นายจักรภพ เพ็ญแข แถลงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะยื่นใบลาออกวันนี้ และให้มีผลในสัปดาห์หน้าเพื่อสะสางงานให้เรียบร้อย
วันนี้ (30 พ.ค.) เวลา 12.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนดังนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 พ.ค.) ผมได้แถลงข่าวกับท่านทั้งหลายไปแล้วครั้งหนึ่ง เพื่ออธิบายถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง ผมได้อธิบายไปว่ามีความบริสุทธิ์ใจและมีเจตนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร ในการบรรยายที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว และที่สำคัญคือว่าได้บอกผ่านพี่น้องสื่อมวลชนไปยังพี่น้องประชาชนด้วยว่า ผมมีแนวทางในการต่อสู้กับความฉ้อฉลในครั้งนี้อย่างไร ขอเรียนว่าในบัดนี้ผมก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่และจะไม่เปลี่ยนแปลงความคิดนี้เลย ผมไม่มีเจตนาใด ๆ ในการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งเราจะได้พิสูจน์ในกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายกันต่อไป
คำบรรยายเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 นั้น เป็นคำบรรยายทางวิชาการต่อที่ประชุมซึ่งเปิดกว้างต่อคนทั้งหลาย ไม่มีการหลบเร้น และเป็นคำบรรยายที่เกิดขึ้นมานานถึง 10 เดือนก่อนที่จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น จึงอยากเรียนในประเด็นแรกว่า ผมจะต่อสู้ในคดีนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่ได้หวังเพียงความยุติธรรมและความเป็นธรรมสำหรับตนเองเท่านั้น แต่หวังไปถึงว่าผมจะมีส่วนไม่มากก็น้อยในการวางบรรทัดฐานบางอย่าง เพื่อให้สังคมนี้ฉ้อฉลน้อยลง ทำลายกันด้วยวิชามารได้ยากขึ้น และหวังว่าจะทำให้เกิดแสงสว่างทางปัญญามากขึ้นด้วย
เพราะฉะนั้น ลำพังตัวผมคนเดียว ผมไม่ถอยแน่ เพราะผมไม่อาจปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรทำตัวเป็นพระเจ้าที่ชี้นำประเทศนี้ได้ แต่ในช่วง 3 วันที่ผ่านมานี้ ทุกอย่างกลับไปตกหนักอยู่ที่ท่านนายกรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นธรรม ในที่สุดก็เกิดกระแสข่าวที่ไม่เป็นมงคลขึ้นมากมาย ทั้งความมุ่งหมายที่จะโค่นล้มรัฐบาล ทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภา เสียงร่ำลือในเรื่องการยึดอำนาจรัฐประหาร และการไล่รุกเข้ามาเรื่อย ๆ ของผู้เล่นต่าง ๆ ตามแผนที่วางกันไว้แล้วของคนภายนอกในกระบวนการวิชามารทั้งหมดนี้ อยากจะเรียนว่า ผมเป็นเพียงเหยื่อรายเดียวในทั้งหมดเท่านั้น แต่ก็มีความร้อนแรงมาก เพราะเรื่องที่เขาจับนั้นไม่โยงกับสถาบันระดับสูง ผมจึงสรุปในใจว่า ผมมีความจำเป็นต้องรักษาขุนไว้ให้รอด เพื่อประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะในบั้นปลาย
จะสังเกตว่าในช่วง 3 วันนี้มีข่าวออกมาทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งข่าวว่าผมเสี้ยมผู้ใหญ่ในฟากรัฐบาลให้ชนกันเพื่อตัวจะได้อยู่รอด ข่าวว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเลยไม่ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ ข่าวเหล่านี้เป็นความสามานย์ที่กุข่าวจะต้องชดใช้บาปกรรมของตนเองในไม่ช้า แต่ก็เป็นตัวอย่างว่าคนในภาครัฐบาลเราเองบางครั้ง ก็เผลอสายตาสั้น ไปร่วมกับแห่กับฝ่ายตรงกันข้ามเขาด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีความสำคัญและเป็นบทเรียนสำหรับคราวนี้ก็คือ พุทธภาษิตที่ว่า “วินาศกาเลวิปริตพุทธิ” ถึงคราววินาศปัญญาย่อมวิปลาสไปนั้น ต้องไม่พยายามให้เกิดขึ้น
