นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวกรณีถูกกล่าวหาในทางสังคมว่ามีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวกรณีถูกกล่าวหาในทางสังคมว่ามีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง ดังนี้
"สวัสดีพี่น้องประชาชนที่เคารพทั้งหลาย ซึ่งจะได้ทราบถึงเรื่องราวต่างที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้จากปากของผมเอง ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาในข้อหาที่รุนแรง เป็นที่กระเทือนใจทั้งสำหรับคนที่ถูกกล่าวหาและพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งได้ยินได้ฟังอยู่และอยากจะรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร
วันนี้ผมมาอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลายในฐานะของคนที่ถูกกล่าวหาในทางสังคมว่ามีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง ผมได้เรียนแล้วว่าข้อกล่าวนี้ร้ายแรงที่สุดสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย ซึ่งถ้าพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่าผิดจริงแล้ว สมควรที่ต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างรุนแรง แต่ท่านที่เคารพ เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นเลย เป็นเพียงคำกล่าวหาจากบุคคลหนึ่งซึ่งไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผสมด้วยการขยายประเด็นอย่างบิดเบือนโดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตร เขย่าผ่านสื่อมวลชนจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ของบ้านเมือง ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ที่มีโอกาสหรือมีเวลาได้อ่านคำบรรยายที่นำมาเป็นต้นเรื่องอย่างแท้จริงและโดยตลอดนั้น คนที่ได้อ่านมีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นการนำคำพูดของผู้อื่นมาถ่ายทอดซ้ำ พูดง่ายๆ คือผมถูกกล่าวหาทางสังคมโดยคำพูดของคนอื่น ไม่ใช่คำพูดของตนเอง
หากจะวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมขอใช้เวลาตอนต้นสักนิดก่อนที่จะเข้าสู่เอกสารที่เป็นตัวต้นเรื่อง เราจะพบว่าเหตุที่เขาสามารถจะบิดเบือนเรื่องนี้กันได้มากและยาวนานจนบัดนี้ มีเหตุอยู่ 3 ประการ ประการแรกคือเป็นคำบรรยายภาษาอังกฤษ ซึ่งพูดสด ไม่ได้มีคำบรรยายละเอียดแบบคำต่อคำล่วงหน้า มีแต่เพียงหัวเรื่องของผู้บรรยายเท่านั้น และบรรยายสดไปโดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถ้าผมจำไม่ผิด ซึ่งหมายความว่าถ้าจะเข้าใจเอกสารนี้ ต้องแปลเป็นไทย เมื่อแปลแล้ว ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าจะแปลอย่างซื่อสัตย์หรือแปลอย่างฉ้อฉล ประการที่สองที่บิดเบือนกันได้มากก็เพราะว่า เป็นการพูดต่อหน้าคนฟังที่เป็นชาวต่างประเทศ คนเหล่านี้มีความเข้าใจสังคมไทยน้อยกว่าคนไทย จะบรรยายอะไรให้เขาฟังเกี่ยวกับเมืองไทยก็ต้องลำดับเป็นขั้นๆ โดยละเอียดก่อนที่มุ่งสู่เป้าคือข้อสรุป ไม่เหมือนพูดกับคนไทย ฉะนั้น การอธิบายต่างๆ ศัพท์ สำนวน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริบทในการพูดกับคนไทยได้ ประการที่สาม นี่เป็นคำบรรยายเชิงวิชาการ ซึ่งผมขึ้นเวทีคู่กับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านก็พูดเป็นวิชาการเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เป็นการบรรยายเรื่องการเมืองหรือเป็นการให้นโยบายใดๆ ทั้งสิ้น
พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่เคารพครับ ผมเองยอมรับว่ารู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาในความไม่จงรักภักดี โดยนำเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี้มาชี้ประเด็นที่เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวผมเอง รัฐบาล และคนที่อยู่ในแวดวงครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหายของผม ท่านเหล่านี้ได้รับผลกระทบไปด้วย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา ผมจึงถือว่าเรื่องนี้เป็นความสำคัญที่ต้องมานั่งอธิบายกันให้ชัด
