นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุการแก้รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของสภา และรัฐบาลไม่เคยส่งสัญญาณว่าจะยุติการทำงานจนกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ
เมื่อเวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อหนีคดียุบพรรค เพราะมั่นใจว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จะสามารถแสดงพยานหลักฐานต่อสู้คดีได้ แต่หากต้องแพ้คดีและถูกตัดสินยุบพรรคจริง ก็มั่นใจว่าพรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทย ฆ่าไม่ตายบนถนนการเมืองนี้ เพราะมีผลงาน และมีจุดยืนต่อระบอบประชาธิปไตยที่ยังคงอยู่ในใจของประชาชน ต่างกับพรรคการเมืองบางพรรคที่ไม่มีผลงานและไม่ชัดเจนเรื่องประชาธิปไตย ดังนั้น เราจึงพร้อมที่จะเผชิญชะตากรรมทางการเมืองในทุกกรณี แต่หากต้องมีอันเป็นไปทางการเมืองอีก ก็ขอให้มีอันเป็นไปในวันเวลาที่เราพยายามสร้างประชาธิปไตยกลับคืนมาให้ประชาชน
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าหากทำแบบนี้ต่อไปถ้าโจรทำผิด โจรก็มาแก้กฎหมายไม่ให้ผิดได้นั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ดูจะเกินเลยจากข้อเท็จจริงไป ต้องเข้าใจว่าโจรอย่างไรก็เป็นโจร แล้วในความเป็นจริงไม่มีโจรที่ไหนจะแก้กฎหมายได้ สิ่งที่โจรทำได้คือใช้ปืนใช้อาวุธแล้วฉีกกฎหมายทิ้งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวจึงไม่ได้ยืนอยู่บนข้อเท็จจริง และรัฐบาลไม่สามารถยินยอมรับได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลุดจากคดี ชะตาชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหนักยิ่งกว่าอีเย็นในเรื่องนางทาส ถูกรุกรานโจมตีมาโดยตลอด ดังนั้น วิธีการเดียวที่จะได้คืนมาซึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีและความสง่างามคือต้องพิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น รัฐบาลขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะต้องได้รับการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยไม่ได้รับประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้อย่างแน่นอน และในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อคน ๆ เดียว มีแต่ฉีกรัฐธรรมนูญและร่างขึ้นมาใหม่ จัดการกับคน ๆ เดียวมีมาแล้วและปรากฏแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 โดยร่างขึ้นมาและมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการและสกัดกั้น พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นหลัก นอกจากนั้นยังมีการวางกับดักเพื่อไม่ให้รัฐบาลชุดนี้สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยสะดวกในหลายแง่มุม ซึ่งขอตั้งฉายารัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า “ล็อคหมัก หักแม้ว” เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มุ่งหมายจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แล้วเอาบ่าคนไทย 60 กว่าล้านคนแบกรับไว้ เพราะจึงมีความจำเป็นที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อใช้กับคนทั้ง 60 กว่าล้านคนอย่างเท่าเทียมกันโดยแท้จริง
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลน่าจะเร่งสร้างผลงานมากกว่าเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นการดำเนินการของฝ่ายสภา รัฐบาลไม่เคยแสดงออกหรือส่งสัญญาณใด ๆ ว่าจะยุติการทำงานรอจนกว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้น ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายสภา ส่วนรัฐบาลก็ทำงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนควบคู่ไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่งานที่รัฐบาลทำอยู่จะไม่หยุดยั้งลงอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พบกับทีมไทยแลนด์ที่ประเทศมาเลเซีย และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่หลังการแก้รัฐธรรมนูญเสร็จนั้น ขอชี้แจงว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้สื่อสารว่าเตรียมการจะยุบสภา แต่หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วโดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ตั้งคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆ เดินหน้าทำงานมาแล้ว ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่แก้ไขแล้วก็จะใช้บังคับหลังจากที่รัฐบาลชุดนี้หมดวาระแล้ว ดังนั้น ขอให้เข้าใจตรงกันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้จะยุบสภาฯ และยังคงยืนยันที่จะนำรัฐบาลชุดนี้ทำงานให้ครบวาระ 4 ปี