เมื่อเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามหลักเหตุผล แต่เป็นเกมอำนาจล้วน ๆ และท่านนายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้ได้รับผลดังกล่าวนั้น ผมจึงต้องตัดสินใจถอดตนเองออกจากเกมอำนาจนี้ เพื่อรักษาเรือลำใหญ่ไว้ให้รอด ผมจึงขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ และจะได้ยื่นใบลาออกในวันนี้ โดยให้มีผลในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อจะได้สะสางงานและเตรียมส่งไม้ให้กับผู้รับผิดชอบต่อจากผมด้วยความราบรื่น
การลาออกในครั้งนี้ น่าจะส่งผลให้คนหยุดพูดเรื่องการรัฐประหารกันเสียที และน่าจะมีผลยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มใด ๆ ที่อ้างเหตุผลทางการเมืองมาเคลื่อนไหว ถ้าหากเกมนี้ยังดำเนินต่อไป โดยมุ่งตีเมืองขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมก็หวังว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างชัดเจนในการพิทักษ์บ้านเมืองให้พ้นจากมือของผู้ที่ไม่ปรารถนาดีเหล่านี้
ผมขอขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่ท่านมีความเป็นสุภาพบุรุษตั้งแต่ต้นจนนาทีสุดท้าย ผมมีความศรัทธา มีความเคารพในวิถีทางทางการเมืองของท่านนายกรัฐมนตรี และจะยึดหลายอย่างในตัวท่านเป็นแบบอย่างในทางการเมืองต่อไป ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใหญ่ให้แนวทางที่เป็นสติปัญญาและความสว่างกับนักการเมืองรุ่นหลัง จะเรียกว่ารุ่นลูก รุ่นหลาน ก็ไม่ผิดจากความจริง ให้ได้รู้แนวทางที่จะเดินต่อไป ท่านนายกรัฐมนตรีมีความหมาย และมีความสำคัญในการรักษาบ้านเมืองในระยะนี้ เพราะฉะนั้น เหตุใดก็ตามที่จะนำไปสู่ผลกระทบต่อตัวท่านโดยตรง ผมจะยอมไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่เมื่อวันจันทร์นั้น ผมได้แถลงที่นี่ว่า ผมจะสู้ต่อไป แต่มาวันนี้ถึงได้กลับเป็นการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เหตุผลก็ง่ายและสั้นนิดเดียวครับ เราต้องรักษาท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไว้ให้รอดในระยะนี้ เพื่อประชาธิปไตยจะได้รอดในระยะยาว
และสุดท้ายผมต้องขอกล่าวคำนี้ครับ ผมขอโทษผู้สนับสนุนตัวผมเอง ซึ่งคงจะทำให้ท่านผิดหวังที่มีวันนี้เกิดขึ้น หวังว่าเมื่อท่านฟังเหตุผลตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้แล้ว ท่านก็คงพลอยเข้าใจไปด้วยว่าผมไม่ได้มีความคิดที่จะลาออก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจะพิสูจน์ตนเองในทางกฎหมายต่อไป และจะวางบรรทัดฐานไม่ให้คนมาใช้เรื่องแบบนี้เพื่อการทำร้ายกันได้ง่ายเหมือนกับที่เกิดกับตัวผมเองอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ขอให้ผู้สนับสนุนทุกท่านได้ทราบว่าไม่ใช่ความอ่อนแอ ทดท้อ ไม่ใช่การถอยเพื่อที่จะถอดใจทั้งสิ้น นี่เป็นเพียงขั้นตอนทางการเมือง ซึ่งเราต้องรักษาส่วนรวมไว้เท่านั้นเอง ขอโทษท่านผู้สนับสนุนถ้าหากทำให้ท่านผิดหวัง แต่ในระยะยาวแล้ว ท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ขอบคุณมากครับ
จากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองว่า ยังไม่ได้มองไปไกลถึงขั้นอนาคตทางการเมือง แต่มองเรื่องของการแก้ไขในระยะนี้ โดยนำเรื่องประชาธิปไตยของบ้านเมืองมาเป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องทำต่อไปหลังจากนี้ พร้อมกล่าวย้ำว่า มีความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และจะไม่ใช้วิธีการทางมวลชนใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ในคดีที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
