รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่าง ๆ มีระดับลดลงแล้ว และอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. เวลา 09.00 น. ณ กองบัญชาการกองทัพไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง อาทิ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลโท สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เสนาธิการทหาร เข้าร่วมประชุม เพื่อพิจารณาการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครว่าสมควรจะมีการยกเลิกหรือไม่
ภายหลังการประชุม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวดังนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันนั้นได้ประเมินแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มีระดับความรุนแรงลดลงจนถึงระดับที่เห็นว่าไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนหรือมีความรุนแรงต่อพี่น้องประชาชน และเห็นว่าถ้าหากยังคงใช้ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร อยู่ อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ดังนั้น ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เห็นว่าสมควรที่จะให้ยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งวันนี้ผมจะได้ลงนามในประกาศยกเลิกดังกล่าว
สำหรับการติดตามและควบคุมสถานการณ์ที่อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงได้นั้น ซึ่งเราหวังว่าจากนี้ไปคงจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอีก แต่เพื่อให้เห็นว่าเรามีความสามารถที่จะดูแลและดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย ก็สมควรจะมีผู้ที่มาดูแลหรือช่วยประมวลสถานการณ์หรือช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นการต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ จึงคิดว่าจะต้องมีกองอำนวยการเพื่อติดตามสถานการณ์ร่วม มีผู้เข้ามาทำงานช่วยกันทุกฝ่าย เพื่อให้เป็นหน่วยงานเฉพาะในการติดตามรายงานการควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีหัวหน้าหน่วยส่วนราชการด้านความมั่นคง เช่น ผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น เข้ามาช่วยดูแล และให้เป็นผู้ควบคุม/ ผู้อำนวยการ และเป็นการประสานงานทางฝ่ายตำรวจ ฝ่ายเจ้าหน้าที่พลเรือน จะให้ช่วยกันประเมินสถานการณ์ ในการปฏิบัติการนอกจากนี้ ทางเจ้าพนักงานตำรวจ นำโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้ดูแลสถานการณ์ตามปกติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่านอยู่แล้วโดยปกติ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพระราชกำหนดนี้ก็ตาม และทางฝ่ายข้าราชการฝ่ายอื่นถ้าหากว่าจะเข้ามาดำเนินการต่าง ๆ ก็คงจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจเป็นหลัก แต่ทั้งนี้ คณะกรรมการดังกล่าวจะช่วยดูแลและประเมินสถานการณ์ เพื่อช่วยให้เกิดความเรียบร้อย
ท่านพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ สถานการณ์ในวันนี้ ผมเห็นว่าไม่ได้มีความรุนแรงหรือไม่ได้มีปัญหากระทบกระทั่งระหว่างพี่น้องประชาชนหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การที่ออกมาทั้งหลายที่เกิดเหตุกันนั้น เป็นการขัดแย้งกันทางความคิด การขัดแย้งทางความคิดนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องเป็นไปได้ในบ้านเมืองของเรา เป็นไปได้ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ซึ่งจากความขัดแย้งอันนั้นที่เห็นว่ามีพระราชกำหนดนี้ออกมา และความขัดแย้งลดระดับลงไป ไม่มีปัญหากระทบกระเทือนต่อความเรียบร้อยหรือความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องที่ดี เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ว่าบ้านเมืองของเรา เราอยู่กันด้วยเหตุผล และใช้เหตุผล อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ ความแตกต่างทางความคิดนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ว่าอยากขอร้อง ขอวิงวอน ให้ทุกฝ่ายทุกท่านได้กรุณาดำเนินกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย อยู่ในกรอบของกติกาแห่งประชาธิปไตย ซึ่งเรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของเรา และสถานการณ์อย่างนี้ถ้าหากว่าเราได้เคารพในกติกานี้ จะมีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือไม่มี หรืออย่างไรนั้น ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ก็คิดว่ากฎหมายก็เป็นเรื่องที่ดำเนินการไปแล้ว ไปตามสถานการณ์ตามปกติ และสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่มี เราได้ยกเลิกไปแล้ว
