รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุการประกาศยกระดับการต่อสู้โดยใช้วิธีอารยะขัดขืนของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถนำไปสู่ทางออกของการแก้ปัญหาบ้านเมืองได้
วันนี้ (9 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ประกาศยกระดับความเข้มข้นในการชุมนุม โดยใช้วิธีอารยะขัดขืน ว่า การประกาศยกระดับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ผ่านมา ไม่ได้หมายถึงการประกาศยกระดับการต่อสู้ แต่เป็นการประกาศยกระดับของ 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ให้มีสถานะเหนือกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นการยกระดับแกนนำกลุ่มพันธมิตรให้มีสถานะเป็นอภิสิทธิ์ชนที่สามารถจะพูด คิด ทำ และตัดสินใจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งขอเรียนว่าวิธีการต่อสู้ดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรนั้น ไม่สามารถจะนำไปสู่ทางออกของการแก้ปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ได้เลย มีแต่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ทางตันมากขึ้น ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจในการเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยกเลิกการเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทย ดังนั้น จึงขอให้กลุ่มพันธมิตรได้ใช้สติไตร่ตรองดูว่าการประกาศมาตรการดังกล่าว จะยิ่งส่งผลเลวร้ายต่อสถานการณ์บ้านเมืองมากน้อยแค่ไหน
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะไม่ใช้กำลังเข้าดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นการเจรจาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ อย่าเคลื่อนการชุมนุมไปยังจุดหนึ่งจุดใด โดยเฉพาะที่ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากขึ้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้มีมือที่ 3 เข้ามาก่อเหตุให้สถานการณ์บานปลายออกไป อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจะได้มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมาให้กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อนำออกเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศ ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยับยั้งความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และอดีตผู้สมัครของพรรคหลายคนที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่และไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ขอให้ถอนตัว เพราะขณะนี้เงื่อนไขของกลุ่มพันธมิตรฯ คือการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
“หากนายอภิสิทธิ์ฯ ยังยืนยันว่าสมาชิกพรรคที่ไปร่วมชุมนุมมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะออกไปประกาศขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ขอถามนายอภิสิทธิ์ฯ ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วพ่ายแพ้ ต้องมาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส.ส.ของพรรคก็มีสิทธิ์จะออกมากลางถนน แล้วขับไล่รัฐบาลได้ทันทีใช่หรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ยอมพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งและปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายค้านตามกระบวนการรัฐสภาแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นขอเรียนว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เป็น ครม.เงาอย่างเดียว ยังเป็นพันธมิตรฯ เงาด้วย ซึ่งผลงาน ครม.เงาของพรรคประชาธิปัตย์ 4 เดือนยังไม่มี แต่ผลงานในฐานะพันธมิตรฯ เงาชัดเจนมาก เพราะมี ส.ส. ของพรรคเป็นแกนนำ และมีการตั้งคำถามว่ามวลชนจำนวนมากที่มา ๆ จากพื้นที่เลือกตั้งของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (9 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ประกาศยกระดับความเข้มข้นในการชุมนุม โดยใช้วิธีอารยะขัดขืน ว่า การประกาศยกระดับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ผ่านมา ไม่ได้หมายถึงการประกาศยกระดับการต่อสู้ แต่เป็นการประกาศยกระดับของ 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ให้มีสถานะเหนือกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นการยกระดับแกนนำกลุ่มพันธมิตรให้มีสถานะเป็นอภิสิทธิ์ชนที่สามารถจะพูด คิด ทำ และตัดสินใจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งขอเรียนว่าวิธีการต่อสู้ดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรนั้น ไม่สามารถจะนำไปสู่ทางออกของการแก้ปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ได้เลย มีแต่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ทางตันมากขึ้น ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจในการเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยกเลิกการเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทย ดังนั้น จึงขอให้กลุ่มพันธมิตรได้ใช้สติไตร่ตรองดูว่าการประกาศมาตรการดังกล่าว จะยิ่งส่งผลเลวร้ายต่อสถานการณ์บ้านเมืองมากน้อยแค่ไหน
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะไม่ใช้กำลังเข้าดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นการเจรจาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ อย่าเคลื่อนการชุมนุมไปยังจุดหนึ่งจุดใด โดยเฉพาะที่ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากขึ้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้มีมือที่ 3 เข้ามาก่อเหตุให้สถานการณ์บานปลายออกไป อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจะได้มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมาให้กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อนำออกเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศ ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยับยั้งความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และอดีตผู้สมัครของพรรคหลายคนที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่และไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ขอให้ถอนตัว เพราะขณะนี้เงื่อนไขของกลุ่มพันธมิตรฯ คือการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
“หากนายอภิสิทธิ์ฯ ยังยืนยันว่าสมาชิกพรรคที่ไปร่วมชุมนุมมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะออกไปประกาศขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ขอถามนายอภิสิทธิ์ฯ ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วพ่ายแพ้ ต้องมาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส.ส.ของพรรคก็มีสิทธิ์จะออกมากลางถนน แล้วขับไล่รัฐบาลได้ทันทีใช่หรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ยอมพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งและปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายค้านตามกระบวนการรัฐสภาแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นขอเรียนว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เป็น ครม.เงาอย่างเดียว ยังเป็นพันธมิตรฯ เงาด้วย ซึ่งผลงาน ครม.เงาของพรรคประชาธิปัตย์ 4 เดือนยังไม่มี แต่ผลงานในฐานะพันธมิตรฯ เงาชัดเจนมาก เพราะมี ส.ส. ของพรรคเป็นแกนนำ และมีการตั้งคำถามว่ามวลชนจำนวนมากที่มา ๆ จากพื้นที่เลือกตั้งของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--