที่ไปหลงใหลการเมือง คนที่ยุ่งอยู่ในการเมืองนั้น การเมืองนั้นเป็นตัณหาชนิดหนึ่ง เป็นความเท็จตรงไหนครับ เป็นความผิดตรงไหนที่เขียนหนังสืออย่างนี้ นั่นก็เป็นตัณหา นี่ก็เป็นตัณหา การเมืองก็เป็นตัณหา การเมืองเรื่องตัณหา เล่ม 1 นะครับ ยังมีเล่ม 2 ไปหาอ่านสิครับ
หนังสือเล่มนี้ตอนพิมพ์ 84,000 เล่ม ตอนหลังมาพิมพ์ใหม่ เพราะว่ามีคนเอาไปใส่เว็บไซต์ มีคนไปอ่านบทที่ 1 บทที่ 2 เลยเรียกร้องให้มีการพิมพ์กันใหม่ ไม่ต้องโฆษณาขายหนังสือละครับ หนังสือเขาขายไปเรื่อย แต่ข้อสำคัญสุด ผมถามหน่อยสิครับว่าที่อ่านมาให้ฟังนั้น เสียหายกับคุณสมบัติของคนอย่างผมได้ตรงไหน รู้ไหมครับว่าคนที่เอาเท้าออกมีกี่คนในโลกนี้ รู้ไหมครับว่าคนสำคัญในโลกนี้ใครครับที่เอาเท้าออก หมอที่นั่น ผมออกชื่อท่านก็ได้แม้จะล่วงลับไปแล้ว วงศ์ตระกูลท่านก็ไม่มีใครมาว่าครับ ชื่อนายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์ ท่านพูดอย่างนั้นเพราะท่านเป็นหมอนักการเมือง ท่านอยู่ในพวกก่อการที่เปลี่ยนแปลงการปกครองด้วย คุณหมอออกลูกคุณแม่ผมมาทุกคนครับ เป็นหมอทำคลอด มันเป็นยังไงครับ มันผิดอะไรกันตรงไหนอย่างไร ถึงมาทำนายได้อย่างไร จนป่านนี้ยังมองไม่เห็นเลยครับว่าเขาทำนายว่าจะช่วยครอบครัวได้ ครอบครัวผมก็ช่วยได้ครับ ตั้งแต่ไม่มีบ้านอยู่ จนกระทั่งมีบ้านอยู่ เช่าบ้านเขาอยู่ตั้ง 20 แห่ง จนกระทั่งผมสร้างบ้านให้พ่อแม่ผมอยู่เองได้ อ่านสิครับอ่านให้จบหน่อย เอาบทนี้มาอ่าน ที่อ่านมันเยาะเย้ยถากถางตรงไหน
ข้อที่ 2 มาช่วยวงศ์ตระกูล แน่นอนครับ ผมเป็นคนมีชื่อเสียงในวงศ์ตระกูล ญาติพี่น้องผม คุณตาผมมีลูก 4 คน ต่อมา 4 คนก็แต่งไป 4 ครอบครัว และทั้ง 4 วงศ์ตระกูลนี่ละครับ 4 คนเดี๋ยวนี้มีร้อยคนเวลาชุมนุมกัน ผมเป็นคนนำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลของผม คนในวงศ์ตระกูลผมมีชื่อเสียงหลายคนครับ เพราะฉะนั้น การที่บอกว่าทำชื่อเสียง ช่วยครอบครัว ผมช่วยมาแล้วครับ ผมทำงานช่วยครอบครัวผม แต่ก่อนคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงผม และต่อมาผมก็ทำงานเร็ว และผมก็เลี้ยงครอบครัวผม ช่วยดูครอบครัวผม และต่อมาผมก็มีชื่อเสียง ทำให้วงศ์ตระกูลผมมีชื่อเสียง ใครรู้จักนามสกุลสุนทรเวช เพราะผมด้วยครับ สุนทรเวชก็คุณพ่อผม คุณลุงผมก็เป็นแพทย์ประจำพระองค์รัชกาลที่ 6 คุณตาผมเป็นพระยาจังวาง ออกแบบเหรียญตรา รับราชการรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 พอรัชกาลที่ 7 เป็นอภิรัฐมนตรี เขารับราชการกันมา และขอให้รู้นะครับว่าเขาคุยกันเรื่องตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ถ้าไม่รู้ความหมายพูดแค่นั้นมีความหมายครับ ถ้าไม่รู้ความหมายจะแปลให้ฟังครับ ตรานี่ละครับ ธรรมดาสายสะพายที่ได้สีต่าง ๆ นั้น เครื่องอิสริยาภรณ์นั้น ราชการขอให้ครับ แต่สีชมพูต้องพระราชทาน เป็นสายส่วนพระองค์มีฝ่ายหน้ามีฝ่ายใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ถ้าไม่โปรดฯ พระราชทานไม่ได้หรอกครับ ไม่ได้ขอนะครับ ใครขอก็ไม่ได้ครับ พิจารณาด้วยพระองค์เอง
เพราะฉะนั้น ต้องขอให้รู้ว่าใครได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เขารู้กันอยู่ ใครได้เขาต้องนับถือกันอยู่ว่าใครได้ยังไง ผมได้ทุติยจุลจอมเกล้า ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม วันที่ผมได้ก็มีคนเป็นพยานดูอยู่ รับสั่งก่อนจะได้ด้วยซ้ำไป พระราชทานวันที่ 5 พฤษภาคม วันที่ 28 ทรงทักทาย ขอความกรุณาในธรรมเนียมเขาไม่เอาเรื่องเจ้ารับสั่งมาเอ่ยถึง วันที่ 5 ผมก็ได้รับพระราชทาน ไม่ได้พระราชทานคนเดียว ภรรยาก็ได้ด้วยครับ แปลว่าได้ทั้งผัวทั้งเมียครับ สมัยโบราณก็ผัวเป็นเจ้าคุณ เมียเป็นคุณหญิง คนเขารู้ว่าต้องโปรดฯ ถึงจะพระราชทานครับ แล้วต่อมาอีก 18 ปี ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ชั้น 2 มาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใครต่อใครด่ากันนักหนา ไม่มีผลงานไม่ทำอะไร แต่ว่าโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ขยับไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้าสมัยก่อนเป็นพระยา สมัยนี้ก็เป็นเจ้าพระยาครับ เพราะฉะนั้น ขอให้รู้ว่าเรื่องพรรค์อย่างนี้คนต้องรู้ตัวครับ ใครไม่รับพระราชทานก็สุดแท้แต่ เขาก็มีความจงรักภักดี แต่คนที่ได้รับพระราชทานแล้วอย่างผมนี่ครับ แล้วจะมาวิพากษ์วิจารณ์คนอย่างผม เรื่องไม่จงรักภักดี ควรจะไปศึกษาให้ดีก่อน ผมน่ะสงสารจริง ๆ บอกตรง ๆ ไปรับอาสาเขามานี่ พูดจาเรื่องพรรค์อย่างนี้
ผมพูดเรื่องจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) แล้วเมื่อวานนี้ไม่ได้ฟังเหรอครับ จักรภพ เพ็ญแข จะพูดอะไรที่ไหนอย่างไร เอาเถอะครับ แต่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีเหตุผลครับ เพราะจักรภพพูดวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ได้รู้กันไว้ได้ถอดเทปและเก็บกันไว้ครับ เสร็จแล้วมาเล่นงานจักรภพเดือนเมษายน 2551 กันยายน ตุลาคม ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน 8 เดือนครับ จักรภพไปเหยียบหางเข้า ถึงให้ตำรวจไปแจ้งความมีหลักฐานพร้อมหมดครับ 8 เดือนเก็บไว้ทำไมครับ ไม่เก็บความเลวทรามของจักรภพไว้ 8 เดือน ถ้าจักรภพไม่เป็นรัฐมนตรีก็ปลอดภัยครับ มาเป็นรัฐมนตรีครับ มาอยู่ตรงนี้เข้า ไปเหยียบหางใครบางคนเข้า พัวะเดียวทันทีให้ตำรวจไป เพราะเรื่องอย่างนี้ผมถึงบอกตำรวจต้องวินิจฉัย ไม่ใช่ผมวินิจฉัย หัวหน้าฝ่ายค้านส่งเอกสารมาให้บอกมีพฤติการณ์อย่างนั้น ผมบอกให้ตำรวจจัดการ จักรภพออกเพราะตำรวจเขาบอกว่าผิดครับ ไม่ใช่ที่ไหนมากดดันอะไร ไปยกย่องคนที่สะพานมัฆวานฯ ก็ยกย่องไปเถอะ แต่อย่ามาอ้างว่าจักรภพออกเพราะ..ไปถามเขาดูก็ได้ครับ เขาออกเพราะตำรวจบอกว่าเขาผิด เขาก็อยู่ไม่ได้ เขาก็ต้องออก แต่ผมต้องให้ตำรวจจัดการ ทำไมละครับเรื่องพรรค์อย่างนี้ ผมไม่ใช่ศาลนะครับ แต่ผมต้องให้ตำรวจจัดการ
ทำไมละครับ เรื่องพรรค์อย่างนี้ ผมไม่ใช่ศาลนะครับ แต่ผมต้องให้ตำรวจจัดการเพราะเหตุว่าเก็บเอาไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ไม่จัดการ พอถูกเหยียบหางเข้าก็จัดการเข้าไปแจ้งความดำเนินคดี ถึงบอกตำรวจช่วยจัดการ ไม่ใช่ความผิดครับ อย่างนี้ไม่ใช่แสดงว่าไม่จงรักภักดี ไม่ละครับ คนจงรักภักดีไม่ต้องแสดงออกขนาดนั้นครับ จะดูเก่ง จะเห็นสายตาเห็นประกาย เขาก็แสดงกันไม่มีใครตำหนิติเตียนครับ จะแสดงกระโดดโลดเต้นอะไรต่าง ๆ ก็เห็นกันอยู่ครับ คนไทยแสดงออกครับ ภาพที่กราบอะไรต่าง ๆ คนไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครนั่นเลยครับ แต่ผมไม่ต้องไปแสดงอย่างนั้น ผมเป็นสมาชิกของผมนั้นเขาเรียกว่าสมาชิกจุลจอมเกล้า ถึงวันที่ 5 ไม่เฝ้าฯ ตอนเย็นก็ต้องไปตอนเช้า ต้องมีพานมีดอกไม้ ต้องเข้าไปที่ปราสาทพระเทพบิดร ต้องไปสักการะ ผมได้รับพระราชทานปี 2527 ลองนับดูสิครับ 24 ปีมาแล้วครับ ต้องไปทุกปีครับ ต้องเข้าไปถวายทุกปี ความผูกพันอย่างนี้ละครับไม่ต้องอธิบายอะไรอื่น แล้วอย่าได้สงสัยครับ อุตส่าห์มาตั้งข้ออภิปรายผมเรื่องความไม่จงรักภักดีของนายสมัคร เรื่องท่าทีปกป้อง ผมต้องมีเหตุผลในการทำอย่างนี้