ผมคิดว่าพี่น้องประชาชน เราเป็นคนไทยด้วยกันคงจะต้องหันหน้าเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เพื่อจะได้ให้บรรยากาศในบ้านเมืองของเรานั้นดีขึ้น ประเทศชาติของเราจะได้มีแต่ความสงบร่มเย็น น่าอยู่ต่อไป การขัดแย้งทางความคิดนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างจะต้องจบลงไปด้วยความมีเหตุผล เหตุผลซึ่งเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะนำมาใช้ ไม่ใช่การจบลงด้วยความชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือความพ่ายแพ้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องการขัดแย้งทางความคิดนั้น ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เป็นเรื่องของแต่ละสถานการณ์ที่เราจะต้องใช้เหตุผลเข้ามาวิเคราะห์ วิจัย ซึ่งกันและกัน ผมมั่นใจว่าทุกคนรักชาติ รักพี่น้องประชาชน การดำเนินการต่าง ๆ ที่ผ่านมา ก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลที่ว่าทำอย่างไรถึงจะให้ชาติบ้านเมืองของเรา และประชาชนของเรา ได้อยู่อย่างดี มีความสุข ให้มีความเรียบร้อย ผมคิดว่าผมก็เคารพในความคิดของทุกฝ่ายและทุกท่าน แต่ถ้าใช้เหตุผลมาพูดกัน หันหน้าเข้าหากัน ผมคิดว่าสุดท้ายผู้ที่จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะก็คือประเทศชาติและประชาชนทุก ๆ คน
ท่านที่เคารพทุกท่านครับ ผมคิดว่าเราต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น บ้านเมืองของเรามีความบอบช้ำเป็นอันมาก เสียหายไปมาก ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ ในทางสังคม หรือความแตกแยกของผู้คนในบ้านเมือง ของคนในชาติ แม้กระทั่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของชาติ เพราะฉะนั้น คิดว่าเราคงจะต้องหันหน้าเข้ามาเพื่อเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นให้จบลงไป โดยการหันหน้าเข้าหากัน ค้นหาจุดแตกต่างกันให้ได้ ค้นหาให้เจอครับว่าเราแตกต่างกันตรงไหน เหตุผลอะไรที่จะนำมาประสานรอยร้าวตรงนั้นได้ ผมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นรัฐบาล แม้จะรักษาการอยู่ชั่วคราวขณะนี้ก็ตาม ก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยดูแลตรงนั้น มิได้หมายความว่าผมขึ้นมาเป็นรัฐบา ล หรือเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวแล้ว จะละเลยเพิกเฉยปัญหาเหล่านี้ ผมคิดว่าเวลาแม้แต่นาทีเดียวก็มีคุณค่าสำหรับทำให้พี่น้องประชาชนหันหน้าเข้าหากันได้ เป็นโอกาสที่จะให้ประเทศชาติเราได้มีความปรองดองเกิดขึ้น
ผมคิดว่าเราต้องร่วมกันแก้ไขอย่างมีสติ อย่างเป็นผู้มีวัฒนธรรมที่ดี คนไทยเราเป็นคนที่ภาคภูมิใจในวัฒนธรรมที่เรามีมาเนิ่นนาน บรรพบุรุษเราได้สร้างเอาไว้ให้ อันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องคำนึงถึง ผมคิดว่าในอดีตนั้น บรรพบุรุษของเราได้เสียสละเลือดเนื้อรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้เรา โดยหวังว่าลูกหลานที่เกิดมาภายหลังนั้นจะช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมือง รักษาวัฒนธรรมที่ดีที่สร้างเอาไว้ให้ เป็นความหวังเช่นนั้น ผมคิดว่าวันนี้เราไม่ควรจะมาแตกแยกกันอีก การรบราฆ่าฟันกันไป ไม่มีประโยชน์กับผู้ใดทั้งสิ้น อย่างที่ผมได้เรียนแล้วว่าเหตุผลเท่านั้นที่จะเอามาใช้ และทุกฝ่ายต้องได้รับชัยชนะ ไม่มีฝ่ายใดแพ้ ไม่ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นในหมู่บรรดาพวกเรา เรามีปัญหาต่างๆ ที่ต้องต่อสู้อยู่มากมาย เรามีปัญหาทางเศรษฐกิจ เรามีเรื่องความยากจนของพี่น้องประชาชนที่อยู่ห่างไกล