ผมคงไม่ถือโอกาสวันนี้ในการลำดับความในรายละเอียด แต่จะพูดโดยคร่าวว่า ความจงรักภักดีของผมและครอบครัวนั้น เป็นที่ประจักษ์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวทหารอากาศ ได้รับราชการมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ถึงคุณพ่อ และถึงพี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพท่านหนึ่ง อีกท่านหนึ่งลาออกมาประกอบอาชีพในรัฐวิสาหกิจ คนทั้งหมดเหล่านี้ได้ปลูกฝังให้ผมรับรู้ถึงความสำคัญและความหมายของสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก สิ่งเหล่านี้ติดตัวผมมา ทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่โตขึ้นมาแล้ว เขียนกลอน เขียนงานนิพนธ์ต่างๆ ในทางที่เป็นการเฉลิมพระเกียรติมาหลายครั้ง แต่นี่คงไม่ใช่เป็นเวลาที่จะพูดในรายละเอียดนั้น ขอให้ประวัติเหล่านี้เป็นตัวบอกด้วยตัวเอง
และมาจนถึงขณะนี้ ดีแล้วครับที่มีการกล่าวหาเรื่องนี้ ผมจะได้บอกว่าในขณะนี้เอง ผมก็เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งนอกจากจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นรัฐมนตรี หลังจากที่มีคำบรรยายนี้แล้ว ผมยังทำหน้าที่ในการถวายงานแก่เจ้านายในพระบรมวงศาสานุวงศ์เป็นจำนวนมากมายหลายงาน เช่น งานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งผมเป็นประธานอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานที่เกี่ยวกับหอภาพยนตร์ส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานที่เกี่ยวกับโครงการตามแนวพระราชดำริและโครงการตามพระราชดำริต่างๆ มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เป็นเรื่องของความดี เป็นเรื่องของจิตใจที่ต้องทำ ผมไม่ได้คิดว่าดีหรือเสียกับผม แต่คิดว่าต้องทำ เพราะสถาบันระดับสูงเป็นเลือดเนื้อ เป็นจิตวิญญาณของความเป็นคนไทย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว คนที่พยายามจะปลุกเรื่องนี้และมองไปถึงขั้นว่ามีแนวความคิดที่ไม่เป็นผลดีต่างๆ ต่อสังคม ต่อไปก็คงจะได้เห็นหลักฐานที่ทำให้ละอายแก่ใจตนเอง ถ้ายังมีความละอายนั้นอยู่ในกมลสำนึกบ้าง
การบรรยายในวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ท่านสื่อมวลชนและท่านผู้มีเกียรติครับ ผมได้กระทำอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้คน สื่อมวลชน กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายภาพยนตร์ เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็รู้ล่วงหน้า เพราะฉะนั้น ผมจึงมีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษที่จะทำให้การบรรยายครั้งนั้นเป็นเรื่องของวิชาการ เป็นการบรรยายให้ชาวต่างประเทศฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และที่สำคัญก็คือต้องพูดในภาษาที่เขาจะเข้าใจได้ โดยที่ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากความหมายในภาษาไทยของเรา
เอาล่ะครับ เกริ่นมายาวต้องบอกว่า ผมอยากจะขอให้แต่ละท่านในวันนี้ได้รับเอกสารไปท่านละหนึ่งชุด ขอให้ถามหาและตามให้ครบ ทุกๆ สำนวนในนั้น ในเอกสารที่แจกวันนี้ มีเอกสารอยู่ 4 อย่างด้วยกัน ขอให้ท่านตรวจสอบให้ครบ หนึ่งคือคำบรรยายภาษาอังกฤษ สองคือคำแปลภาษาไทย สามสำนวนแปลของผู้แจ้งความคือ พันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี และสี่สำนวนแปลของพรรคประชาธิปัตย์ที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งมาให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้ปลดผมออกจากคณะรัฐมนตรี
ผมคงใช้เวลาสักเล็กน้อยตรงนี้ เพราะว่าการแปลตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในสำนวนแปลทั้งสามสำนวนนี้ ได้ปรากฏความแตกต่างในทางที่เป็นความเป็นความตายในคดีนี้อยู่มาก เป็นต้นว่า ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นหัวใจของการบรรยายในครั้งนี้คือคำว่า "ระบบอุปถัมภ์" ซึ่งในในภาษาอังกฤษว่า "patronage" ปรากฏว่าในสำนวนแปลทั้งของผมเองและของพรรคประชาธิปัตย์แปลตรงกันว่าระบบอุปถัมภ์ ถูกต้อง แต่สำนวนแปลของพันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ฯ กลับระบุคำแปลนี้ว่า "ราชาธิปไตยระบบเผด็จการ" ท่านมองเห็นไหมว่าบิดเบือนกันอย่างดื้อๆ เอาคำว่าระบบอุปถัมภ์เป็นคำว่าระบบราชาธิปไตย และบางครั้งซึ่งไม่ได้ส่งผลผิดทางกฎหมาย แต่ว่ากระเทือนใจมาก เช่นคำว่า "myth" ซึ่งคำแปลที่ถูกต้องคือ "ตำนาน เรื่องที่เล่าขานกันต่อๆ มา เรื่องที่เชื่อ ที่เคารพ ที่ยึดมั่นจิตใจกันต่อๆ มา" สำนวนแปลของผมกับพรรคประชาธิปัตย์แปลตรงกันว่าตำนาน สำนวนแปลของพันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ฯ กลับแปลว่าเทพนิยาย นี่คือตัวอย่าง ยังมีอีกพราวไปหมดทั้งฉบับ ซึ่งผมขอให้ท่านได้อ่าน และจะถามกันบ่อยๆ ถามกันถี่ๆ เชิญเลย มีเวลาดู ผมอยากให้ถามวันนี้ด้วย ผมจะได้อธิบายไปทีละคำทีละประโยค