ที่ผมเขียนไว้ต่าง ๆ อย่างกรณีที่บอกว่าผมไปสลายการชุมนุม พูดอะไรครับสลายการชุมนุม ผมพูดชัดเจนแต่คนเอาไปแปลความ ผมออกโทรทัศน์เมื่อวันเสาร์ตอนเก้าโมงเช้าเป็นพิเศษ ไม่รอวันอาทิตย์ เพราะเขาบอกว่าเขาจะจัดการให้เบ็ดเสร็จกันวันนี้ แปลว่าวันนั้นเขาบอกเขาจะยึดทำเนียบ เมื่อข่าวมาถึง เขาบอกเขาจะจัดการ ผมก็พูดว่าเพราะเขาจะจัดการให้เสร็จกันวันนี้ ผมจึงต้องออกโทรทัศน์ มีเหตุผลชัดเจน แต่ว่าพอออกมาเป็นข่าว ขนาดออกโทรทัศน์คนฟังทั้งเมือง พออยู่หน้าหนังสือพิมพ์บอกว่านายสมัครจะจัดการให้เบ็ดเสร็จ เขาจะจัดการให้เบ็ดเสร็จคือเขาจะยึดทำเนียบกันวันนั้น ผมก็ต้องจัดการ เพราะเขารอเสาร์ อาทิตย์ ข่าวมาวันศุกร์ วันเสาร์จะยึดทำเนียบ ผมถึงต้องเก้าโมงเช้าวันเสาร์ออกโทรทัศน์ วันอาทิตย์ก็ออก และมาบอกว่าไปบอกยังไงครับ ผมพูดอย่างนั้นเสร็จกลายเป็นว่าผมจุดชนวน มีคนเจ็บร้อนแทนคนที่อยู่ตรงนั้น คนขวางถนนอยู่หน้าองค์การสหประชาชาติ รถราติดขัดไม่มีใครตำหนิติเตียนเลย รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ก็ไม่ตำหนิติเตียนก็ยกย่องสรรเสริญกันอยู่ พูดคำก็ยกย่องคำ ก็ทำไปสิครับ แต่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมต้องดูแลบ้านเมืองนี้ ผมต้องเจอทูตขรตรีเศียร เขาบอกเขาต้องจอดรถ เขาต้องเดินเข้าไปองค์การสหประชาชาติ แล้วถามสิว่าประเทศนี้เป็นยังไงครับ
ผมถึงต้องออกโทรทัศน์ว่าคุณทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณขวางทาง ผมจะบอกให้ตำรวจเขาดำเนินการ เท่านั้นละครับ ตรวจสอบกันเสร็จ พอรู้แน่ใจว่าไม่มีใครไปอยู่ข้างตัวยังไงเข้า ออกข่าวเลยครับ ปลุกระดมทันที ตำรวจขีดเส้นทางห้าโมงเย็น ผมพูดแล้วก็พูดอีก พูดกันเองปลุกระดมกันเอง เรื่องอย่างนี้แต่ละถ้อยแต่ละคำลองดูสิครับ เรื่อง statement เอามาพูดจากัน เพราะไม่รู้ เรื่องที่ผมพูดจากันว่าเขาจะเอาให้เบ็ดเสร็จกันเย็นวันนี้ ไม่ใช่ผมครับ ผมต้องพูด และมากล่าวหาผม แล้วเรื่องจักรภพ ผมก็เห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร ถ้าเป็นใครก็ต้องทำอย่างนี้ครับ ให้ตำรวจจัดการ เพราะเหตุว่าเก็บเอาไว้ 8 เดือน พอไม่ถูกใจเข้าไปยื่นดำเนินการ ก็ตำรวจดำเนินการ เขายื่นตำรวจ ๆ ดำเนินการ คนเป็นนายกฯ แสดงความไม่จงรักภักดี เรื่องพรรค์อย่างนี้ไม่ต้องพูดมากไม่ต้องคุยมาก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจผมก็ยินดีอธิบายให้ฟัง ผมเกรงใจคุณบรรหาร (นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย) รู้ไหมครับว่าผมทำอย่างนั้นแล้ว พูดแล้วอย่างนั้น ผมก็ต้องไปขอโทษคุณบรรหารท่านที่บ้าน บอกต้องอภัยให้ผมด้วยนะครับ มันจำเป็นจริง ๆ ในทางการเมือง เพราะว่าผมต้องถูกตีความอย่างนั้นแน่ ผมต้องพูดเพื่อแสดงว่ามิฉะนั้น ผมจะเป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องเป็นอย่างนี้ ผมแปลความเลยครับ ถ้าต้องเป็นอย่างนี้ตามข้อ 1 แปลว่าผมไม่มีความจงรักภักดี ถ้าต้องทำอย่างนั้น ผมต้องใช้ทางการเมือง แน่นอนครับคุณบรรหารอาวุโสกว่าผม ไม่มีใครรู้หรอกครับ แต่ว่า 2-3 วันผมไปขออภัยท่านที่บ้าน บอกคุณบรรหารต้องให้อภัยผม เพราะการเมืองต้องลูกพร้อม ท่านยังกอดผม การเมืองเขาก็อย่างนี้ครับ ท่านไม่เคยตำหนิติเตียน และท่านก็ร่วมรัฐบาลกับผม ของพรรค์อย่างนี้โต ๆ กันแล้วต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
สักแต่ว่ามาพูดจาว่ากล่าวทำให้เสียหาย อภิปรายอย่างนี้ ที่ผมเขียนไว้ 9 ข้อ เห็นไหมครับ 1 ใน 9 ข้อ ข้อ 5 เรื่องบอกแสดงท่าทีไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นายสมัครไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างนั้นไว้วางใจไม่ได้ แล้วไปหยิบอะไรต่ออะไรมา ข้อสุดท้ายที่ไปบอกว่าหมอดู เขาไม่ใช่หมอดูครับ เขาเป็นคนทำคลอด เขาเป็นหมอ ไม่ใช่หมอดูนะครับ เขาไม่ได้ทำนาย เขาบอกไว้เลยว่าลูกคุณหญิงออกมาเอาเท้าออกให้เลี้ยงไว้ให้ดี มีไม่มากคนละครับไปนับดูสิครับ ปกติเขาเอาหัวออกทั้งนั้นละครับ ถ้าไม่รู้ไปถามพระสิครับว่าใครเอาเท้าออก