นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อมกับกองทัพบก เพื่อกำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เชิงรุก ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ร่วมกัน
วันนี้ เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อมกับกองทัพบก เพื่อกำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เชิงรุก ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ร่วมกัน โดยมี นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บริหารระดับสูงของกองทัพบกและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมพิธี ประมาณ 1,000 คน
เมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาถึงบริเวณจัดงานได้เยี่ยมชมนิทรรศการต้นไม้และสายน้ำ จากนั้นนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานสรุปว่า เนื่องจากสถานการณ์พื้นที่ป่าของประเทศได้ลดลงมาโดยตลอด จาก 171 ล้านไร่ ในปี พ.ศ.2504 หรือร้อยละ 53 ของพื้นที่ประเทศ ปัจจุบันเหลือพื้นที่ป่า 104.7 ล้านไร่ หรือร้อยละ 33 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งการลดลงและเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าไม้ ทำให้เกิดปัญหาและผลกระทบที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่ การขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม การขาดแหล่งไม้ที่จะใช้ในประเทศ ชุมชนท้องถิ่นขาดแหล่งอาหาร ยา และรายได้ ตลอดจนเกิดภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น เป็นต้น
โดยรัฐบาลชุดนี้ ได้กำหนดให้การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และการเร่งรัดปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจังเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบาย ดูแลรักษาป่าที่เหลืออยู่ไม่ให้ลดลง และเร่งรัดนำพื้นที่ที่ถูกบุกรุกกลับคืนมาและฟื้นฟูให้คืนความสมบูรณ์ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และกองทัพบก จึงได้ประสานความร่วมมือในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ร่วมกันขึ้น โดยได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และกำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เชิงรุก โดยบูรณาการงานของทั้ง 2 ฝ่าย ใน 3 ระดับ คือ ระดับส่วนกลาง ระดับส่วนภูมิภาค และระดับพื้นที่ และกำหนดประเด็นความร่วมมือ 7 ด้าน ได้แก่ 1) การลาดตระเวน 2) การพัฒนาองค์ความรู้ 3) การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหารให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายของอุทยาน กฎหมายป่าไม้ กฎหมายสัตว์ป่า และอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพ 4) การสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น อุปกรณ์สื่อสารอากาศยาน 5) การประชาสัมพันธ์ 6) การสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ7)ความร่วมมืออื่น ๆ เช่น การบรรเทาปัญหาภัยพิบัติ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงโครงการดังกล่าวว่า เป็นโครงการที่ทุกคนได้ช่วยกันดำเนินการ พร้อมขอให้นำรูปแบบการจัดนิทรรศการในวันนี้ไปดำเนินการในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ให้สูญสลาย โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร โดยมีทหาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการนำอุปกรณ์ เครื่องมือปฏิบัติการ ยุทโธปกรณ์ ต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือ พร้อมกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ ทรงรักแผ่นดินไทย และแม้จะทรงเจริญพระชนมพรรษา เป็นผู้สูงอายุของบ้านเมืองแล้วแต่ก็ยังทรงที่จะคิดอยู่ตลอด รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในการที่จะช่วยดูแลบ้านเมือง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงช่วยพลิกฟื้นพื้นป่าและการอนุรักษ์ป่า เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ศึกษาและนำไปปฏิบัติ อาทิ โครงการห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งเป็นโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือที่เรียกกันทางภาคเหนือว่าการทำฝายแม้วกั้นน้ำเพื่อใช้เพาะปลูกที่ดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถ้าประชาชนต้องการจะไปศึกษาดูงานก็สามารถไปดูได้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ภาคกลางที่เขาหินซ้อน และภาคใต้ที่พิกุลทอง เป็นต้น ทั้งนี้การดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ของพระองค์ ได้แสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรอันยาวไกล ซึ่งต่อมาสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงทำโครงการป่ารักษ์น้ำ และเมื่อได้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณอีกครั้งหนึ่ง โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้มีรับสั่งว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ ทรงฝากมา 2-3 เรื่อง คือ 1. ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยดูแลป่าให้ดีและที่เหลืออยู่ก็ขออย่าให้ลดลง ขอให้ช่วยกันรักษาไว้ 2. ขอให้ดูเรื่องต้นน้ำลำธารอย่าให้ใครมาทำลาย เพราะบ้านเมืองเราขาดน้ำไม่ได้ และ3.ทรงฝากให้ช่วยดูเรื่องช้างด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการดูแลเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิด รวมถึงกองทัพบก กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันสนธิกำลังในการทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งทุกหน่วยงานพร้อมที่จะทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างนายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เสร็จแล้วรัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำนายกรัฐมนตรี และคณะ เยี่ยมชมการจัดแสดงชุดยุทโธปกรณ์/เครื่องมือปฏิบัติการ และยานพาหนะ ที่บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สอบถามด้วยความสนใจ พร้อมกล่าวชื่นชมว่าเป็นเครื่องมือที่มีความทันสมัยและเหมาะสำหรับในการใช้ปฏิบัติ
เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรี ขึ้นแท่นรับการเคารพ บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ผู้คุมแถวบอกแสดงความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ กำลังพลผสม และราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า กล่าวคำปฏิญาณ จากนั้น นายกรัฐมนตรี มอบพันธุ์ไม้ ต้นราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่แม่ทัพภาคที่ 1-4 และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้แทนเยาวชนเพื่อป้องกัน อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
โอกาสนี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวให้โอวาทสรุปว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ และถือเป็นภารกิจสำคัญที่ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการ บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชนและภาคประชาชน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมที่ได้เห็นความพร้อมเพรียง ความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับกองทัพบก ซึ่งความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวถือเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะต่างเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพ มีความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ ตลอดจนเครื่องมือต่าง ๆ ที่สามารถจะสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ซึ่งกันและกันให้ประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ และขอขอบคุณในคำมั่นสัญญาที่มาจากความจริงใจและไมตรีจิตของทุกคน ในนามของรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ เครื่องมือการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ทุกคนได้กล่าวปฏิญาณตนนั้น เป็นสิ่งยืนยันว่าแต่ละคนตั้งใจจะปฏิบัติงาน เพื่อให้การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เป็นไปด้วยความราบรื่น แต่สิ่งสำคัญขอให้ทุกคนพึงระลึกเสมอว่า การทำงานเพื่อส่วนรวมไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย ต้องอาศัยความทุ่มเท เสียสละ อุทิศทั้งกายและใจ แต่คงไม่ยากมากจนเกินความสามารถ หากช่วยกันทำด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เชื่อมั่นว่าทุกคนทำได้ และผลที่เกิดขึ้นก็จะสามารถสร้างคุณูปการให้แก่ประเทศของเราเป็นอย่างมาก
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อมกับกองทัพบก เพื่อกำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เชิงรุก ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ร่วมกัน โดยมี นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บริหารระดับสูงของกองทัพบกและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมพิธี ประมาณ 1,000 คน
เมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาถึงบริเวณจัดงานได้เยี่ยมชมนิทรรศการต้นไม้และสายน้ำ จากนั้นนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานสรุปว่า เนื่องจากสถานการณ์พื้นที่ป่าของประเทศได้ลดลงมาโดยตลอด จาก 171 ล้านไร่ ในปี พ.ศ.2504 หรือร้อยละ 53 ของพื้นที่ประเทศ ปัจจุบันเหลือพื้นที่ป่า 104.7 ล้านไร่ หรือร้อยละ 33 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งการลดลงและเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าไม้ ทำให้เกิดปัญหาและผลกระทบที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่ การขาดแคลนน้ำในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม การขาดแหล่งไม้ที่จะใช้ในประเทศ ชุมชนท้องถิ่นขาดแหล่งอาหาร ยา และรายได้ ตลอดจนเกิดภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น เป็นต้น
โดยรัฐบาลชุดนี้ ได้กำหนดให้การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และการเร่งรัดปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจังเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบาย ดูแลรักษาป่าที่เหลืออยู่ไม่ให้ลดลง และเร่งรัดนำพื้นที่ที่ถูกบุกรุกกลับคืนมาและฟื้นฟูให้คืนความสมบูรณ์ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และกองทัพบก จึงได้ประสานความร่วมมือในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ร่วมกันขึ้น โดยได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และกำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เชิงรุก โดยบูรณาการงานของทั้ง 2 ฝ่าย ใน 3 ระดับ คือ ระดับส่วนกลาง ระดับส่วนภูมิภาค และระดับพื้นที่ และกำหนดประเด็นความร่วมมือ 7 ด้าน ได้แก่ 1) การลาดตระเวน 2) การพัฒนาองค์ความรู้ 3) การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหารให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายของอุทยาน กฎหมายป่าไม้ กฎหมายสัตว์ป่า และอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพ 4) การสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น อุปกรณ์สื่อสารอากาศยาน 5) การประชาสัมพันธ์ 6) การสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ7)ความร่วมมืออื่น ๆ เช่น การบรรเทาปัญหาภัยพิบัติ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงโครงการดังกล่าวว่า