หรือขออนุญาตพูดยาวนิดเถิด เพราะมี 2 ประโยคที่สื่อมวลชนได้ยกมาและบอกว่านี่ล่ะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง ต้องขอประทานโทษที่นำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ เป็นประโยคยาวหน่อยนะครับ ซึ่งผมจะแปลให้ฟัง มีการหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาว่า "We are led into to believing that the best form government is guided the democracy or democracy with His Majesty gracious guidance. It has a continual development of ideas and beliefs into the current situation in which I see as a clash or the clash between democracy and patronage system." ประโยคนี้ เจตนาของการแปลคือว่า เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น คือเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีการนำวิถีในทางที่ดี นั่นก็คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความหมายของประโยคนี้ได้ถูกนำไปบิดเบือน ว่าเป็นการพูดว่า we are led to believe คือว่า "มีคนมาทำให้เราเชื่อ" ไม่ใช่ นั่นเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด เหมือนกับแปล "breakfast" ว่า หยุดเร็ว ซึ่งแปลว่าอาหารเช้า ฉะนั้น การแปลแบบนี้มีอคติ เป็นการแปลที่มีเจตนาที่จะให้เกิดเรื่อง ผมจึงต้องเอาสำนวนแปลของทุกคนมาเรียงให้ท่านได้เห็น เพื่อที่จะดูว่าของจริงเป็นอย่างไร
และอีกประโยคหนึ่งคือ "This political situation will not end like the May incident of 1992. There is no one to end because everyone is involved." สถานการณ์การเมืองในขณะนี้จะไม่จบเหมือนสถานการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 เนื่องจากไม่มีใครที่จะยุติเหตุการณ์ เพราะทุกคนเกี่ยวข้อง ประโยคนี้ได้ถูกนำมาตีความว่าผมหมายถึงบุคคลระดับสูง ก็ขอเรียนในที่นี้ว่า นั่นก็สามานย์เหมือนกัน แปลแบบนั้น ความคิดของคนที่บรรยายวันนั้น นั่นคือตัวผมเอง คือการชี้ให้เห็นว่า ในครั้งนั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ได้โปรดเกล้าฯ ให้บุคคลต่างๆ ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานองคมนตรีและองคมนตรีในขณะนั้น ซึ่งคือศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ถ้าหากพี่น้องประชาชนยังจำได้ แต่ในคราวนี้ น่าเสียดายว่ามีความเชื่อกันว่าบุคคลที่น่าจะรับใส่เกล้าฯ ไปช่วยแก้ไขปัญหา กลับเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองเสียเอง ความคิดของผมคืออย่างนั้น ในการที่จะอธิบาย
นี่เป็นการพูดโดยที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เหนือการเมือง คนอย่างผมไม่ต้องมานั่งอธิบายตรงนี้ เพราะฝรั่งถ้าอยากอยู่เมืองไทยก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่า เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ได้ นำมาคิดว่าเกี่ยวพันกันก็ไม่เป็นสิริมงคลแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องที่ได้ปรากฏในตัวอย่างอย่างนี้เป็นความแตกต่างในการแปล พอเห็นเจตนาอย่างนี้แล้ว ผมจึงจะอยู่เฉยไม่ได้ ผมกำลังมอบหมายให้ทีมงานกฎหมาย หลังจากที่เราได้ผ่านขั้นตอนของการพิสูจน์ในส่วนของผมแล้ว ผมจะดำเนินการตามกฎหมายกับพรรคประชาธิปัตย์
การใช้สถาบันระดับสูงมาทำลายทางการเมืองจะเป็นวัฒนธรรมของใคร ไม่สำคัญ แต่ผมถือว่าเป็นการทำต่อเนื่องที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องให้กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ผมขอเรียกร้องในวันนี้ หลังจากที่เห็นสำนวนแปลของทุกคนแล้ว ผมขอให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จงแสดงความรับผิดชอบในการแปลออกมา ขอให้บอกกับสังคมว่าใครแปลสำนวนของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุชื่อและนามสกุลที่เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมออกมา ผมจะได้ฟ้องถูก ถ้าหากหาคนแปลไม่ได้หรือไม่กล้าเปิดเผยให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค้ำประกันการแปลนั้น ว่าพรรคประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์ฯ คิดว่าถูกต้อง ประการที่สอง การเรียกร้องให้ปลดผมหรือการดำเนินการถอดถอน โดยไม่ให้โอกาสกับกระบวนการยุติธรรมตามหน้าที่ ถือเป็นการแสดงความไม่เคารพกับระบบที่มีอยู่ ถือเป็นความสิ้นคิด ขาดความเป็นผู้ใหญ่ ประการที่สาม