นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นและยอดเยี่ยม ประจำปี 2551 แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
วันนี้ เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นและยอดเยี่ยม ประจำปี 2551 (The Prime Minister Industry Award 2008) แก่ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ที่สามารถพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ จำนวน 17 ราย จัดโดย กระทรวงอุตสาหกรรม
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มุ่งเน้นนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยได้ประกาศให้ปี 2551 เป็น "ปีแห่งการลงทุนไทย (Thailand Investment Year)" เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการยกระดับความสามารถทักษะแรงงานที่มีอยู่เดิม และที่กำลังเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตและบริการของไทยให้ดีขึ้น โดยขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 33 จาก 55 ประเทศ และคาดว่าภายในระยะเวลา 4 ปี จะทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อันดับที่ 20 รวมทั้งจะสนับสนุนให้มีการใช้ความรู้และนวัตกรรมนำการผลิต ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำองค์ความรู้ไปใช้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและคุณค่าให้กับสินค้าอุตสาหกรรม
การจัดงานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2551 จึงเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความตื่นตัวในการยกระดับภาคธุรกิจของตนเอง สู่การพัฒนาในระดับสากล รวมถึงตระหนักในหน้าที่ความ รับผิดชอบต่อสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการปกป้องให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี กระทรวง อุตสาหกรรมได้เล็งเห็นประโยชน์ของการจัดงานดังกล่าว จึงได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา
สำหรับปีนี้มีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกทั้งสิ้น 114 ราย โดยผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัลฯ จำนวน 17 ราย แบ่งเป็น 3 ประเภทรางวัลคือ 1) รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัท ระยอง โอเลฟินส์ จำกัด 2) รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จำนวน 13 ราย แยกเป็น 6 ประเภท คือ ประเภทการเพิ่มผลผลิต จำนวน 2 ราย ประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน 4 ราย ประเภทการบริหารความปลอดภัย จำนวน 3 ราย ประเภทการบริหารงานคุณภาพ จำนวน 1 ราย ประเภทการจัดการพลังงาน จำนวน 2 ราย ประเภทการบริหารอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 2 ราย และ 3) รางวัลประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 3 ราย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลแก่อุตสาหกรรมที่มีผลงานดีเด่น จำนวน 17 ราย จากนั้นได้ กล่าวถึงอุตสาหกรรมกรรมของประเทศไทยว่า ได้เติบโตและเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับอย่างมีขั้นตอน เช่น การปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเพื่อการนำเข้า เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นเองเพื่อการส่งออก รวมทั้งเป็นฐานการผลิตสินค้าหลายประเภทที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน เพราะคนไทยมีฝีมือดี และค่าแรงงานถูก จึงทำให้ อุตสาหกรรมของประเทศไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยมีความภาคภูมิใจยิ่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความทันสมัยและเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับทั้งจากคนไทยและ ชาวต่างชาติ อาทิ โทรทัศน์ รถยนต์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นความสามารถของผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมของ คนไทย ที่สมควรได้รับการยกย่องและได้รับรางวัลในครั้งนี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมทุกคน ถือเป็นกระดูกสันหลัง ของชาติ ภาคเอกชนทุกส่วนถือได้ว่ามีส่วนสำคัญยิ่ง ในการมีช่วยส่งเสริมสนับสนุนงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งภาคเอกชนได้พัฒนาศักยภาพในการให้บริการด้านการรักษาพยาบาล จนสามารถแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับความเชื่อถือในด้านนี้มาตลอด
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลในวันนี้ รวมทั้ง ผู้ประกอบการทุกคนที่ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัล แต่ขอให้ภาคภูมิใจว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกคนมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการสร้างชื่อเสียงและหน้าตาให้กับประเทศไทย แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือ ทำความแข็งแรงให้ประเทศไทย ที่ใครดูแคลนไม่ได้ และการที่ประเทศไทยได้เลื่อนอันดับในภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นนั้น ก็เพราะ ผู้ประกอบการ ภาคเอกชนทุกคน ได้ร่วมกันรักษาสถานการณ์ทางภาคอุตสาหกรรมของประเทศได้เป็นอย่างดี