เป็นโครงการที่ทุกคนได้ช่วยกันดำเนินการ พร้อมขอให้นำรูปแบบการจัดนิทรรศการในวันนี้ไปดำเนินการในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ให้สูญสลาย โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร โดยมีทหาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการนำอุปกรณ์ เครื่องมือปฏิบัติการ ยุทโธปกรณ์ ต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือ พร้อมกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ ทรงรักแผ่นดินไทย และแม้จะทรงเจริญพระชนมพรรษา เป็นผู้สูงอายุของบ้านเมืองแล้วแต่ก็ยังทรงที่จะคิดอยู่ตลอด รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในการที่จะช่วยดูแลบ้านเมือง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงช่วยพลิกฟื้นพื้นป่าและการอนุรักษ์ป่า เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ศึกษาและนำไปปฏิบัติ อาทิ โครงการห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งเป็นโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือที่เรียกกันทางภาคเหนือว่าการทำฝายแม้วกั้นน้ำเพื่อใช้เพาะปลูกที่ดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถ้าประชาชนต้องการจะไปศึกษาดูงานก็สามารถไปดูได้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ภาคกลางที่เขาหินซ้อน และภาคใต้ที่พิกุลทอง เป็นต้น ทั้งนี้การดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ของพระองค์ ได้แสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรอันยาวไกล ซึ่งต่อมาสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงทำโครงการป่ารักษ์น้ำ และเมื่อได้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณอีกครั้งหนึ่ง โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้มีรับสั่งว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ ทรงฝากมา 2-3 เรื่อง คือ 1. ขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยดูแลป่าให้ดีและที่เหลืออยู่ก็ขออย่าให้ลดลง ขอให้ช่วยกันรักษาไว้ 2. ขอให้ดูเรื่องต้นน้ำลำธารอย่าให้ใครมาทำลาย เพราะบ้านเมืองเราขาดน้ำไม่ได้ และ3.ทรงฝากให้ช่วยดูเรื่องช้างด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการดูแลเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิด รวมถึงกองทัพบก กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันสนธิกำลังในการทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งทุกหน่วยงานพร้อมที่จะทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างนายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เสร็จแล้วรัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำนายกรัฐมนตรี และคณะ เยี่ยมชมการจัดแสดงชุดยุทโธปกรณ์/เครื่องมือปฏิบัติการ และยานพาหนะ ที่บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สอบถามด้วยความสนใจ พร้อมกล่าวชื่นชมว่าเป็นเครื่องมือที่มีความทันสมัยและเหมาะสำหรับในการใช้ปฏิบัติ
เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรี ขึ้นแท่นรับการเคารพ บริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ผู้คุมแถวบอกแสดงความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ กำลังพลผสม และราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า กล่าวคำปฏิญาณ จากนั้น นายกรัฐมนตรี มอบพันธุ์ไม้ ต้นราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่แม่ทัพภาคที่ 1-4 และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้แทนเยาวชนเพื่อป้องกัน อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
โอกาสนี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวให้โอวาทสรุปว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ และถือเป็นภารกิจสำคัญที่ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการ บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชนและภาคประชาชน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมที่ได้เห็นความพร้อมเพรียง ความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับกองทัพบก ซึ่งความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวถือเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะต่างเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพ มีความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์ ตลอดจนเครื่องมือต่าง ๆ ที่สามารถจะสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ซึ่งกันและกันให้ประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ และขอขอบคุณในคำมั่นสัญญาที่มาจากความจริงใจและไมตรีจิตของทุกคน ในนามของรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ เครื่องมือการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนการบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ทุกคนได้กล่าวปฏิญาณตนนั้น เป็นสิ่งยืนยันว่าแต่ละคนตั้งใจจะปฏิบัติงาน เพื่อให้การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เป็นไปด้วยความราบรื่น แต่สิ่งสำคัญขอให้ทุกคนพึงระลึกเสมอว่า การทำงานเพื่อส่วนรวมไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย ต้องอาศัยความทุ่มเท เสียสละ อุทิศทั้งกายและใจ แต่คงไม่ยากมากจนเกินความสามารถ หากช่วยกันทำด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เชื่อมั่นว่าทุกคนทำได้ และผลที่เกิดขึ้นก็จะสามารถสร้างคุณูปการให้แก่ประเทศของเราเป็นอย่างมาก
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--