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
เมื่อเวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อหนีคดียุบพรรค เพราะมั่นใจว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จะสามารถแสดงพยานหลักฐานต่อสู้คดีได้ แต่หากต้องแพ้คดีและถูกตัดสินยุบพรรคจริง ก็มั่นใจว่าพรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทย ฆ่าไม่ตายบนถนนการเมืองนี้ เพราะมีผลงาน และมีจุดยืนต่อระบอบประชาธิปไตยที่ยังคงอยู่ในใจของประชาชน ต่างกับพรรคการเมืองบางพรรคที่ไม่มีผลงานและไม่ชัดเจนเรื่องประชาธิปไตย ดังนั้น เราจึงพร้อมที่จะเผชิญชะตากรรมทางการเมืองในทุกกรณี แต่หากต้องมีอันเป็นไปทางการเมืองอีก ก็ขอให้มีอันเป็นไปในวันเวลาที่เราพยายามสร้างประชาธิปไตยกลับคืนมาให้ประชาชน
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าหากทำแบบนี้ต่อไปถ้าโจรทำผิด โจรก็มาแก้กฎหมายไม่ให้ผิดได้นั้น รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ดูจะเกินเลยจากข้อเท็จจริงไป ต้องเข้าใจว่าโจรอย่างไรก็เป็นโจร แล้วในความเป็นจริงไม่มีโจรที่ไหนจะแก้กฎหมายได้ สิ่งที่โจรทำได้คือใช้ปืนใช้อาวุธแล้วฉีกกฎหมายทิ้งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวจึงไม่ได้ยืนอยู่บนข้อเท็จจริง และรัฐบาลไม่สามารถยินยอมรับได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลุดจากคดี ชะตาชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหนักยิ่งกว่าอีเย็นในเรื่องนางทาส ถูกรุกรานโจมตีมาโดยตลอด ดังนั้น วิธีการเดียวที่จะได้คืนมาซึ่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรีและความสง่างามคือต้องพิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น รัฐบาลขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะต้องได้รับการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยไม่ได้รับประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้อย่างแน่นอน และในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อคน ๆ เดียว มีแต่ฉีกรัฐธรรมนูญและร่างขึ้นมาใหม่ จัดการกับคน ๆ เดียวมีมาแล้วและปรากฏแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 โดยร่างขึ้นมาและมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการและสกัดกั้น พ.ต.ท.ทักษิณฯ เป็นหลัก นอกจากนั้นยังมีการวางกับดักเพื่อไม่ให้รัฐบาลชุดนี้สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยสะดวกในหลายแง่มุม ซึ่งขอตั้งฉายารัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า “ล็อคหมัก หักแม้ว” เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มุ่งหมายจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แล้วเอาบ่าคนไทย 60 กว่าล้านคนแบกรับไว้ เพราะจึงมีความจำเป็นที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อใช้กับคนทั้ง 60 กว่าล้านคนอย่างเท่าเทียมกันโดยแท้จริง
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลน่าจะเร่งสร้างผลงานมากกว่าเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นการดำเนินการของฝ่ายสภา รัฐบาลไม่เคยแสดงออกหรือส่งสัญญาณใด ๆ ว่าจะยุติการทำงานรอจนกว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จสิ้น ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายสภา ส่วนรัฐบาลก็ทำงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนควบคู่ไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่งานที่รัฐบาลทำอยู่จะไม่หยุดยั้งลงอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พบกับทีมไทยแลนด์ที่ประเทศมาเลเซีย และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่หลังการแก้รัฐธรรมนูญเสร็จนั้น ขอชี้แจงว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้สื่อสารว่าเตรียมการจะยุบสภา แต่หมายความว่ารัฐบาลชุดนี้ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วโดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ตั้งคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆ เดินหน้าทำงานมาแล้ว ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่แก้ไขแล้วก็จะใช้บังคับหลังจากที่รัฐบาลชุดนี้หมดวาระแล้ว ดังนั้น ขอให้เข้าใจตรงกันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้จะยุบสภาฯ และยังคงยืนยันที่จะนำรัฐบาลชุดนี้ทำงานให้ครบวาระ 4 ปี
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--