สำหรับการสรุปคดีในขั้นต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำถูกต้องแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นไปตามวิธีพิจารณาความอาญา เพราะไม่ว่าคดีใด ๆ ก็ย่อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนแบบนี้ อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดำเนินของคดีนี้มาตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบัน และเชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ในอนาคต การที่ยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามกระบวนการของขั้นตอนนั้น ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองในครั้งนี้แต่อย่างใด พร้อมเสมอที่จะมีการพิสูจน์ทางกระบวนยุติธรรม และยินดีให้ข้อมูลทุกอย่างที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการ โดยขั้นต้นได้จัดเตรียมข้อมูลประวัติและผลงานที่ผ่านมาว่า ได้มีการถวายงานให้กับพระราชวงศ์เฉพาะในบางเรื่องที่สามารถเปิดเผยข้อมูลให้ได้
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ว่า ไม่ได้ลาออกเพราะมีความผิด แต่ ลาออกเพราะต้องการรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่รับผิดชอบในทางกฎหมาย ซึ่งความจริงในทางกฎหมายและความจริงในทางการเมืองนั้น บางครั้งไม่ต้องเหมือนกัน แต่วันนี้มีการพูดเฉพาะทางการเมือง ยังไม่มีการพูดในข้อกฎหมาย เพียงแต่ถูกกล่าวหาเท่านั้น และยังยืนยันว่า จะไปพูดทุกที่ที่จะทำให้สังคมเกิดความสว่างทางความคิด เพราะการไม่พูดไม่ใช่คำตอบ แต่การพูดแล้วได้รับการตัดสินอย่างเป็นธรรม ไม่ถูกบิดเบือนให้ร้าย เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นของวันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะงดการพูด
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประชาธิปไตยในประเทศไทยว่า มีความอ่อนแอมากในระยะนี้ แม้รัฐบาลได้อำนาจรัฐจากประชาชนมาเป็นผู้บริหารประเทศชั่วคราว แต่รัฐบาลต้องประสบกับปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากเงื่อนไขที่ปรากฏในยุคที่ผ่านมา และเลยมาถึงยุคนี้ ถ้าวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ย้อนหลัง ย่อมจะเห็นว่าเรื่องบางเรื่องไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดูว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งตรงนี้เป็นการชี้ถึงปัญหาเชิงระบบไม่ใช่ตัวบุคคล
สำหรับอนาคตทางการเมืองนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ และยืนยันว่า ยังต้องการเป็นนักการเมืองต่อไปจนถึงที่สุด ความเป็นนักวิชาการนั้น บางครั้งทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองได้ เพราะการแสดงออกทางวิชาการ เป็นการแสดงออกแบบตรงไปตรงมา ต้องมีความซื่อสัตย์ และมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับผู้อื่น และทางวิชาการนั้นเปิดให้มีการถกเถียงกันได้ มีการสัมมนา เสวนา ตลอดเวลา แต่ในทางการเมือง เป็นเรื่องของเกมอำนาจ บางครั้งรู้ว่าจริงแต่บิดเบือนว่าไม่จริง บางครั้งทราบว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ทำเป็นแกล้งไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในตัวเอง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเหตุผลที่ยังอยากเป็นนักการเมืองว่า เพราะเป็นบทบาทที่สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศได้โดยตรงมากที่สุดบทบาทหนึ่ง ถึงแม้จะมีขวากหนาม ก็ต้องยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าผลในบั้นปลายย่อมมีความคุ้มค่า