ผมอยากจะเอ่ยไว้ตรงนี้ จะมีความหมายหรือไม่ มีความสำคัญหรือไม่ คงไม่สำคัญ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้ว่า เรื่องนี้จะเป็นการพิสูจน์ต่อคนทั้งหลายในระยะยาวว่า ระหว่างผมกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใครเป็นผู้จงรักภักดีอย่างแท้จริงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่ถวายงาน คนที่มาถูกกล่าวหาแล้วพยายามหาหนทางทุกอย่างในการอธิบาย กับคนที่คอยใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตน ใครเป็นคนดึงฟ้าต่ำ สังคมกำลังรอตัดสินในเรื่องนี้อยู่ ขณะเดียวกัน เรื่องของการทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมนั้น ผมก็ได้เรียนแล้วว่า ผมเชื่อว่านักการเมือง ไม่ว่าจะซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็ต้องให้ความเคารพต่อระบบนี้เช่นเดียวกัน ในเรื่องนี้ ผมพร้อมจะเผชิญหน้ากับคุณอภิสิทธิ์ฯ ทุกเวที ถ้าอยากจะหยิบมาทีละคำทีละประโยค สะกดกันทีละตัวเลย เอา บอกมาว่าที่ไหน อย่างไร เวลาใด แล้วผมจะไป ให้มันรู้กันสักทีครับว่า จะใช้วิธีการนี้ไปได้อีกนานเท่าไรในสังคมไทย ผมเสียดายที่คุณอภิสิทธิ์ฯ เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ แต่มีความคิดที่เก่าสุดกู่ ยังคงนำเอาความต่อเนื่องของด้านลบในอดีตมาใช้ต่อไป ในขณะที่เมืองไทยมาถึงขั้นนี้แล้ว
ในส่วนของกองทัพนั้น ผมขอเรียนผ่านตรงนี้ไปครับว่า ผมเองนั้นไม่สบายใจที่เห็นความตรึงเครียดระหว่างรัฐบาลกับกองทัพอันเนื่องมาจากเรื่องนี้ ผมจึงของเรียนตรงนี้ว่า ผมเข้าใจ ในฐานะลูกทหาร และครอบครัวทหาร ซึ่งก็ยังรับราชการทหารกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ในครอบครัวผมนี้ ผมเข้าใจดีว่า ทหารนั้นเป็นองค์กรสำคัญที่สุดในบ้านเมืองในการรักษาราชบัลลังก์ เมื่อมีคนตั้งใจจะหาเรื่อง เอาเรื่องที่แปลผิดๆ พลาดๆ ไปอย่างนี้ ทหารย่อมโกรธ ย่อมไม่พอใจ แต่เมื่อได้เห็นเอกสารที่ถูกต้องในวันนี้ ผมเชื่อว่ากองทัพจะได้อ่านและทำความเข้าใจ และในที่สุดก็จะมีความเข้าใจกันและกันมากขึ้น ผมขอบคุณที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่และทุกระดับในกองทัพได้ออกมาแสดงกิริยาที่น่าสรรเสริญ คือการปกป้องสถาบันเมื่อตนคิดว่ามีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นกับสถาบัน นี่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว แต่ผมเชื่อว่าวันนี้เราจะยุติความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่มีคนอื่นคอยเสี้ยม คอยยุนั้นได้
และสุดท้ายครับ ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณบุคคลสองคน ซึ่งความจริงก็สู้กันมาในตอนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่มาวันนี้ผมต้องเอ่ยถึงท่านในทางตรงกันข้าม พลเอก สุรยุทธ์ จุลลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรีในปัจจุบัน พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผมก็วิจารณ์ท่านมา แรงๆ ด้วย แต่มาในวันนี้ โดยเฉพาะ พลเอก สุรยุทธ์ฯ เมื่อท่านถอดหัวโขนแล้วกลับมาเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ท่านก็ให้ความเห็นได้อย่างที่น่ารับฟังและจำเป็นต้องปฏิบัติตาม นั่นก็คือว่า ทุกฝ่ายไม่ควรนำสถาบันมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง เพราะฉะนั้นในวันนี้ สำหรับทัศนะนี้ของพลเอก สุรยุทธ์ฯ และพลเอก บุญสร้างฯ ผมขอแสดงความคารวะ ส่วนความคิดที่ไม่ตรงกันนั้น เราก็ไม่ตรงกันในทางประชาธิปไตย แต่ความคิดต่อสถาบันตรงกัน และเราก็ยึดตรงนี้เป็นหลักต่อไป
ท่านสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ เนื่องจากเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการอ่าน ในการศึกษาค่อนข้างเยอะ เอกสารเพิ่งจะมาเปิดเผยวันนี้ ผมได้ขออนุญาตท่านนายกรัฐมนตรีลากิจเป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากว่าคนทุกคนน่าจะมีเวลาได้อ่านและได้ตัดสินเกี่ยวกับผมในขั้นต้น ก่อนที่ผมจะกลับมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่อีกครั้ง เพราะฉะนั้น ตั้งแต่การแถลงข่าวนี้ไป ผมจะลากิจไปก่อน แล้วจะกลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์หน้า ในระหว่างนี้ผมจะสดับตรับฟังข่าวสาร ความเห็นของบุคคลต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการต่อไป ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะมาเรียนในวันนี้ ขอประทานโทษที่ใช้เวลายาวไปหน่อย"