เรามีเรื่องที่ต้องแก้ไขภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา ไม่ว่าภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม อุทกภัย วาตภัย ก็ตาม พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัดแต่ละปีได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมากมาย ผมคิดว่าเราไม่มีเวลาที่จะมานั่งทะเลาะกัน และปล่อยให้พวกเขาได้รับความเดือดร้อนอะไรมากมาย จนขนาดนั้น เราที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็ดี ท่านทั้งหลายที่กำลังขัดแย้งกันทางความคิดนั้นก็ดี ล้วนแต่เป็นปัญญาชน และเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ก็น่าจะใช้สิ่งนี้ไปช่วยดูแลพี่น้องประชาชนของเราให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้นกว่านี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ น่าจะดีที่สุด ขอร้องให้เคารพกฎหมาย เคารพเหตุผล เคารพกติกา เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
พ่อแม่พี่น้องที่เคารพทุกท่าน ถามว่าคิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้เพื่ออะไร สุดท้ายก็ต้องลงที่ว่าเพื่อชาติของเราครับ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักยิ่งสูงสุดของพวกเราครับ อันนี้เป็นสิ่งสูงสุดที่ผมและทุก ๆ ท่านพี่น้องคนไทยควรจะได้คำนึงถึง ผมคิดว่าต่อแต่นี้ไป อยากจะขอให้เรามุ่งเดินทางไปสู่ความสงบสุขเรียบร้อย มุ่งไปสู่ความปรองดอง สมานฉันท์กันในประเทศ ให้ทั่วโลกได้ทราบว่ารอยยิ้มของคนไทยจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง สมกับที่เขาให้สมญานามว่า “สยามเมืองยิ้ม” เราไม่ควรลืมในสิ่งนี้ คำว่า “สยามเมืองยิ้ม” คำเดียวนั้น สร้างคุณค่ามหาศาลให้กับประเทศของเรา มีนักท่องเที่ยวเอาคำขวัญคำนี้เพียงคำเดียวไปพูดต่อกันทั่วโลกว่า ควรจะมาประเทศไทย เพราะเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นเมืองที่คนยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับอาคันตุกะของเขาได้อย่างอบอุ่น ผมคิดว่าเราต้องเรียกร้องสิ่งนี้กลับคืนมา ตอนนี้เรามีความเสียหายจากการท่องเที่ยวเป็นอันมาก จากที่ผู้คนทั่วโลกเขาไม่ไว้วางใจ ว่าเรามีความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้น ผมคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้กราบเรียนท่านมาแล้วนี้ จะช่วยให้เราได้กลับคืนมาสู่สถานการณ์ที่ผมเรียนว่า รอยยิ้มของเราก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เราจะได้ประกาศให้เขาทราบว่า ให้เขากลับมาบ้านเรา มาเที่ยวที่บ้านเรา เอาเงินเอาทองมาใช้ที่บ้านเรา มาพัฒนาเศรษฐกิจบ้านเราให้พี่น้องของเราได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้เขารู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่เคยคิดทำร้ายชาวต่างชาติ ที่เขาเห็นว่าบ้านเราเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยว จะทำให้สภาพเศรษฐกิจ การเมือง การสังคม และทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างจะเข้าสู่บรรยากาศที่ดีขึ้น
พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ ต่อจากนี้ไป หากว่าเราได้ลดความรุนแรงลงไป เข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว บรรยากาศต่อจากนี้ไป ท่านคงจะเห็นว่าเราจะเข้าสู่งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อันเป็นที่รักของเรา ซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่ จะทำการทุกอย่างถวายเพื่อให้สมพระเกียรติ เพราะฉะนั้น เรามุ่งไปในทางนี้เถอะครับ มุ่งไปในทางที่ได้ดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ว่าคนไทยเรานั้นล้วนแต่มีหัวใจเดียวกัน จงรักภักดีในพระราชวงศ์ของเรา ถัดจากนั้นไปคงจะเห็นแล้วว่ามีงานเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบรรยากาศที่ดี เป็นบรรยากาศที่เข้าสู่ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเราทั้งชาติ อันนี้ผมคิดว่าขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันคำนึงถึง
ต่อไปนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ช่วยกันเข้ามาดูแลทุกข์สุขของเรา ทั้งผู้ที่มีการชุมนุมท่านก็จะต้องช่วยดูแล ผู้ชุมนุมเองขอให้ใช้เหตุผลไตร่ตรองให้ดีที่สุดในการดำเนินการใดๆ ก็ตาม รัฐบาลผมเอง มีความห่วงใยท่าน ไม่ใช่ไม่ห่วงใยท่าน เราคิดว่าเราต้องห่วงใยทุกท่าน และต้องแผ่ความเมตตาปรานีให้แก่กันทุกท่าน แต่เรียกร้องว่าขอให้มีเหตุผล ท่านที่มาบางครั้งผมได้ยินข่าวว่า ท่านเจ็บป่วยไม่สบาย เรามีความห่วงครับ เรามีความกังวล ขอให้ทุกท่านที่อยู่นั้น ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะอยู่ เพราะเป็นที่ราชการ ถ้าออกมาอยู่ข้างก็ไม่เป็นปัญหานะครับ และอยากให้ช่วยกันดูแลการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย เพราะว่าเราก็เป็นห่วงทุก ๆ ท่าน ขอให้ดูแลซึ่งกันและกัน
วันนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ทุกฝ่าย ท่านผู้บัญชาการทหารบก ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบในความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ต้องขอบคุณอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ท่านและหน่วยงานของท่านได้ดำเนินการในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเรียบร้อยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ช่วยกันดับความร้อนแรงลงไปได้ จนกระทั่งถึงนาทีนี้ ถึงวันนี้ ขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ได้ร่วมทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจริง ๆ และผู้ที่มาร่วมชุมนุม ผมขอแสดงความเห็นใจที่ว่าท่านมีทัศนคติอย่างนั้น แต่ก็อยากจะเรียกร้องว่าต้องช่วยกันแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมืองด้วยความจริงใจ ด้วยหัวใจอันแท้จริง สิ่งใดที่เป็นเหตุผลก็คงต้องนำมาใช้ อย่างเอาชนะคะคานกันด้วยการที่ไม่ได้ใช้ เหตุผล ผมมั่นใจว่าทุกฝ่ายเราเป็นคนไทยด้วยกัน จะมุ่งมั่นกันในการที่จะให้ประเทศชาติของเราเดินทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เดินทางไปสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ความสนใจ ตลอดจนพี่น้องสื่อมวลชนที่ได้ให้ความสนใจในสถานการณ์วันนี้ ก็หวังว่านับแต่นี้ต่อไป ประเทศไทยเราคงจะมีความเรียบร้อยขึ้นเป็นความหวังอย่างยิ่ง ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามชมครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการแถลงในวันนี้เพื่อสร้างภาพและคะแนนนิยมต่อการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตัวเองใช่หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า การหารือเพื่อยกเลิกพระราชกำหนดดังกล่าวครั้งนี้ไม่ได้ต้องการสร้างคะแนนนิยมของใคร เป็นเรื่องของบ้านเมือง และไม่ใช่เป็นการสร้างฐานเสียงแต่อย่างใด ๆ แต่ต้องการสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งกับกลุ่มพันธมิตรหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีอยู่ ยังไม่ทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงยังบอกไม่ได้ ส่วนการตระเวนเดินสายพบแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในวันนี้ เป็นการคุยกันธรรมดา ไม่ได้ไปเสนอชื่อนายกฯ แต่อย่างใด เป็นการคุยแค่เอาหลักการก่อนว่าเรายังทำงานรัฐบาลร่วมกันอยู่ เรื่องการเสนอชื่อของนายกฯ ยังไม่มีการเสนอ แต่จะเสนออย่างเป็นทางการและสรุปในวันที่ 15 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น เป็นเรื่องของสภา โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาเป็นผู้นัดดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีใบสั่งเรื่องนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ที่ลอนดอนหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีฯกล่าวว่า ไม่มีใครสั่งได้ เพราะเป็นเรื่องของส.ส.ที่พรรคพลังประชาชนไม่มีใครสั่งได้ ซึ่งในวันที่ 16 กันยายน พรรคร่วมรัฐบาลเดิมจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ถึงจุดยืนในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีร่วมกัน