ไม่รู้แล้วมาแสดงอย่างนี้ อุตส่าห์เอามาอ่าน เอาเถอะผมยกให้ว่าโฆษณาหนังสือผิด หนังสือ การเมืองเรื่องตัณหา ถ้ายังขายไม่หมด คนจะได้ไปซื้อมาอ่าน เรื่องพรรค์นี้ขอบอกให้รู้ว่าอภิปรายกันยังไง ๆ ผมที่พูดว่าแค่น ผมหมายความอย่างนั้นจริง ๆ อย่างข้ออย่างนี้ ลองคิดดูสิครับถ้าคนมีสติปัญญาความคิด มาเขียนว่ากล่าวหัวหน้ารัฐบาลบอกไม่จงรักภักดี ยกย่องคนที่อยู่ริมถนนและมาเหยียบย่ำคนเป็นนายกรัฐมนตรี แสดงประกายตามองเห็น ผมไม่ต้องใช้ประกายตาหรอกครับ แต่พฤติกรรมพฤติการณ์ของผม ผมเป็นอะไรยังไง คนที่เขารู้จักเขาก็รู้
เพราะฉะนั้น ต้องขอแสดงความเสียใจจริง ๆ ที่ว่าข้อนี้คงไม่ได้รับผลสำเร็จในการอภิปรายครับ ต้องขออภัยจริง ๆ แต่ที่ผมต้องตอบโต้นั้น จำเป็นจริง ๆ เพราะพูดจาคาบลูกคาบดอก พูดจาทำให้ผมเสียหายหลายขั้นหลายตอน และข้อสำคัญที่สุดคือว่าเรื่องอยากเป็นไม่อยากเป็น มาอ่านว่าการเมืองเรื่องตัณหา เลยแปลว่าผมอยากเป็นนายกฯ ผมจะบอกให้ฟังนะครับเรื่องนี้มันแปลกครับ อะไรที่มันอยากไม่ได้เป็นหรอกครับ คนที่ไม่ได้อยากสิครับที่ต้องมาเป็น แต่ว่าเมื่อมาเป็นแล้ว ผมเป็นคนที่ทำหน้าที่ทำได้ครับ เพราะบังเอิญพื้นฐานนั้นได้ฝึกฝนมา มาเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน แล้วค่อยมาเป็น ส.ส. ผมเป็น ส.ส.ครั้งแรกได้เป็นรัฐมนตรี ผมเป็นรัฐมนตรีมา 5 หน เป็นรองนายกรัฐมนตรี 3 หน เลือกตั้ง กทม.ผมก็ได้รับเลือก ยังไม่มีใครได้รับคะแนนเลือกตั้งมากเท่าผมเลยครับ คะแนน 1 ล้าน 1 หมื่น ไม่มีนะครับ นั่นแปลว่าผมก็ได้รับความสำเร็จเลือกเข้ามา ผมบริหารที่โน่นมา ทุกวันนี้คนในกทม.ก็ยังรักผม ผมอยู่ที่ไหนกระทรวงไหน ก็มีคนคิดถึงเสมอ เพียงแต่สภานาน ๆ มาอยู่ทีเท่านั้น มาเที่ยวนี้ก็เกิดมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่อยากจะบอกคนทำหน้าที่ว่า ควรจะมีความระมัดระวัง ควรบ้างครับ เขียนญัตติกันแบบนี้แล้วต้องแค่น แค่นเขียนแล้วต้องแค่นมาอภิปราย ก็ดูสิครับที่อภิปรายมาตรงนี้ ไหวไหมละครับ ถ้าคนไม่เข้าท่าอาจจะลงตัวได้ว่ากล่าวกันได้ ชี้หน้ากันได้ แต่มาเจอคนอย่างผมเข้า ผมไม่ต้องอวดละครับ ขอย้ำว่าผมไม่ต้องอวด เพราะฉะนั้น คนที่มาพูดจาอภิปรายทำนองเหยียบย่ำผมนั้น ท่านเสียหายเองครับ ไม่ใช่ผมนะครับ ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (25 มิ.ย.) เวลา 10.50 น. ณ อาคารรัฐสภา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงภายหลังนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายตอบโต้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่เรียกร้องให้ฝ่ายค้านนำเอกสารประกอบการอภิปรายทุกอย่างส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหลังการประชุม โดยระบุว่าต้นตำรับการใช้เอกสารเท็จ คือ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และยังกล่าวถึงหนังสือ ”การเมืองเรื่องตัณหา” ที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เขียนขึ้น
ท่านประธานที่เคารพ ผมสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ความจริงถ้าอภิปรายปกติธรรมดา ไม่มาพาลชิงกันจนเกินไปผมก็ทนฟังได้ ผมนั่งเซ็นหนังสืออยู่ข้างหลัง แต่การเริ่มต้นที่พูดว่า ผมเป็นต้นตำรับของเรื่องการแสดงเอกสารเท็จในสภา ผมไม่ทราบว่าตอนที่ผมแสดงนั้น คนที่พูดนั้นเป็นใครอยู่ที่ไหนอย่างไร คือเวลาเขาสู้กันตรงนั้นเขาสู้กันเรื่องเอกสารเท็จนะครับ เอกสารที่ผมเอามาแสดงให้ดูเป็นเอกสารเท็จครับ เพราะข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่รู้ไปศึกษาเสียก่อนครับ เอกสารนั้นเป็นเอกสารเท็จครับ เอามาแสดงให้ดูเพราะคนเขาบอกว่ามีคนเอาเอกสารเท็จนี้ไปแสดงให้ดู เพื่อจะได้รับเงินส่วนที่เกินกว่าการลงทุน เอกสารที่เอามาให้เป็นเอกสารเท็จ และคนก็ด่าบอกนายสมัครเอาเอกสารเท็จอะไรมา ถูกต้องครับ เอกสารที่มาแสดงเป็นเอกสารเท็จ และถามสิครับว่าคนเป็นรัฐมนตรีกับคนที่เป็น ส.ส. นั้น มีเส้นทางเดินอย่างไรครับ เขาเป็นรัฐมนตรี เขาก็ต้องถอยไปอยู่ที่อื่น เขาพูดกันเลยในสภานะครับว่าคนที่เป็นไม้สัก ทำพื้นได้ ทำเสาได้ ตากแดดตากฝนได้ คือคนอย่างนายสมัคร แต่คนที่เป็นไม้ฉำฉามาปูพื้น ทนฝนไม่ได้นานหรอกครับ