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวกรณีถูกกล่าวหาในทางสังคมว่ามีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง ดังนี้
"สวัสดีพี่น้องประชาชนที่เคารพทั้งหลาย ซึ่งจะได้ทราบถึงเรื่องราวต่างที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้จากปากของผมเอง ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาในข้อหาที่รุนแรง เป็นที่กระเทือนใจทั้งสำหรับคนที่ถูกกล่าวหาและพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งได้ยินได้ฟังอยู่และอยากจะรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร
วันนี้ผมมาอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลายในฐานะของคนที่ถูกกล่าวหาในทางสังคมว่ามีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง ผมได้เรียนแล้วว่าข้อกล่าวนี้ร้ายแรงที่สุดสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย ซึ่งถ้าพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่าผิดจริงแล้ว สมควรที่ต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างรุนแรง แต่ท่านที่เคารพ เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นเลย เป็นเพียงคำกล่าวหาจากบุคคลหนึ่งซึ่งไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผสมด้วยการขยายประเด็นอย่างบิดเบือนโดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตร เขย่าผ่านสื่อมวลชนจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ของบ้านเมือง ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ที่มีโอกาสหรือมีเวลาได้อ่านคำบรรยายที่นำมาเป็นต้นเรื่องอย่างแท้จริงและโดยตลอดนั้น คนที่ได้อ่านมีไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นการนำคำพูดของผู้อื่นมาถ่ายทอดซ้ำ พูดง่ายๆ คือผมถูกกล่าวหาทางสังคมโดยคำพูดของคนอื่น ไม่ใช่คำพูดของตนเอง
หากจะวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมขอใช้เวลาตอนต้นสักนิดก่อนที่จะเข้าสู่เอกสารที่เป็นตัวต้นเรื่อง เราจะพบว่าเหตุที่เขาสามารถจะบิดเบือนเรื่องนี้กันได้มากและยาวนานจนบัดนี้ มีเหตุอยู่ 3 ประการ ประการแรกคือเป็นคำบรรยายภาษาอังกฤษ ซึ่งพูดสด ไม่ได้มีคำบรรยายละเอียดแบบคำต่อคำล่วงหน้า มีแต่เพียงหัวเรื่องของผู้บรรยายเท่านั้น และบรรยายสดไปโดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถ้าผมจำไม่ผิด ซึ่งหมายความว่าถ้าจะเข้าใจเอกสารนี้ ต้องแปลเป็นไทย เมื่อแปลแล้ว ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าจะแปลอย่างซื่อสัตย์หรือแปลอย่างฉ้อฉล ประการที่สองที่บิดเบือนกันได้มากก็เพราะว่า เป็นการพูดต่อหน้าคนฟังที่เป็นชาวต่างประเทศ คนเหล่านี้มีความเข้าใจสังคมไทยน้อยกว่าคนไทย จะบรรยายอะไรให้เขาฟังเกี่ยวกับเมืองไทยก็ต้องลำดับเป็นขั้นๆ โดยละเอียดก่อนที่มุ่งสู่เป้าคือข้อสรุป ไม่เหมือนพูดกับคนไทย ฉะนั้น การอธิบายต่างๆ ศัพท์ สำนวน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริบทในการพูดกับคนไทยได้ ประการที่สาม นี่เป็นคำบรรยายเชิงวิชาการ ซึ่งผมขึ้นเวทีคู่กับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านก็พูดเป็นวิชาการเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เป็นการบรรยายเรื่องการเมืองหรือเป็นการให้นโยบายใดๆ ทั้งสิ้น
พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่เคารพครับ ผมเองยอมรับว่ารู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาในความไม่จงรักภักดี โดยนำเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี้มาชี้ประเด็นที่เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวผมเอง รัฐบาล และคนที่อยู่ในแวดวงครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหายของผม ท่านเหล่านี้ได้รับผลกระทบไปด้วย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา ผมจึงถือว่าเรื่องนี้เป็นความสำคัญที่ต้องมานั่งอธิบายกันให้ชัด
ผมคงไม่ถือโอกาสวันนี้ในการลำดับความในรายละเอียด แต่จะพูดโดยคร่าวว่า ความจงรักภักดีของผมและครอบครัวนั้น เป็นที่ประจักษ์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวทหารอากาศ ได้รับราชการมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ถึงคุณพ่อ และถึงพี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพท่านหนึ่ง อีกท่านหนึ่งลาออกมาประกอบอาชีพในรัฐวิสาหกิจ คนทั้งหมดเหล่านี้ได้ปลูกฝังให้ผมรับรู้ถึงความสำคัญและความหมายของสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก สิ่งเหล่านี้ติดตัวผมมา ทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่โตขึ้นมาแล้ว เขียนกลอน เขียนงานนิพนธ์ต่างๆ ในทางที่เป็นการเฉลิมพระเกียรติมาหลายครั้ง แต่นี่คงไม่ใช่เป็นเวลาที่จะพูดในรายละเอียดนั้น ขอให้ประวัติเหล่านี้เป็นตัวบอกด้วยตัวเอง