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นและยอดเยี่ยม ประจำปี 2551 (The Prime Minister Industry Award 2008) แก่ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ที่สามารถพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศ จำนวน 17 ราย จัดโดย กระทรวงอุตสาหกรรม
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มุ่งเน้นนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยได้ประกาศให้ปี 2551 เป็น "ปีแห่งการลงทุนไทย (Thailand Investment Year)" เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการยกระดับความสามารถทักษะแรงงานที่มีอยู่เดิม และที่กำลังเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตและบริการของไทยให้ดีขึ้น โดยขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 33 จาก 55 ประเทศ และคาดว่าภายในระยะเวลา 4 ปี จะทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อันดับที่ 20 รวมทั้งจะสนับสนุนให้มีการใช้ความรู้และนวัตกรรมนำการผลิต ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำองค์ความรู้ไปใช้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและคุณค่าให้กับสินค้าอุตสาหกรรม
การจัดงานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2551 จึงเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมีความตื่นตัวในการยกระดับภาคธุรกิจของตนเอง สู่การพัฒนาในระดับสากล รวมถึงตระหนักในหน้าที่ความ รับผิดชอบต่อสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการปกป้องให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี กระทรวง อุตสาหกรรมได้เล็งเห็นประโยชน์ของการจัดงานดังกล่าว จึงได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา
สำหรับปีนี้มีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกทั้งสิ้น 114 ราย โดยผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัลฯ จำนวน 17 ราย แบ่งเป็น 3 ประเภทรางวัลคือ 1) รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัท ระยอง โอเลฟินส์ จำกัด 2) รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จำนวน 13 ราย แยกเป็น 6 ประเภท คือ ประเภทการเพิ่มผลผลิต จำนวน 2 ราย ประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน 4 ราย ประเภทการบริหารความปลอดภัย จำนวน 3 ราย ประเภทการบริหารงานคุณภาพ จำนวน 1 ราย ประเภทการจัดการพลังงาน จำนวน 2 ราย ประเภทการบริหารอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 2 ราย และ 3) รางวัลประกาศเกียรติคุณผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 3 ราย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลแก่อุตสาหกรรมที่มีผลงานดีเด่น จำนวน 17 ราย จากนั้นได้ กล่าวถึงอุตสาหกรรมกรรมของประเทศไทยว่า ได้เติบโตและเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับอย่างมีขั้นตอน เช่น การปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมเพื่อการนำเข้า เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นเองเพื่อการส่งออก รวมทั้งเป็นฐานการผลิตสินค้าหลายประเภทที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน เพราะคนไทยมีฝีมือดี และค่าแรงงานถูก จึงทำให้ อุตสาหกรรมของประเทศไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยมีความภาคภูมิใจยิ่ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความทันสมัยและเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับทั้งจากคนไทยและ ชาวต่างชาติ อาทิ โทรทัศน์ รถยนต์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นความสามารถของผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมของ คนไทย ที่สมควรได้รับการยกย่องและได้รับรางวัลในครั้งนี้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมทุกคน ถือเป็นกระดูกสันหลัง ของชาติ ภาคเอกชนทุกส่วนถือได้ว่ามีส่วนสำคัญยิ่ง ในการมีช่วยส่งเสริมสนับสนุนงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งภาคเอกชนได้พัฒนาศักยภาพในการให้บริการด้านการรักษาพยาบาล จนสามารถแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับความเชื่อถือในด้านนี้มาตลอด
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลในวันนี้ รวมทั้ง ผู้ประกอบการทุกคนที่ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัล แต่ขอให้ภาคภูมิใจว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกคนมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการสร้างชื่อเสียงและหน้าตาให้กับประเทศไทย แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือ ทำความแข็งแรงให้ประเทศไทย ที่ใครดูแคลนไม่ได้ และการที่ประเทศไทยได้เลื่อนอันดับในภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นนั้น ก็เพราะ ผู้ประกอบการ ภาคเอกชนทุกคน ได้ร่วมกันรักษาสถานการณ์ทางภาคอุตสาหกรรมของประเทศได้เป็นอย่างดี
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--