งานการเมืองเขาสู้กันมาอย่างนั้นครับ ไปศึกษาซะก่อน ๆ จะมาพูดจาว่าผมเป็นต้นฉบับ แสดงเอกสารเท็จในสภา ถูกต้องครับ ขอย้ำว่าเอกสารที่แสดงวันนั้นเป็นเอกสารเท็จครับ เพราะคนเอาเอกสารเท็จไปแสดง ไปแสดงเอาเงินเขาครับ เรื่องอย่างนี้ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ไป ๆ มา ๆ อภิปรายคุณสมบัติคนอย่างผม ผมจะบอกให้ฟังนะครับวิธีการที่ไปเอาเอกสารมาอ่าน หนังสือเล่มนั้นตอนพิมพ์มีคนซื้อไป 84,000 เล่ม หนังสือชื่อ “การเมืองเรื่องตัณหา” และก่อนจะมาอ้างทศพิธราชธรรมว่าไม่มีอะไรนั้น ศึกษาพุทธศาสนามาแค่ไหนอย่างไรครับ คือสติปัญญาของคนเวลาจะแสดงให้คนเขารู้ว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรอย่างไร ถามสิสมัยพระพุทธเจ้ามีการเมืองหรือยังครับ 2,500 ปีก่อนมีการเมืองไหมครับ ไม่มีคำว่าการเมืองด้วยซ้ำสมัยนั้น แต่คำว่า “ตัณหา” นั้น คนเขียนหนังสือสามารถจะเขียนได้ว่า คนที่ไปหลงใหลการเมือง คนที่ยุ่งอยู่ในการเมืองนั้น การเมืองนั้นเป็นตัณหาชนิดหนึ่ง เป็นความเท็จตรงไหนครับ เป็นความผิดตรงไหนที่เขียนหนังสืออย่างนี้ นั่นก็เป็นตัณหา นี่ก็เป็นตัณหา การเมืองก็เป็นตัณหา การเมืองเรื่องตัณหา เล่ม 1 นะครับ ยังมีเล่ม 2 ไปหาอ่านสิครับ
หนังสือเล่มนี้ตอนพิมพ์ 84,000 เล่ม ตอนหลังมาพิมพ์ใหม่ เพราะว่ามีคนเอาไปใส่เว็บไซต์ มีคนไปอ่านบทที่ 1 บทที่ 2 เลยเรียกร้องให้มีการพิมพ์กันใหม่ ไม่ต้องโฆษณาขายหนังสือละครับ หนังสือเขาขายไปเรื่อย แต่ข้อสำคัญสุด ผมถามหน่อยสิครับว่าที่อ่านมาให้ฟังนั้น เสียหายกับคุณสมบัติของคนอย่างผมได้ตรงไหน รู้ไหมครับว่าคนที่เอาเท้าออกมีกี่คนในโลกนี้ รู้ไหมครับว่าคนสำคัญในโลกนี้ใครครับที่เอาเท้าออก หมอที่นั่น ผมออกชื่อท่านก็ได้แม้จะล่วงลับไปแล้ว วงศ์ตระกูลท่านก็ไม่มีใครมาว่าครับ ชื่อนายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์ ท่านพูดอย่างนั้นเพราะท่านเป็นหมอนักการเมือง ท่านอยู่ในพวกก่อการที่เปลี่ยนแปลงการปกครองด้วย คุณหมอออกลูกคุณแม่ผมมาทุกคนครับ เป็นหมอทำคลอด มันเป็นยังไงครับ มันผิดอะไรกันตรงไหนอย่างไร ถึงมาทำนายได้อย่างไร จนป่านนี้ยังมองไม่เห็นเลยครับว่าเขาทำนายว่าจะช่วยครอบครัวได้ ครอบครัวผมก็ช่วยได้ครับ ตั้งแต่ไม่มีบ้านอยู่ จนกระทั่งมีบ้านอยู่ เช่าบ้านเขาอยู่ตั้ง 20 แห่ง จนกระทั่งผมสร้างบ้านให้พ่อแม่ผมอยู่เองได้ อ่านสิครับอ่านให้จบหน่อย เอาบทนี้มาอ่าน ที่อ่านมันเยาะเย้ยถากถางตรงไหน
ข้อที่ 2 มาช่วยวงศ์ตระกูล แน่นอนครับ ผมเป็นคนมีชื่อเสียงในวงศ์ตระกูล ญาติพี่น้องผม คุณตาผมมีลูก 4 คน ต่อมา 4 คนก็แต่งไป 4 ครอบครัว และทั้ง 4 วงศ์ตระกูลนี่ละครับ 4 คนเดี๋ยวนี้มีร้อยคนเวลาชุมนุมกัน ผมเป็นคนนำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลของผม คนในวงศ์ตระกูลผมมีชื่อเสียงหลายคนครับ เพราะฉะนั้น การที่บอกว่าทำชื่อเสียง ช่วยครอบครัว ผมช่วยมาแล้วครับ ผมทำงานช่วยครอบครัวผม แต่ก่อนคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงผม และต่อมาผมก็ทำงานเร็ว และผมก็เลี้ยงครอบครัวผม ช่วยดูครอบครัวผม และต่อมาผมก็มีชื่อเสียง ทำให้วงศ์ตระกูลผมมีชื่อเสียง ใครรู้จักนามสกุลสุนทรเวช เพราะผมด้วยครับ สุนทรเวชก็คุณพ่อผม คุณลุงผมก็เป็นแพทย์ประจำพระองค์รัชกาลที่ 