และมาจนถึงขณะนี้ ดีแล้วครับที่มีการกล่าวหาเรื่องนี้ ผมจะได้บอกว่าในขณะนี้เอง ผมก็เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งนอกจากจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นรัฐมนตรี หลังจากที่มีคำบรรยายนี้แล้ว ผมยังทำหน้าที่ในการถวายงานแก่เจ้านายในพระบรมวงศาสานุวงศ์เป็นจำนวนมากมายหลายงาน เช่น งานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งผมเป็นประธานอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานที่เกี่ยวกับหอภาพยนตร์ส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานที่เกี่ยวกับโครงการตามแนวพระราชดำริและโครงการตามพระราชดำริต่างๆ มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เป็นเรื่องของความดี เป็นเรื่องของจิตใจที่ต้องทำ ผมไม่ได้คิดว่าดีหรือเสียกับผม แต่คิดว่าต้องทำ เพราะสถาบันระดับสูงเป็นเลือดเนื้อ เป็นจิตวิญญาณของความเป็นคนไทย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว คนที่พยายามจะปลุกเรื่องนี้และมองไปถึงขั้นว่ามีแนวความคิดที่ไม่เป็นผลดีต่างๆ ต่อสังคม ต่อไปก็คงจะได้เห็นหลักฐานที่ทำให้ละอายแก่ใจตนเอง ถ้ายังมีความละอายนั้นอยู่ในกมลสำนึกบ้าง
การบรรยายในวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ท่านสื่อมวลชนและท่านผู้มีเกียรติครับ ผมได้กระทำอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้คน สื่อมวลชน กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายภาพยนตร์ เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็รู้ล่วงหน้า เพราะฉะนั้น ผมจึงมีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษที่จะทำให้การบรรยายครั้งนั้นเป็นเรื่องของวิชาการ เป็นการบรรยายให้ชาวต่างประเทศฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และที่สำคัญก็คือต้องพูดในภาษาที่เขาจะเข้าใจได้ โดยที่ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากความหมายในภาษาไทยของเรา
เอาล่ะครับ เกริ่นมายาวต้องบอกว่า ผมอยากจะขอให้แต่ละท่านในวันนี้ได้รับเอกสารไปท่านละหนึ่งชุด ขอให้ถามหาและตามให้ครบ ทุกๆ สำนวนในนั้น ในเอกสารที่แจกวันนี้ มีเอกสารอยู่ 4 อย่างด้วยกัน ขอให้ท่านตรวจสอบให้ครบ หนึ่งคือคำบรรยายภาษาอังกฤษ สองคือคำแปลภาษาไทย สามสำนวนแปลของผู้แจ้งความคือ พันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี และสี่สำนวนแปลของพรรคประชาธิปัตย์ที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งมาให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อเรียกร้องให้ปลดผมออกจากคณะรัฐมนตรี
ผมคงใช้เวลาสักเล็กน้อยตรงนี้ เพราะว่าการแปลตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในสำนวนแปลทั้งสามสำนวนนี้ ได้ปรากฏความแตกต่างในทางที่เป็นความเป็นความตายในคดีนี้อยู่มาก เป็นต้นว่า ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นหัวใจของการบรรยายในครั้งนี้คือคำว่า "ระบบอุปถัมภ์" ซึ่งในในภาษาอังกฤษว่า "patronage" ปรากฏว่าในสำนวนแปลทั้งของผมเองและของพรรคประชาธิปัตย์แปลตรงกันว่าระบบอุปถัมภ์ ถูกต้อง แต่สำนวนแปลของพันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ฯ กลับระบุคำแปลนี้ว่า "ราชาธิปไตยระบบเผด็จการ" ท่านมองเห็นไหมว่าบิดเบือนกันอย่างดื้อๆ เอาคำว่าระบบอุปถัมภ์เป็นคำว่าระบบราชาธิปไตย และบางครั้งซึ่งไม่ได้ส่งผลผิดทางกฎหมาย แต่ว่ากระเทือนใจมาก เช่นคำว่า "myth" ซึ่งคำแปลที่ถูกต้องคือ "ตำนาน เรื่องที่เล่าขานกันต่อๆ มา เรื่องที่เชื่อ ที่เคารพ ที่ยึดมั่นจิตใจกันต่อๆ มา" สำนวนแปลของผมกับพรรคประชาธิปัตย์แปลตรงกันว่าตำนาน สำนวนแปลของพันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ฯ กลับแปลว่าเทพนิยาย นี่คือตัวอย่าง ยังมีอีกพราวไปหมดทั้งฉบับ ซึ่งผมขอให้ท่านได้อ่าน และจะถามกันบ่อยๆ ถามกันถี่ๆ เชิญเลย มีเวลาดู ผมอยากให้ถามวันนี้ด้วย ผมจะได้อธิบายไปทีละคำทีละประโยค