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. เวลา 09.00 น. ณ กองบัญชาการกองทัพไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง อาทิ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลโท สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เสนาธิการทหาร เข้าร่วมประชุม เพื่อพิจารณาการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครว่าสมควรจะมีการยกเลิกหรือไม่
ภายหลังการประชุม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวดังนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันนั้นได้ประเมินแล้ว เห็นว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มีระดับความรุนแรงลดลงจนถึงระดับที่เห็นว่าไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนหรือมีความรุนแรงต่อพี่น้องประชาชน และเห็นว่าถ้าหากยังคงใช้ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร อยู่ อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ดังนั้น ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เห็นว่าสมควรที่จะให้ยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งวันนี้ผมจะได้ลงนามในประกาศยกเลิกดังกล่าว
สำหรับการติดตามและควบคุมสถานการณ์ที่อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงได้นั้น ซึ่งเราหวังว่าจากนี้ไปคงจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอีก แต่เพื่อให้เห็นว่าเรามีความสามารถที่จะดูแลและดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย ก็สมควรจะมีผู้ที่มาดูแลหรือช่วยประมวลสถานการณ์หรือช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นการต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ จึงคิดว่าจะต้องมีกองอำนวยการเพื่อติดตามสถานการณ์ร่วม มีผู้เข้ามาทำงานช่วยกันทุกฝ่าย เพื่อให้เป็นหน่วยงานเฉพาะในการติดตามรายงานการควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีหัวหน้าหน่วยส่วนราชการด้านความมั่นคง เช่น ผู้บัญชาการทหารบก เป็นต้น เข้ามาช่วยดูแล และให้เป็นผู้ควบคุม/ ผู้อำนวยการ และเป็นการประสานงานทางฝ่ายตำรวจ ฝ่ายเจ้าหน้าที่พลเรือน จะให้ช่วยกันประเมินสถานการณ์ ในการปฏิบัติการนอกจากนี้ ทางเจ้าพนักงานตำรวจ นำโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้ดูแลสถานการณ์ตามปกติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่านอยู่แล้วโดยปกติ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพระราชกำหนดนี้ก็ตาม และทางฝ่ายข้าราชการฝ่ายอื่นถ้าหากว่าจะเข้ามาดำเนินการต่าง ๆ ก็คงจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจเป็นหลัก แต่ทั้งนี้ คณะกรรมการดังกล่าวจะช่วยดูแลและประเมินสถานการณ์ เพื่อช่วยให้เกิดความเรียบร้อย
ท่านพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ สถานการณ์ในวันนี้ ผมเห็นว่าไม่ได้มีความรุนแรงหรือไม่ได้มีปัญหากระทบกระทั่งระหว่างพี่น้องประชาชนหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การที่ออกมาทั้งหลายที่เกิดเหตุกันนั้น เป็นการขัดแย้งกันทางความคิด การขัดแย้งทางความคิดนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องเป็นไปได้ในบ้านเมืองของเรา เป็นไปได้ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ซึ่งจากความขัดแย้งอันนั้นที่เห็นว่ามีพระราชกำหนดนี้ออกมา และความขัดแย้งลดระดับลงไป ไม่มีปัญหากระทบกระเทือนต่อความเรียบร้อยหรือความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องที่ดี เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ว่าบ้านเมืองของเรา เราอยู่กันด้วยเหตุผล และใช้เหตุผล อย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ ความแตกต่างทางความคิดนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ว่าอยากขอร้อง ขอวิงวอน ให้ทุกฝ่ายทุกท่านได้กรุณาดำเนินกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย อยู่ในกรอบของกติกาแห่งประชาธิปไตย ซึ่งเรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของเรา และสถานการณ์อย่างนี้ถ้าหากว่าเราได้เคารพในกติกานี้ จะมีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือไม่มี หรืออย่างไรนั้น ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ก็คิดว่ากฎหมายก็เป็นเรื่องที่ดำเนินการไปแล้ว ไปตามสถานการณ์ตามปกติ และสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่มี เราได้ยกเลิกไปแล้ว