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า รัฐบาลสามารถหาคนที่เหมาะสมที่สุด เพื่อมาทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีทุก ๆ ตำแหน่งได้ เพราะเป็นตำแหน่งที่มีผลและมีความหมายต่อบุคคลต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าสังคมของไทยยังถูกลากจูงด้วยระบบอุปถัมภ์ โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อถอดตนเองออกจากเกมอำนาจนี้แล้ว เพื่อจะได้ให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างที่ควรเป็น ก็จะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ และจะใช้เวลาในช่วงนี้ ผลักดันงานที่ทำต่อไป พร้อมแสดงความห่วงใยงานที่เคยดูแลอยู่ โดยกล่าวฝากรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมาดูแลกรมประชาสัมพันธ์ว่า ให้ช่วยพัฒนา NBT ต่อไป ส่วน อสมท นั้นขอให้มีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้อื่น อย่าบริหารงานแบบดูกันเองในบ้านเหมือนเป็นโฮมวิดีโอ ขอให้เทียบผลงานกับประเทศอื่น และดูว่ามีศักยภาพมากน้อยเพียงใด แล้วให้พัฒนาตัวเองไปจากนั้น รวมทั้งงานในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย โดยเฉพาะงานตรวจราชการซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก โดยขอให้รัฐมนตรีคนใหม่ รวมทั้งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายประจำ ได้ช่วยกันพัฒนาต่อไป ว่าจะทำอย่างไรให้การตรวจราชการในพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถทำให้ประเทศชาติได้รับประโยชน์มากที่สุด คือทำให้นโยบายรัฐบาลสามารถได้รับการปฏิบัติได้อย่าง รวดเร็วและไปถึงทุกที่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ (30 พ.ค.) เวลา 12.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนดังนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 พ.ค.) ผมได้แถลงข่าวกับท่านทั้งหลายไปแล้วครั้งหนึ่ง เพื่ออธิบายถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง ผมได้อธิบายไปว่ามีความบริสุทธิ์ใจและมีเจตนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร ในการบรรยายที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว และที่สำคัญคือว่าได้บอกผ่านพี่น้องสื่อมวลชนไปยังพี่น้องประชาชนด้วยว่า ผมมีแนวทางในการต่อสู้กับความฉ้อฉลในครั้งนี้อย่างไร ขอเรียนว่าในบัดนี้ผมก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่และจะไม่เปลี่ยนแปลงความคิดนี้เลย ผมไม่มีเจตนาใด ๆ ในการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งเราจะได้พิสูจน์ในกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายกันต่อไป
คำบรรยายเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 นั้น เป็นคำบรรยายทางวิชาการต่อที่ประชุมซึ่งเปิดกว้างต่อคนทั้งหลาย ไม่มีการหลบเร้น และเป็นคำบรรยายที่เกิดขึ้นมานานถึง 10 เดือนก่อนที่จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น จึงอยากเรียนในประเด็นแรกว่า ผมจะต่อสู้ในคดีนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่ได้หวังเพียงความยุติธรรมและความเป็นธรรมสำหรับตนเองเท่านั้น แต่หวังไปถึงว่าผมจะมีส่วนไม่มากก็น้อยในการวางบรรทัดฐานบางอย่าง เพื่อให้สังคมนี้ฉ้อฉลน้อยลง ทำลายกันด้วยวิชามารได้ยากขึ้น และหวังว่าจะทำให้เกิดแสงสว่างทางปัญญามากขึ้นด้วย