6 คุณตาผมเป็นพระยาจังวาง ออกแบบเหรียญตรา รับราชการรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 พอรัชกาลที่ 7 เป็นอภิรัฐมนตรี เขารับราชการกันมา และขอให้รู้นะครับว่าเขาคุยกันเรื่องตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ถ้าไม่รู้ความหมายพูดแค่นั้นมีความหมายครับ ถ้าไม่รู้ความหมายจะแปลให้ฟังครับ ตรานี่ละครับ ธรรมดาสายสะพายที่ได้สีต่าง ๆ นั้น เครื่องอิสริยาภรณ์นั้น ราชการขอให้ครับ แต่สีชมพูต้องพระราชทาน เป็นสายส่วนพระองค์มีฝ่ายหน้ามีฝ่ายใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ถ้าไม่โปรดฯ พระราชทานไม่ได้หรอกครับ ไม่ได้ขอนะครับ ใครขอก็ไม่ได้ครับ พิจารณาด้วยพระองค์เอง
เพราะฉะนั้น ต้องขอให้รู้ว่าใครได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เขารู้กันอยู่ ใครได้เขาต้องนับถือกันอยู่ว่าใครได้ยังไง ผมได้ทุติยจุลจอมเกล้า ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม วันที่ผมได้ก็มีคนเป็นพยานดูอยู่ รับสั่งก่อนจะได้ด้วยซ้ำไป พระราชทานวันที่ 5 พฤษภาคม วันที่ 28 ทรงทักทาย ขอความกรุณาในธรรมเนียมเขาไม่เอาเรื่องเจ้ารับสั่งมาเอ่ยถึง วันที่ 5 ผมก็ได้รับพระราชทาน ไม่ได้พระราชทานคนเดียว ภรรยาก็ได้ด้วยครับ แปลว่าได้ทั้งผัวทั้งเมียครับ สมัยโบราณก็ผัวเป็นเจ้าคุณ เมียเป็นคุณหญิง คนเขารู้ว่าต้องโปรดฯ ถึงจะพระราชทานครับ แล้วต่อมาอีก 18 ปี ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ชั้น 2 มาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครใครต่อใครด่ากันนักหนา ไม่มีผลงานไม่ทำอะไร แต่ว่าโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ขยับไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้าสมัยก่อนเป็นพระยา สมัยนี้ก็เป็นเจ้าพระยาครับ เพราะฉะนั้น ขอให้รู้ว่าเรื่องพรรค์อย่างนี้คนต้องรู้ตัวครับ ใครไม่รับพระราชทานก็สุดแท้แต่ เขาก็มีความจงรักภักดี แต่คนที่ได้รับพระราชทานแล้วอย่างผมนี่ครับ แล้วจะมาวิพากษ์วิจารณ์คนอย่างผม เรื่องไม่จงรักภักดี ควรจะไปศึกษาให้ดีก่อน ผมน่ะสงสารจริง ๆ บอกตรง ๆ ไปรับอาสาเขามานี่ พูดจาเรื่องพรรค์อย่างนี้
ผมพูดเรื่องจักรภพ (นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) แล้วเมื่อวานนี้ไม่ได้ฟังเหรอครับ จักรภพ เพ็ญแข จะพูดอะไรที่ไหนอย่างไร เอาเถอะครับ แต่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีเหตุผลครับ เพราะจักรภพพูดวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ได้รู้กันไว้ได้ถอดเทปและเก็บกันไว้ครับ เสร็จแล้วมาเล่นงานจักรภพเดือนเมษายน 2551 กันยายน ตุลาคม ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน 8 เดือนครับ จักรภพไปเหยียบหางเข้า ถึงให้ตำรวจไปแจ้งความมีหลักฐานพร้อมหมดครับ 8 เดือนเก็บไว้ทำไมครับ ไม่เก็บความเลวทรามของจักรภพไว้ 8 เดือน ถ้าจักรภพไม่เป็นรัฐมนตรีก็ปลอดภัยครับ มาเป็นรัฐมนตรีครับ มาอยู่ตรงนี้เข้า ไปเหยียบหางใครบางคนเข้า พัวะเดียวทันทีให้ตำรวจไป เพราะเรื่องอย่างนี้ผมถึงบอกตำรวจต้องวินิจฉัย ไม่ใช่ผมวินิจฉัย หัวหน้าฝ่ายค้านส่งเอกสารมาให้บอกมีพฤติการณ์อย่างนั้น ผมบอกให้ตำรวจจัดการ จักรภพออกเพราะตำรวจเขาบอกว่าผิดครับ ไม่ใช่ที่ไหนมากดดันอะไร ไปยกย่องคนที่สะพานมัฆวานฯ ก็ยกย่องไปเถอะ แต่อย่ามาอ้างว่าจักรภพออกเพราะ..ไปถามเขาดูก็ได้ครับ เขาออกเพราะตำรวจบอกว่าเขาผิด เขาก็อยู่ไม่ได้ เขาก็ต้องออก แต่ผมต้องให้ตำรวจจัดการ ทำไมละครับเรื่องพรรค์อย่างนี้ ผมไม่ใช่ศาลนะครับ แต่ผมต้องให้ตำรวจจัดการ