หรือขออนุญาตพูดยาวนิดเถิด เพราะมี 2 ประโยคที่สื่อมวลชนได้ยกมาและบอกว่านี่ล่ะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง ต้องขอประทานโทษที่นำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ เป็นประโยคยาวหน่อยนะครับ ซึ่งผมจะแปลให้ฟัง มีการหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาว่า "We are led into to believing that the best form government is guided the democracy or democracy with His Majesty gracious guidance. It has a continual development of ideas and beliefs into the current situation in which I see as a clash or the clash between democracy and patronage system." ประโยคนี้ เจตนาของการแปลคือว่า เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น คือเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมีการนำวิถีในทางที่ดี นั่นก็คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความหมายของประโยคนี้ได้ถูกนำไปบิดเบือน ว่าเป็นการพูดว่า we are led to believe คือว่า "มีคนมาทำให้เราเชื่อ" ไม่ใช่ นั่นเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด เหมือนกับแปล "breakfast" ว่า หยุดเร็ว ซึ่งแปลว่าอาหารเช้า ฉะนั้น การแปลแบบนี้มีอคติ เป็นการแปลที่มีเจตนาที่จะให้เกิดเรื่อง ผมจึงต้องเอาสำนวนแปลของทุกคนมาเรียงให้ท่านได้เห็น เพื่อที่จะดูว่าของจริงเป็นอย่างไร
และอีกประโยคหนึ่งคือ "This political situation will not end like the May incident of 1992. There is no one to end because everyone is involved." สถานการณ์การเมืองในขณะนี้จะไม่จบเหมือนสถานการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 เนื่องจากไม่มีใครที่จะยุติเหตุการณ์ เพราะทุกคนเกี่ยวข้อง ประโยคนี้ได้ถูกนำมาตีความว่าผมหมายถึงบุคคลระดับสูง ก็ขอเรียนในที่นี้ว่า นั่นก็สามานย์เหมือนกัน แปลแบบนั้น ความคิดของคนที่บรรยายวันนั้น นั่นคือตัวผมเอง คือการชี้ให้เห็นว่า ในครั้งนั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ได้โปรดเกล้าฯ ให้บุคคลต่างๆ ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานองคมนตรีและองคมนตรีในขณะนั้น ซึ่งคือศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ถ้าหากพี่น้องประชาชนยังจำได้ แต่ในคราวนี้ น่าเสียดายว่ามีความเชื่อกันว่าบุคคลที่น่าจะรับใส่เกล้าฯ ไปช่วยแก้ไขปัญหา กลับเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองเสียเอง ความคิดของผมคืออย่างนั้น ในการที่จะอธิบาย
นี่เป็นการพูดโดยที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เหนือการเมือง คนอย่างผมไม่ต้องมานั่งอธิบายตรงนี้ เพราะฝรั่งถ้าอยากอยู่เมืองไทยก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่า เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ได้ นำมาคิดว่าเกี่ยวพันกันก็ไม่เป็นสิริมงคลแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องที่ได้ปรากฏในตัวอย่างอย่างนี้เป็นความแตกต่างในการแปล พอเห็นเจตนาอย่างนี้แล้ว ผมจึงจะอยู่เฉยไม่ได้ ผมกำลังมอบหมายให้ทีมงานกฎหมาย หลังจากที่เราได้ผ่านขั้นตอนของการพิสูจน์ในส่วนของผมแล้ว ผมจะดำเนินการตามกฎหมายกับพรรคประชาธิปัตย์
การใช้สถาบันระดับสูงมาทำลายทางการเมืองจะเป็นวัฒนธรรมของใคร ไม่สำคัญ แต่ผมถือว่าเป็นการทำต่อเนื่องที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องให้กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ผมขอเรียกร้องในวันนี้ หลังจากที่เห็นสำนวนแปลของทุกคนแล้ว ผมขอให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จงแสดงความรับผิดชอบในการแปลออกมา ขอให้บอกกับสังคมว่าใครแปลสำนวนของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุชื่อและนามสกุลที่เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมออกมา ผมจะได้ฟ้องถูก ถ้าหากหาคนแปลไม่ได้หรือไม่กล้าเปิดเผยให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค้ำประกันการแปลนั้น ว่าพรรคประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์ฯ คิดว่าถูกต้อง ประการที่สอง การเรียกร้องให้ปลดผมหรือการดำเนินการถอดถอน โดยไม่ให้โอกาสกับกระบวนการยุติธรรมตามหน้าที่ ถือเป็นการแสดงความไม่เคารพกับระบบที่มีอยู่ ถือเป็นความสิ้นคิด ขาดความเป็นผู้ใหญ่ ประการที่สาม ผมอยากจะเอ่ยไว้ตรงนี้ จะมีความหมายหรือไม่ มีความสำคัญหรือไม่ คงไม่สำคัญ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้ว่า เรื่องนี้จะเป็นการพิสูจน์ต่อคนทั้งหลายในระยะยาวว่า ระหว่างผมกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใครเป็นผู้จงรักภักดีอย่างแท้จริงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่ถวายงาน คนที่มาถูกกล่าวหาแล้วพยายามหาหนทางทุกอย่างในการอธิบาย กับคนที่คอยใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตน ใครเป็นคนดึงฟ้าต่ำ สังคมกำลังรอตัดสินในเรื่องนี้อยู่ ขณะเดียวกัน เรื่องของการทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมนั้น ผมก็ได้เรียนแล้วว่า ผมเชื่อว่านักการเมือง ไม่ว่าจะซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็ต้องให้ความเคารพต่อระบบนี้เช่นเดียวกัน ในเรื่องนี้ ผมพร้อมจะเผชิญหน้ากับคุณอภิสิทธิ์ฯ ทุกเวที ถ้าอยากจะหยิบมาทีละคำทีละประโยค สะกดกันทีละตัวเลย เอา บอกมาว่าที่ไหน อย่างไร เวลาใด แล้วผมจะไป ให้มันรู้กันสักทีครับว่า จะใช้วิธีการนี้ไปได้อีกนานเท่าไรในสังคมไทย ผมเสียดายที่คุณอภิสิทธิ์ฯ เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ แต่มีความคิดที่เก่าสุดกู่ ยังคงนำเอาความต่อเนื่องของด้านลบในอดีตมาใช้ต่อไป ในขณะที่เมืองไทยมาถึงขั้นนี้แล้ว
ในส่วนของกองทัพนั้น ผมขอเรียนผ่านตรงนี้ไปครับว่า ผมเองนั้นไม่สบายใจที่เห็นความตรึงเครียดระหว่างรัฐบาลกับกองทัพอันเนื่องมาจากเรื่องนี้ ผมจึงของเรียนตรงนี้ว่า ผมเข้าใจ ในฐานะลูกทหาร และครอบครัวทหาร ซึ่งก็ยังรับราชการทหารกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ในครอบครัวผมนี้ ผมเข้าใจดีว่า ทหารนั้นเป็นองค์กรสำคัญที่สุดในบ้านเมืองในการรักษาราชบัลลังก์ เมื่อมีคนตั้งใจจะหาเรื่อง เอาเรื่องที่แปลผิดๆ พลาดๆ ไปอย่างนี้ ทหารย่อมโกรธ ย่อมไม่พอใจ แต่เมื่อได้เห็นเอกสารที่ถูกต้องในวันนี้ ผมเชื่อว่ากองทัพจะได้อ่านและทำความเข้าใจ และในที่สุดก็จะมีความเข้าใจกันและกันมากขึ้น ผมขอบคุณที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่และทุกระดับในกองทัพได้ออกมาแสดงกิริยาที่น่าสรรเสริญ คือการปกป้องสถาบันเมื่อตนคิดว่ามีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นกับสถาบัน นี่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว แต่ผมเชื่อว่าวันนี้เราจะยุติความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่มีคนอื่นคอยเสี้ยม คอยยุนั้นได้
และสุดท้ายครับ ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณบุคคลสองคน ซึ่งความจริงก็สู้กันมาในตอนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่มาวันนี้ผมต้องเอ่ยถึงท่านในทางตรงกันข้าม พลเอก สุรยุทธ์ จุลลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรีในปัจจุบัน พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผมก็วิจารณ์ท่านมา แรงๆ ด้วย แต่มาในวันนี้ โดยเฉพาะ พลเอก สุรยุทธ์ฯ เมื่อท่านถอดหัวโขนแล้วกลับมาเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ท่านก็ให้ความเห็นได้อย่างที่น่ารับฟังและจำเป็นต้องปฏิบัติตาม นั่นก็คือว่า ทุกฝ่ายไม่ควรนำสถาบันมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง เพราะฉะนั้นในวันนี้ สำหรับทัศนะนี้ของพลเอก สุรยุทธ์ฯ และพลเอก บุญสร้างฯ ผมขอแสดงความคารวะ ส่วนความคิดที่ไม่ตรงกันนั้น เราก็ไม่ตรงกันในทางประชาธิปไตย แต่ความคิดต่อสถาบันตรงกัน และเราก็ยึดตรงนี้เป็นหลักต่อไป
ท่านสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ เนื่องจากเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการอ่าน ในการศึกษาค่อนข้างเยอะ เอกสารเพิ่งจะมาเปิดเผยวันนี้ ผมได้ขออนุญาตท่านนายกรัฐมนตรีลากิจเป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากว่าคนทุกคนน่าจะมีเวลาได้อ่านและได้ตัดสินเกี่ยวกับผมในขั้นต้น ก่อนที่ผมจะกลับมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่อีกครั้ง เพราะฉะนั้น ตั้งแต่การแถลงข่าวนี้ไป ผมจะลากิจไปก่อน แล้วจะกลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์หน้า ในระหว่างนี้ผมจะสดับตรับฟังข่าวสาร ความเห็นของบุคคลต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการต่อไป ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะมาเรียนในวันนี้ ขอประทานโทษที่ใช้เวลายาวไปหน่อย"
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--