เพราะฉะนั้น ลำพังตัวผมคนเดียว ผมไม่ถอยแน่ เพราะผมไม่อาจปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรทำตัวเป็นพระเจ้าที่ชี้นำประเทศนี้ได้ แต่ในช่วง 3 วันที่ผ่านมานี้ ทุกอย่างกลับไปตกหนักอยู่ที่ท่านนายกรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นธรรม ในที่สุดก็เกิดกระแสข่าวที่ไม่เป็นมงคลขึ้นมากมาย ทั้งความมุ่งหมายที่จะโค่นล้มรัฐบาล ทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภา เสียงร่ำลือในเรื่องการยึดอำนาจรัฐประหาร และการไล่รุกเข้ามาเรื่อย ๆ ของผู้เล่นต่าง ๆ ตามแผนที่วางกันไว้แล้วของคนภายนอกในกระบวนการวิชามารทั้งหมดนี้ อยากจะเรียนว่า ผมเป็นเพียงเหยื่อรายเดียวในทั้งหมดเท่านั้น แต่ก็มีความร้อนแรงมาก เพราะเรื่องที่เขาจับนั้นไม่โยงกับสถาบันระดับสูง ผมจึงสรุปในใจว่า ผมมีความจำเป็นต้องรักษาขุนไว้ให้รอด เพื่อประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะในบั้นปลาย
จะสังเกตว่าในช่วง 3 วันนี้มีข่าวออกมาทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งข่าวว่าผมเสี้ยมผู้ใหญ่ในฟากรัฐบาลให้ชนกันเพื่อตัวจะได้อยู่รอด ข่าวว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเลยไม่ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ ข่าวเหล่านี้เป็นความสามานย์ที่กุข่าวจะต้องชดใช้บาปกรรมของตนเองในไม่ช้า แต่ก็เป็นตัวอย่างว่าคนในภาครัฐบาลเราเองบางครั้ง ก็เผลอสายตาสั้น ไปร่วมกับแห่กับฝ่ายตรงกันข้ามเขาด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีความสำคัญและเป็นบทเรียนสำหรับคราวนี้ก็คือ พุทธภาษิตที่ว่า “วินาศกาเลวิปริตพุทธิ” ถึงคราววินาศปัญญาย่อมวิปลาสไปนั้น ต้องไม่พยายามให้เกิดขึ้น
เมื่อเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามหลักเหตุผล แต่เป็นเกมอำนาจล้วน ๆ และท่านนายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้ได้รับผลดังกล่าวนั้น ผมจึงต้องตัดสินใจถอดตนเองออกจากเกมอำนาจนี้ เพื่อรักษาเรือลำใหญ่ไว้ให้รอด ผมจึงขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ และจะได้ยื่นใบลาออกในวันนี้ โดยให้มีผลในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อจะได้สะสางงานและเตรียมส่งไม้ให้กับผู้รับผิดชอบต่อจากผมด้วยความราบรื่น
การลาออกในครั้งนี้ น่าจะส่งผลให้คนหยุดพูดเรื่องการรัฐประหารกันเสียที และน่าจะมีผลยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มใด ๆ ที่อ้างเหตุผลทางการเมืองมาเคลื่อนไหว ถ้าหากเกมนี้ยังดำเนินต่อไป โดยมุ่งตีเมืองขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมก็หวังว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างชัดเจนในการพิทักษ์บ้านเมืองให้พ้นจากมือของผู้ที่ไม่ปรารถนาดีเหล่านี้
ผมขอขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่ท่านมีความเป็นสุภาพบุรุษตั้งแต่ต้นจนนาทีสุดท้าย ผมมีความศรัทธา มีความเคารพในวิถีทางทางการเมืองของท่านนายกรัฐมนตรี และจะยึดหลายอย่างในตัวท่านเป็นแบบอย่างในทางการเมืองต่อไป ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใหญ่ให้แนวทางที่เป็นสติปัญญาและความสว่างกับนักการเมืองรุ่นหลัง จะเรียกว่ารุ่นลูก รุ่นหลาน ก็ไม่ผิดจากความจริง ให้ได้รู้แนวทางที่จะเดินต่อไป ท่านนายกรัฐมนตรีมีความหมาย และมีความสำคัญในการรักษาบ้านเมืองในระยะนี้ เพราะฉะนั้น เหตุใดก็ตามที่จะนำไปสู่ผลกระทบต่อตัวท่านโดยตรง ผมจะยอมไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่เมื่อวันจันทร์นั้น ผมได้แถลงที่นี่ว่า ผมจะสู้ต่อไป แต่มาวันนี้ถึงได้กลับเป็นการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เหตุผลก็ง่ายและสั้นนิดเดียวครับ เราต้องรักษาท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไว้ให้รอดในระยะนี้ เพื่อประชาธิปไตยจะได้รอดในระยะยาว