ทำไมละครับ เรื่องพรรค์อย่างนี้ ผมไม่ใช่ศาลนะครับ แต่ผมต้องให้ตำรวจจัดการเพราะเหตุว่าเก็บเอาไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ไม่จัดการ พอถูกเหยียบหางเข้าก็จัดการเข้าไปแจ้งความดำเนินคดี ถึงบอกตำรวจช่วยจัดการ ไม่ใช่ความผิดครับ อย่างนี้ไม่ใช่แสดงว่าไม่จงรักภักดี ไม่ละครับ คนจงรักภักดีไม่ต้องแสดงออกขนาดนั้นครับ จะดูเก่ง จะเห็นสายตาเห็นประกาย เขาก็แสดงกันไม่มีใครตำหนิติเตียนครับ จะแสดงกระโดดโลดเต้นอะไรต่าง ๆ ก็เห็นกันอยู่ครับ คนไทยแสดงออกครับ ภาพที่กราบอะไรต่าง ๆ คนไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครนั่นเลยครับ แต่ผมไม่ต้องไปแสดงอย่างนั้น ผมเป็นสมาชิกของผมนั้นเขาเรียกว่าสมาชิกจุลจอมเกล้า ถึงวันที่ 5 ไม่เฝ้าฯ ตอนเย็นก็ต้องไปตอนเช้า ต้องมีพานมีดอกไม้ ต้องเข้าไปที่ปราสาทพระเทพบิดร ต้องไปสักการะ ผมได้รับพระราชทานปี 2527 ลองนับดูสิครับ 24 ปีมาแล้วครับ ต้องไปทุกปีครับ ต้องเข้าไปถวายทุกปี ความผูกพันอย่างนี้ละครับไม่ต้องอธิบายอะไรอื่น แล้วอย่าได้สงสัยครับ อุตส่าห์มาตั้งข้ออภิปรายผมเรื่องความไม่จงรักภักดีของนายสมัคร เรื่องท่าทีปกป้อง ผมต้องมีเหตุผลในการทำอย่างนี้
ที่ผมเขียนไว้ต่าง ๆ อย่างกรณีที่บอกว่าผมไปสลายการชุมนุม พูดอะไรครับสลายการชุมนุม ผมพูดชัดเจนแต่คนเอาไปแปลความ ผมออกโทรทัศน์เมื่อวันเสาร์ตอนเก้าโมงเช้าเป็นพิเศษ ไม่รอวันอาทิตย์ เพราะเขาบอกว่าเขาจะจัดการให้เบ็ดเสร็จกันวันนี้ แปลว่าวันนั้นเขาบอกเขาจะยึดทำเนียบ เมื่อข่าวมาถึง เขาบอกเขาจะจัดการ ผมก็พูดว่าเพราะเขาจะจัดการให้เสร็จกันวันนี้ ผมจึงต้องออกโทรทัศน์ มีเหตุผลชัดเจน แต่ว่าพอออกมาเป็นข่าว ขนาดออกโทรทัศน์คนฟังทั้งเมือง พออยู่หน้าหนังสือพิมพ์บอกว่านายสมัครจะจัดการให้เบ็ดเสร็จ เขาจะจัดการให้เบ็ดเสร็จคือเขาจะยึดทำเนียบกันวันนั้น ผมก็ต้องจัดการ เพราะเขารอเสาร์ อาทิตย์ ข่าวมาวันศุกร์ วันเสาร์จะยึดทำเนียบ ผมถึงต้องเก้าโมงเช้าวันเสาร์ออกโทรทัศน์ วันอาทิตย์ก็ออก และมาบอกว่าไปบอกยังไงครับ ผมพูดอย่างนั้นเสร็จกลายเป็นว่าผมจุดชนวน มีคนเจ็บร้อนแทนคนที่อยู่ตรงนั้น คนขวางถนนอยู่หน้าองค์การสหประชาชาติ รถราติดขัดไม่มีใครตำหนิติเตียนเลย รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ก็ไม่ตำหนิติเตียนก็ยกย่องสรรเสริญกันอยู่ พูดคำก็ยกย่องคำ ก็ทำไปสิครับ แต่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมต้องดูแลบ้านเมืองนี้ ผมต้องเจอทูตขรตรีเศียร เขาบอกเขาต้องจอดรถ เขาต้องเดินเข้าไปองค์การสหประชาชาติ แล้วถามสิว่าประเทศนี้เป็นยังไงครับ
ผมถึงต้องออกโทรทัศน์ว่าคุณทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณขวางทาง ผมจะบอกให้ตำรวจเขาดำเนินการ เท่านั้นละครับ ตรวจสอบกันเสร็จ พอรู้แน่ใจว่าไม่มีใครไปอยู่ข้างตัวยังไงเข้า ออกข่าวเลยครับ ปลุกระดมทันที ตำรวจขีดเส้นทางห้าโมงเย็น ผมพูดแล้วก็พูดอีก พูดกันเองปลุกระดมกันเอง เรื่องอย่างนี้แต่ละถ้อยแต่ละคำลองดูสิครับ เรื่อง statement เอามาพูดจากัน เพราะไม่รู้ เรื่องที่ผมพูดจากันว่าเขาจะเอาให้เบ็ดเสร็จกันเย็นวันนี้ ไม่ใช่ผมครับ ผมต้องพูด และมากล่าวหาผม แล้วเรื่องจักรภพ ผมก็เห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร ถ้าเป็นใครก็ต้องทำอย่างนี้ครับ ให้ตำรวจจัดการ เพราะเหตุว่าเก็บเอาไว้ 8 เดือน พอไม่ถูกใจเข้าไปยื่นดำเนินการ ก็ตำรวจดำเนินการ เขายื่นตำรวจ ๆ ดำเนินการ คนเป็นนายกฯ แสดงความไม่จงรักภักดี เรื่องพรรค์อย่างนี้ไม่ต้องพูดมากไม่ต้องคุยมาก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจผมก็ยินดีอธิบายให้ฟัง ผมเกรงใจคุณบรรหาร (นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย) รู้ไหมครับว่าผมทำอย่างนั้นแล้ว พูดแล้วอย่างนั้น ผมก็ต้องไปขอโทษคุณบรรหารท่านที่บ้าน