ผมคิดว่าพี่น้องประชาชน เราเป็นคนไทยด้วยกันคงจะต้องหันหน้าเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เพื่อจะได้ให้บรรยากาศในบ้านเมืองของเรานั้นดีขึ้น ประเทศชาติของเราจะได้มีแต่ความสงบร่มเย็น น่าอยู่ต่อไป การขัดแย้งทางความคิดนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างจะต้องจบลงไปด้วยความมีเหตุผล เหตุผลซึ่งเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่จะนำมาใช้ ไม่ใช่การจบลงด้วยความชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือความพ่ายแพ้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรื่องการขัดแย้งทางความคิดนั้น ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เป็นเรื่องของแต่ละสถานการณ์ที่เราจะต้องใช้เหตุผลเข้ามาวิเคราะห์ วิจัย ซึ่งกันและกัน ผมมั่นใจว่าทุกคนรักชาติ รักพี่น้องประชาชน การดำเนินการต่าง ๆ ที่ผ่านมา ก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลที่ว่าทำอย่างไรถึงจะให้ชาติบ้านเมืองของเรา และประชาชนของเรา ได้อยู่อย่างดี มีความสุข ให้มีความเรียบร้อย ผมคิดว่าผมก็เคารพในความคิดของทุกฝ่ายและทุกท่าน แต่ถ้าใช้เหตุผลมาพูดกัน หันหน้าเข้าหากัน ผมคิดว่าสุดท้ายผู้ที่จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะก็คือประเทศชาติและประชาชนทุก ๆ คน
ท่านที่เคารพทุกท่านครับ ผมคิดว่าเราต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น บ้านเมืองของเรามีความบอบช้ำเป็นอันมาก เสียหายไปมาก ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ ในทางสังคม หรือความแตกแยกของผู้คนในบ้านเมือง ของคนในชาติ แม้กระทั่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของชาติ เพราะฉะนั้น คิดว่าเราคงจะต้องหันหน้าเข้ามาเพื่อเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นให้จบลงไป โดยการหันหน้าเข้าหากัน ค้นหาจุดแตกต่างกันให้ได้ ค้นหาให้เจอครับว่าเราแตกต่างกันตรงไหน เหตุผลอะไรที่จะนำมาประสานรอยร้าวตรงนั้นได้ ผมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นรัฐบาล แม้จะรักษาการอยู่ชั่วคราวขณะนี้ก็ตาม ก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยดูแลตรงนั้น มิได้หมายความว่าผมขึ้นมาเป็นรัฐบา ล หรือเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวแล้ว จะละเลยเพิกเฉยปัญหาเหล่านี้ ผมคิดว่าเวลาแม้แต่นาทีเดียวก็มีคุณค่าสำหรับทำให้พี่น้องประชาชนหันหน้าเข้าหากันได้ เป็นโอกาสที่จะให้ประเทศชาติเราได้มีความปรองดองเกิดขึ้น
ผมคิดว่าเราต้องร่วมกันแก้ไขอย่างมีสติ อย่างเป็นผู้มีวัฒนธรรมที่ดี คนไทยเราเป็นคนที่ภาคภูมิใจในวัฒนธรรมที่เรามีมาเนิ่นนาน บรรพบุรุษเราได้สร้างเอาไว้ให้ อันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องคำนึงถึง ผมคิดว่าในอดีตนั้น บรรพบุรุษของเราได้เสียสละเลือดเนื้อรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้เรา โดยหวังว่าลูกหลานที่เกิดมาภายหลังนั้นจะช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมือง รักษาวัฒนธรรมที่ดีที่สร้างเอาไว้ให้ เป็นความหวังเช่นนั้น ผมคิดว่าวันนี้เราไม่ควรจะมาแตกแยกกันอีก การรบราฆ่าฟันกันไป ไม่มีประโยชน์กับผู้ใดทั้งสิ้น อย่างที่ผมได้เรียนแล้วว่าเหตุผลเท่านั้นที่จะเอามาใช้ และทุกฝ่ายต้องได้รับชัยชนะ ไม่มีฝ่ายใดแพ้ ไม่ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นในหมู่บรรดาพวกเรา เรามีปัญหาต่างๆ ที่ต้องต่อสู้อยู่มากมาย เรามีปัญหาทางเศรษฐกิจ เรามีเรื่องความยากจนของพี่น้องประชาชนที่อยู่ห่างไกล เรามีเรื่องที่ต้องแก้ไขภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา ไม่ว่าภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม อุทกภัย วาตภัย ก็ตาม พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัดแต่ละปีได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมากมาย ผมคิดว่าเราไม่มีเวลาที่จะมานั่งทะเลาะกัน และปล่อยให้พวกเขาได้รับความเดือดร้อนอะไรมากมาย จนขนาดนั้น เราที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็ดี ท่านทั้งหลายที่กำลังขัดแย้งกันทางความคิดนั้นก็ดี ล้วนแต่เป็นปัญญาชน และเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ก็น่าจะใช้สิ่งนี้ไปช่วยดูแลพี่น้องประชาชนของเราให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้นกว่านี้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ น่าจะดีที่สุด ขอร้องให้เคารพกฎหมาย เคารพเหตุผล เคารพกติกา เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
พ่อแม่พี่น้องที่เคารพทุกท่าน ถามว่าคิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้เพื่ออะไร สุดท้ายก็ต้องลงที่ว่าเพื่อชาติของเราครับ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักยิ่งสูงสุดของพวกเราครับ อันนี้เป็นสิ่งสูงสุดที่ผมและทุก ๆ ท่านพี่น้องคนไทยควรจะได้คำนึงถึง ผมคิดว่าต่อแต่นี้ไป อยากจะขอให้เรามุ่งเดินทางไปสู่ความสงบสุขเรียบร้อย มุ่งไปสู่ความปรองดอง สมานฉันท์กันในประเทศ ให้ทั่วโลกได้ทราบว่ารอยยิ้มของคนไทยจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง สมกับที่เขาให้สมญานามว่า “สยามเมืองยิ้ม” เราไม่ควรลืมในสิ่งนี้ คำว่า “สยามเมืองยิ้ม” คำเดียวนั้น สร้างคุณค่ามหาศาลให้กับประเทศของเรา มีนักท่องเที่ยวเอาคำขวัญคำนี้เพียงคำเดียวไปพูดต่อกันทั่วโลกว่า ควรจะมาประเทศไทย เพราะเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นเมืองที่คนยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับอาคันตุกะของเขาได้อย่างอบอุ่น ผมคิดว่าเราต้องเรียกร้องสิ่งนี้กลับคืนมา ตอนนี้เรามีความเสียหายจากการท่องเที่ยวเป็นอันมาก จากที่ผู้คนทั่วโลกเขาไม่ไว้วางใจ ว่าเรามีความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้น ผมคิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้กราบเรียนท่านมาแล้วนี้ จะช่วยให้เราได้กลับคืนมาสู่สถานการณ์ที่ผมเรียนว่า รอยยิ้มของเราก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เราจะได้ประกาศให้เขาทราบว่า ให้เขากลับมาบ้านเรา มาเที่ยวที่บ้านเรา เอาเงินเอาทองมาใช้ที่บ้านเรา มาพัฒนาเศรษฐกิจบ้านเราให้พี่น้องของเราได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้เขารู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่เคยคิดทำร้ายชาวต่างชาติ ที่เขาเห็นว่าบ้านเราเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยว จะทำให้สภาพเศรษฐกิจ การเมือง การสังคม และทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างจะเข้าสู่บรรยากาศที่ดีขึ้น
พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ ต่อจากนี้ไป หากว่าเราได้ลดความรุนแรงลงไป เข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว บรรยากาศต่อจากนี้ไป ท่านคงจะเห็นว่าเราจะเข้าสู่งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อันเป็นที่รักของเรา ซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่ จะทำการทุกอย่างถวายเพื่อให้สมพระเกียรติ เพราะฉะนั้น เรามุ่งไปในทางนี้เถอะครับ มุ่งไปในทางที่ได้ดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ว่าคนไทยเรานั้นล้วนแต่มีหัวใจเดียวกัน จงรักภักดีในพระราชวงศ์ของเรา ถัดจากนั้นไปคงจะเห็นแล้วว่ามีงานเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบรรยากาศที่ดี เป็นบรรยากาศที่เข้าสู่ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเราทั้งชาติ อันนี้ผมคิดว่าขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันคำนึงถึง
ต่อไปนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ช่วยกันเข้ามาดูแลทุกข์สุขของเรา ทั้งผู้ที่มีการชุมนุมท่านก็จะต้องช่วยดูแล ผู้ชุมนุมเองขอให้ใช้เหตุผลไตร่ตรองให้ดีที่สุดในการดำเนินการใดๆ ก็ตาม รัฐบาลผมเอง มีความห่วงใยท่าน ไม่ใช่ไม่ห่วงใยท่าน เราคิดว่าเราต้องห่วงใยทุกท่าน และต้องแผ่ความเมตตาปรานีให้แก่กันทุกท่าน แต่เรียกร้องว่าขอให้มีเหตุผล ท่านที่มาบางครั้งผมได้ยินข่าวว่า ท่านเจ็บป่วยไม่สบาย เรามีความห่วงครับ เรามีความกังวล ขอให้ทุกท่านที่อยู่นั้น ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะอยู่ เพราะเป็นที่ราชการ ถ้าออกมาอยู่ข้างก็ไม่เป็นปัญหานะครับ และอยากให้ช่วยกันดูแลการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย เพราะว่าเราก็เป็นห่วงทุก ๆ ท่าน ขอให้ดูแลซึ่งกันและกัน
วันนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ทุกฝ่าย ท่านผู้บัญชาการทหารบก ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบในความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ต้องขอบคุณอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ท่านและหน่วยงานของท่านได้ดำเนินการในการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเรียบร้อยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ช่วยกันดับความร้อนแรงลงไปได้ จนกระทั่งถึงนาทีนี้ ถึงวันนี้ ขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ได้ร่วมทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจริง ๆ และผู้ที่มาร่วมชุมนุม ผมขอแสดงความเห็นใจที่ว่าท่านมีทัศนคติอย่างนั้น แต่ก็อยากจะเรียกร้องว่าต้องช่วยกันแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมืองด้วยความจริงใจ ด้วยหัวใจอันแท้จริง สิ่งใดที่เป็นเหตุผลก็คงต้องนำมาใช้ อย่างเอาชนะคะคานกันด้วยการที่ไม่ได้ใช้ เหตุผล ผมมั่นใจว่าทุกฝ่ายเราเป็นคนไทยด้วยกัน จะมุ่งมั่นกันในการที่จะให้ประเทศชาติของเราเดินทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เดินทางไปสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ความสนใจ ตลอดจนพี่น้องสื่อมวลชนที่ได้ให้ความสนใจในสถานการณ์วันนี้ ก็หวังว่านับแต่นี้ต่อไป ประเทศไทยเราคงจะมีความเรียบร้อยขึ้นเป็นความหวังอย่างยิ่ง ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามชมครับ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการแถลงในวันนี้เพื่อสร้างภาพและคะแนนนิยมต่อการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตัวเองใช่หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า การหารือเพื่อยกเลิกพระราชกำหนดดังกล่าวครั้งนี้ไม่ได้ต้องการสร้างคะแนนนิยมของใคร เป็นเรื่องของบ้านเมือง และไม่ใช่เป็นการสร้างฐานเสียงแต่อย่างใด ๆ แต่ต้องการสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งกับกลุ่มพันธมิตรหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังทำหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีอยู่ ยังไม่ทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงยังบอกไม่ได้ ส่วนการตระเวนเดินสายพบแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในวันนี้ เป็นการคุยกันธรรมดา ไม่ได้ไปเสนอชื่อนายกฯ แต่อย่างใด เป็นการคุยแค่เอาหลักการก่อนว่าเรายังทำงานรัฐบาลร่วมกันอยู่ เรื่องการเสนอชื่อของนายกฯ ยังไม่มีการเสนอ แต่จะเสนออย่างเป็นทางการและสรุปในวันที่ 15 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น เป็นเรื่องของสภา โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาเป็นผู้นัดดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีใบสั่งเรื่องนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ที่ลอนดอนหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีฯกล่าวว่า ไม่มีใครสั่งได้ เพราะเป็นเรื่องของส.ส.ที่พรรคพลังประชาชนไม่มีใครสั่งได้ ซึ่งในวันที่ 16 กันยายน พรรคร่วมรัฐบาลเดิมจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ถึงจุดยืนในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีร่วมกัน
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--