และสุดท้ายผมต้องขอกล่าวคำนี้ครับ ผมขอโทษผู้สนับสนุนตัวผมเอง ซึ่งคงจะทำให้ท่านผิดหวังที่มีวันนี้เกิดขึ้น หวังว่าเมื่อท่านฟังเหตุผลตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้แล้ว ท่านก็คงพลอยเข้าใจไปด้วยว่าผมไม่ได้มีความคิดที่จะลาออก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจะพิสูจน์ตนเองในทางกฎหมายต่อไป และจะวางบรรทัดฐานไม่ให้คนมาใช้เรื่องแบบนี้เพื่อการทำร้ายกันได้ง่ายเหมือนกับที่เกิดกับตัวผมเองอีกด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ขอให้ผู้สนับสนุนทุกท่านได้ทราบว่าไม่ใช่ความอ่อนแอ ทดท้อ ไม่ใช่การถอยเพื่อที่จะถอดใจทั้งสิ้น นี่เป็นเพียงขั้นตอนทางการเมือง ซึ่งเราต้องรักษาส่วนรวมไว้เท่านั้นเอง ขอโทษท่านผู้สนับสนุนถ้าหากทำให้ท่านผิดหวัง แต่ในระยะยาวแล้ว ท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ขอบคุณมากครับ
จากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองว่า ยังไม่ได้มองไปไกลถึงขั้นอนาคตทางการเมือง แต่มองเรื่องของการแก้ไขในระยะนี้ โดยนำเรื่องประชาธิปไตยของบ้านเมืองมาเป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องทำต่อไปหลังจากนี้ พร้อมกล่าวย้ำว่า มีความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และจะไม่ใช้วิธีการทางมวลชนใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ในคดีที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
สำหรับการสรุปคดีในขั้นต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำถูกต้องแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นไปตามวิธีพิจารณาความอาญา เพราะไม่ว่าคดีใด ๆ ก็ย่อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนแบบนี้ อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดำเนินของคดีนี้มาตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบัน และเชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ในอนาคต การที่ยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามกระบวนการของขั้นตอนนั้น ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองในครั้งนี้แต่อย่างใด พร้อมเสมอที่จะมีการพิสูจน์ทางกระบวนยุติธรรม และยินดีให้ข้อมูลทุกอย่างที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการ โดยขั้นต้นได้จัดเตรียมข้อมูลประวัติและผลงานที่ผ่านมาว่า ได้มีการถวายงานให้กับพระราชวงศ์เฉพาะในบางเรื่องที่สามารถเปิดเผยข้อมูลให้ได้
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ว่า ไม่ได้ลาออกเพราะมีความผิด แต่ ลาออกเพราะต้องการรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่รับผิดชอบในทางกฎหมาย ซึ่งความจริงในทางกฎหมายและความจริงในทางการเมืองนั้น บางครั้งไม่ต้องเหมือนกัน แต่วันนี้มีการพูดเฉพาะทางการเมือง ยังไม่มีการพูดในข้อกฎหมาย เพียงแต่ถูกกล่าวหาเท่านั้น และยังยืนยันว่า จะไปพูดทุกที่ที่จะทำให้สังคมเกิดความสว่างทางความคิด เพราะการไม่พูดไม่ใช่คำตอบ แต่การพูดแล้วได้รับการตัดสินอย่างเป็นธรรม ไม่ถูกบิดเบือนให้ร้าย เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นของวันนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะงดการพูด
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประชาธิปไตยในประเทศไทยว่า มีความอ่อนแอมากในระยะนี้ แม้รัฐบาลได้อำนาจรัฐจากประชาชนมาเป็นผู้บริหารประเทศชั่วคราว แต่รัฐบาลต้องประสบกับปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากเงื่อนไขที่ปรากฏในยุคที่ผ่านมา และเลยมาถึงยุคนี้ ถ้าวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ย้อนหลัง ย่อมจะเห็นว่าเรื่องบางเรื่องไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดูว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งตรงนี้เป็นการชี้ถึงปัญหาเชิงระบบไม่ใช่ตัวบุคคล
สำหรับอนาคตทางการเมืองนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ และยืนยันว่า ยังต้องการเป็นนักการเมืองต่อไปจนถึงที่สุด ความเป็นนักวิชาการนั้น บางครั้งทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองได้ เพราะการแสดงออกทางวิชาการ เป็นการแสดงออกแบบตรงไปตรงมา ต้องมีความซื่อสัตย์ และมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับผู้อื่น และทางวิชาการนั้นเปิดให้มีการถกเถียงกันได้ มีการสัมมนา เสวนา ตลอดเวลา แต่ในทางการเมือง เป็นเรื่องของเกมอำนาจ บางครั้งรู้ว่าจริงแต่บิดเบือนว่าไม่จริง บางครั้งทราบว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ทำเป็นแกล้งไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในตัวเอง
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเหตุผลที่ยังอยากเป็นนักการเมืองว่า เพราะเป็นบทบาทที่สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศได้โดยตรงมากที่สุดบทบาทหนึ่ง ถึงแม้จะมีขวากหนาม ก็ต้องยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าผลในบั้นปลายย่อมมีความคุ้มค่า
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า รัฐบาลสามารถหาคนที่เหมาะสมที่สุด เพื่อมาทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีทุก ๆ ตำแหน่งได้ เพราะเป็นตำแหน่งที่มีผลและมีความหมายต่อบุคคลต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าสังคมของไทยยังถูกลากจูงด้วยระบบอุปถัมภ์ โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อถอดตนเองออกจากเกมอำนาจนี้แล้ว เพื่อจะได้ให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างที่ควรเป็น ก็จะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ และจะใช้เวลาในช่วงนี้ ผลักดันงานที่ทำต่อไป พร้อมแสดงความห่วงใยงานที่เคยดูแลอยู่ โดยกล่าวฝากรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมาดูแลกรมประชาสัมพันธ์ว่า ให้ช่วยพัฒนา NBT ต่อไป ส่วน อสมท นั้นขอให้มีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้อื่น อย่าบริหารงานแบบดูกันเองในบ้านเหมือนเป็นโฮมวิดีโอ ขอให้เทียบผลงานกับประเทศอื่น และดูว่ามีศักยภาพมากน้อยเพียงใด แล้วให้พัฒนาตัวเองไปจากนั้น รวมทั้งงานในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย โดยเฉพาะงานตรวจราชการซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก โดยขอให้รัฐมนตรีคนใหม่ รวมทั้งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายประจำ ได้ช่วยกันพัฒนาต่อไป ว่าจะทำอย่างไรให้การตรวจราชการในพื้นที่ทั่วประเทศ สามารถทำให้ประเทศชาติได้รับประโยชน์มากที่สุด คือทำให้นโยบายรัฐบาลสามารถได้รับการปฏิบัติได้อย่าง รวดเร็วและไปถึงทุกที่
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--