บอกต้องอภัยให้ผมด้วยนะครับ มันจำเป็นจริง ๆ ในทางการเมือง เพราะว่าผมต้องถูกตีความอย่างนั้นแน่ ผมต้องพูดเพื่อแสดงว่ามิฉะนั้น ผมจะเป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องเป็นอย่างนี้ ผมแปลความเลยครับ ถ้าต้องเป็นอย่างนี้ตามข้อ 1 แปลว่าผมไม่มีความจงรักภักดี ถ้าต้องทำอย่างนั้น ผมต้องใช้ทางการเมือง แน่นอนครับคุณบรรหารอาวุโสกว่าผม ไม่มีใครรู้หรอกครับ แต่ว่า 2-3 วันผมไปขออภัยท่านที่บ้าน บอกคุณบรรหารต้องให้อภัยผม เพราะการเมืองต้องลูกพร้อม ท่านยังกอดผม การเมืองเขาก็อย่างนี้ครับ ท่านไม่เคยตำหนิติเตียน และท่านก็ร่วมรัฐบาลกับผม ของพรรค์อย่างนี้โต ๆ กันแล้วต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
สักแต่ว่ามาพูดจาว่ากล่าวทำให้เสียหาย อภิปรายอย่างนี้ ที่ผมเขียนไว้ 9 ข้อ เห็นไหมครับ 1 ใน 9 ข้อ ข้อ 5 เรื่องบอกแสดงท่าทีไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นายสมัครไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างนั้นไว้วางใจไม่ได้ แล้วไปหยิบอะไรต่ออะไรมา ข้อสุดท้ายที่ไปบอกว่าหมอดู เขาไม่ใช่หมอดูครับ เขาเป็นคนทำคลอด เขาเป็นหมอ ไม่ใช่หมอดูนะครับ เขาไม่ได้ทำนาย เขาบอกไว้เลยว่าลูกคุณหญิงออกมาเอาเท้าออกให้เลี้ยงไว้ให้ดี มีไม่มากคนละครับไปนับดูสิครับ ปกติเขาเอาหัวออกทั้งนั้นละครับ ถ้าไม่รู้ไปถามพระสิครับว่าใครเอาเท้าออก ไม่รู้แล้วมาแสดงอย่างนี้ อุตส่าห์เอามาอ่าน เอาเถอะผมยกให้ว่าโฆษณาหนังสือผิด หนังสือ การเมืองเรื่องตัณหา ถ้ายังขายไม่หมด คนจะได้ไปซื้อมาอ่าน เรื่องพรรค์นี้ขอบอกให้รู้ว่าอภิปรายกันยังไง ๆ ผมที่พูดว่าแค่น ผมหมายความอย่างนั้นจริง ๆ อย่างข้ออย่างนี้ ลองคิดดูสิครับถ้าคนมีสติปัญญาความคิด มาเขียนว่ากล่าวหัวหน้ารัฐบาลบอกไม่จงรักภักดี ยกย่องคนที่อยู่ริมถนนและมาเหยียบย่ำคนเป็นนายกรัฐมนตรี แสดงประกายตามองเห็น ผมไม่ต้องใช้ประกายตาหรอกครับ แต่พฤติกรรมพฤติการณ์ของผม ผมเป็นอะไรยังไง คนที่เขารู้จักเขาก็รู้
เพราะฉะนั้น ต้องขอแสดงความเสียใจจริง ๆ ที่ว่าข้อนี้คงไม่ได้รับผลสำเร็จในการอภิปรายครับ ต้องขออภัยจริง ๆ แต่ที่ผมต้องตอบโต้นั้น จำเป็นจริง ๆ เพราะพูดจาคาบลูกคาบดอก พูดจาทำให้ผมเสียหายหลายขั้นหลายตอน และข้อสำคัญที่สุดคือว่าเรื่องอยากเป็นไม่อยากเป็น มาอ่านว่าการเมืองเรื่องตัณหา เลยแปลว่าผมอยากเป็นนายกฯ ผมจะบอกให้ฟังนะครับเรื่องนี้มันแปลกครับ อะไรที่มันอยากไม่ได้เป็นหรอกครับ คนที่ไม่ได้อยากสิครับที่ต้องมาเป็น แต่ว่าเมื่อมาเป็นแล้ว ผมเป็นคนที่ทำหน้าที่ทำได้ครับ เพราะบังเอิญพื้นฐานนั้นได้ฝึกฝนมา มาเล่นการเมืองท้องถิ่นมาก่อน แล้วค่อยมาเป็น ส.ส. ผมเป็น ส.ส.ครั้งแรกได้เป็นรัฐมนตรี ผมเป็นรัฐมนตรีมา 5 หน เป็นรองนายกรัฐมนตรี 3 หน เลือกตั้ง กทม.ผมก็ได้รับเลือก ยังไม่มีใครได้รับคะแนนเลือกตั้งมากเท่าผมเลยครับ คะแนน 1 ล้าน 1 หมื่น ไม่มีนะครับ นั่นแปลว่าผมก็ได้รับความสำเร็จเลือกเข้ามา ผมบริหารที่โน่นมา ทุกวันนี้คนในกทม.ก็ยังรักผม ผมอยู่ที่ไหนกระทรวงไหน ก็มีคนคิดถึงเสมอ เพียงแต่สภานาน ๆ มาอยู่ทีเท่านั้น มาเที่ยวนี้ก็เกิดมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่อยากจะบอกคนทำหน้าที่ว่า ควรจะมีความระมัดระวัง ควรบ้างครับ เขียนญัตติกันแบบนี้แล้วต้องแค่น แค่นเขียนแล้วต้องแค่นมาอภิปราย ก็ดูสิครับที่อภิปรายมาตรงนี้ ไหวไหมละครับ ถ้าคนไม่เข้าท่าอาจจะลงตัวได้ว่ากล่าวกันได้ ชี้หน้ากันได้ แต่มาเจอคนอย่างผมเข้า ผมไม่ต้องอวดละครับ ขอย้ำว่าผมไม่ต้องอวด เพราะฉะนั้น คนที่มาพูดจาอภิปรายทำนองเหยียบย่ำผมนั้น ท่านเสียหายเองครับ ไม่ใช่ผมนะครับ ขอบคุณครับ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--