นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หลังเกิดวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา
วันนี้ เวลา 11.20 น. ณ ห้องประชุม 401 กระทรวงการคลัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หลังเกิดวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้บริหารกระทรวงการคลัง โดยมีพลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย
ภายหลังการประชุมหารือ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว สรุปสาระสำคัญว่า วันนี้มีการประชุมหารือร่วมกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจ ในกรณีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ 3 แห่งในสหรัฐอเมริกาเกิดภาวะล้มละลาย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการลงทุนอยู่ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย ทำให้เกิดความกระเพื่อมทางด้านเศรษฐกิจ และมีความหวั่นไหวในด้านการลงทุนประกอบธุรกิจต่าง ๆ เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันดีในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ การประกันชีวิต ซึ่งมีความผูกพันกับชีวิตประจำวันของเศรษฐกิจไทย ในวันนี้จึงได้มีการหารือถึงแนวทางที่จะแก้ไขผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย ซึ่งเมื่อได้รับฟังข้อมูลจากรัฐมนตรีฯ และจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องแล้ว ก็เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทบกระเทือนอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยบ้างแต่ก็ไม่ใช่กรณีที่น่าหนักใจ และทางธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความเห็นว่าเป็นเรื่องที่สามารถระงับยับยั้งความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง โดยในกรณีบริษัทประกันก็เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาหรือกระทบกระเทือน เพราะเข้ามาเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ถึงแม้จะเป็นบริษัทลูกก็ตาม ส่วนกรณีบริษัทตลาดหลักทรัพย์แทบจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะเงินทุนของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นเงินทุนส่วนใหญ่ และภาวะที่ผันผวนนั้นเกิดจากความไม่มั่นใจทางจิตวิทยา เมื่อเกิดความกลัว ความกังวล จึงทำให้มีการถอนหุ้นออกไปบ้าง ซึ่งจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น คาดว่าในระยะต่อไปจะมีการไหลกลับมาที่เก่า สำหรับด้านอสังหาริมทรัพย์ก็จะกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะมีการลงทุนในประเทศไทยไม่มาก ฉะนั้นจะไม่กระทบกระเทือนต่อโครงการเมกะโปรเจคต์ต่าง ๆ และโครงการใหญ่ ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน รวมทั้งสิ่งที่รัฐบาลจะได้ลงทุนต่อไป โดยจะมีการดำเนินการต่อไปและงบประมาณปีนี้ก็จะนำมาใช้ต่อ
ด้านปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นปัญหาที่เป็นเหตุในการนำมาหารือกันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ กรณีเลห์แมน บราเธอร์ส ที่ล้มละลายไปแล้ว กรณีบริษัทประกันเอไอจี ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เข้าไปให้การช่วยเหลือในระดับหนึ่ง กรณี Bank of America ที่ขณะนี้ได้เข้าไปซื้อเมอร์ลิน ลินช์ ทั้งนี้ ปัญหาที่มาทั้งหมดทั้งที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้จนมาถึงสถานการณ์ในวันนี้ เป็นเรื่องที่มีพื้นฐานมาจากปัญหาของเงินกู้หรือที่เรียกว่าซับไพรม์ และมีผลกระทบในท้ายที่สุดไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ และไปสู่ระบบเศรษฐกิจหรือประเทศต่าง ๆ ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด หน่วยงานต่าง ๆ ได้เข้าไปดูแลปัญหาและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยในเรื่องที่มีผลกระทบต่อต่างประเทศนั้นเชื่อว่าคงมีแน่นอน และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันการเงินระดับนานาชาติทั้งหลาย และแผ่ขยายไปสู่สถาบันการเงินอื่น ๆ ด้วย สำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทยจะถูกผลพวงหรือถูกผลกระทบมากแค่ไหนนั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้วิเคราะห์ให้ที่ประชุมรับฟังสรุปว่า แม้ว่าบริษัททั้ง 3 แห่งของสหรัฐอเมริกา คือ เลห์แมน บราเธอร์ส เมอร์ลิน ลินช์ และเอไอจี จะเป็นสถาบันการเงินก็ตาม แต่สิ่งที่เราเกี่ยวข้องกับเขามีไม่มากนัก ขณะเดียวกันก็มีการดูแลจัดการแก้ไขปัญหาได้ ฉะนั้นในเรื่องนี้มีความมั่นใจได้ว่า สถาบันการเงินของไทยคงจะไม่ถูกกระทบอะไรมากนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินชั้นนำดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในส่วนของบริษัทประกันภัยเอไอเอที่อยู่ในเครือของเอไอจี สหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเรื่องการทำประกันกับบริษัทเอไอจี จึงขอให้สบายใจได้ ในส่วนผลกระทบของตลาดหลักทรัพย์ ตามที่รักษาการองนายกรัฐมนตรีฯ ได้สรุปเบื้องต้นแล้วว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น ในเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับความมั่นใจ หรือความยังไม่แน่ชัดในสถานการณ์ ส่วนเรื่องต้นทุนเงินทั้งที่หาโดยภาครัฐและภาคเอกชนก็ตาม คงจะมีปัญหาส่งผลให้ต้นทุนของการหาเงินทุนสูงขึ้นบ้าง ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป โดยเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้
ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวต่อว่า ในส่วนที่เกี่ยวโยงกับเมกะโปรเจคต์ การกู้ยืมเงินหรือการหาแหล่งเงินทุนสำหรับเมกะโปรเจคต์ในช่วงแรก ๆ จะเป็นการหาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนในเรื่องของในประเทศจะต้องติดตามดูต่อไป ทั้งนี้ เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้ในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้พูดถึงว่าสถานการณ์ช่วงนี้แม้จะมีความชัดเจนขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่อาจเรียกได้ว่านิ่งสนิท ฉะนั้นจะต้องมีการติดตามความเคลื่อนไหวโดยตลอด และต้องมีการประเมินผลในระยะต่อไปด้วย ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ได้ทำหน้าที่ติดตามดูอยู่แล้ว ทั้งนี้ การติดตามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะอยู่ในระดับสูงกว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งนั้น กระทรวงการคลังมีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องเหล่านี้อยู่ ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยดูแลแก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ
ในส่วนที่จะเกี่ยวโยงกับผลพวงที่จะตามมาในระลอกต่อไปหรือเป็นผลขั้นที่สอง ไม่ว่าจะเป็นผลมาจาก เช่น เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ และจะเกี่ยวโยงมาถึงเศรษฐกิจของไทย หรือสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ และจะเกี่ยวโยงมาถึงเศรษฐกิจของไทย หรือสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ โยงไปถึงสถาบันการเงินต่างประเทศ และอาจจะโยงเข้ามาต่อระบบเศรษฐกิจไทย เหล่านี้เป็นเรื่องที่คณะกรรมการฯ และหน่วยงานจะได้ประเมินสถานการณ์ต่อไป โดยขณะนี้ได้เริ่มมองกันไปถึงปัจจัยที่จะกระทบในระยะต่อไป เช่น ในปีงบประมาณหน้าหรือปีหน้า ว่าจะกระทบต่อการส่งออก การลงทุน หรือไม่เพียงไร การที่จะเข้าไปช่วยบริหารจัดการ เข้าไปดูแลสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกนั้น ทางรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมีขึ้น จะเข้าไปดูแลเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งโดยสรุปคือผลระยะสั้น ผลโดยตรงไม่น่าจะมีอะไรมากนัก เท่าที่มีอยู่ก็สามารถควบคุมดูแลสถานการณ์ได้ แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังคือผลหรือสถานการณ์ที่อาจจะแปรเปลี่ยนไป และผลที่จะตามมาในระลอกต่อไป
ด้าน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 600 จุด ว่า เป็นผลด้านจิตวิทยา หลังนักลงทุนเกิดความกังวล จึงไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นขึ้น แต่หากหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่านี้ จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการประเมินเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรัฐบาลจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองให้กลับมาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
วันนี้ เวลา 11.20 น. ณ ห้องประชุม 401 กระทรวงการคลัง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หลังเกิดวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้บริหารกระทรวงการคลัง โดยมีพลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมด้วย
ภายหลังการประชุมหารือ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าว สรุปสาระสำคัญว่า วันนี้มีการประชุมหารือร่วมกับกระทรวงการคลังเกี่ยวกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจ ในกรณีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ 3 แห่งในสหรัฐอเมริกาเกิดภาวะล้มละลาย ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการลงทุนอยู่ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย ทำให้เกิดความกระเพื่อมทางด้านเศรษฐกิจ และมีความหวั่นไหวในด้านการลงทุนประกอบธุรกิจต่าง ๆ เพราะบริษัทดังกล่าวเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยกันดีในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ การประกันชีวิต ซึ่งมีความผูกพันกับชีวิตประจำวันของเศรษฐกิจไทย ในวันนี้จึงได้มีการหารือถึงแนวทางที่จะแก้ไขผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย ซึ่งเมื่อได้รับฟังข้อมูลจากรัฐมนตรีฯ และจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องแล้ว ก็เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทบกระเทือนอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยบ้างแต่ก็ไม่ใช่กรณีที่น่าหนักใจ และทางธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีความเห็นว่าเป็นเรื่องที่สามารถระงับยับยั้งความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง โดยในกรณีบริษัทประกันก็เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาหรือกระทบกระเทือน เพราะเข้ามาเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ถึงแม้จะเป็นบริษัทลูกก็ตาม ส่วนกรณีบริษัทตลาดหลักทรัพย์แทบจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะเงินทุนของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นเงินทุนส่วนใหญ่ และภาวะที่ผันผวนนั้นเกิดจากความไม่มั่นใจทางจิตวิทยา เมื่อเกิดความกลัว ความกังวล จึงทำให้มีการถอนหุ้นออกไปบ้าง ซึ่งจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น คาดว่าในระยะต่อไปจะมีการไหลกลับมาที่เก่า สำหรับด้านอสังหาริมทรัพย์ก็จะกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะมีการลงทุนในประเทศไทยไม่มาก ฉะนั้นจะไม่กระทบกระเทือนต่อโครงการเมกะโปรเจคต์ต่าง ๆ และโครงการใหญ่ ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน รวมทั้งสิ่งที่รัฐบาลจะได้ลงทุนต่อไป โดยจะมีการดำเนินการต่อไปและงบประมาณปีนี้ก็จะนำมาใช้ต่อ
ด้านปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นปัญหาที่เป็นเหตุในการนำมาหารือกันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ กรณีเลห์แมน บราเธอร์ส ที่ล้มละลายไปแล้ว กรณีบริษัทประกันเอไอจี ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เข้าไปให้การช่วยเหลือในระดับหนึ่ง กรณี Bank of America ที่ขณะนี้ได้เข้าไปซื้อเมอร์ลิน ลินช์ ทั้งนี้ ปัญหาที่มาทั้งหมดทั้งที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้จนมาถึงสถานการณ์ในวันนี้ เป็นเรื่องที่มีพื้นฐานมาจากปัญหาของเงินกู้หรือที่เรียกว่าซับไพรม์ และมีผลกระทบในท้ายที่สุดไปถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ และไปสู่ระบบเศรษฐกิจหรือประเทศต่าง ๆ ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด หน่วยงานต่าง ๆ ได้เข้าไปดูแลปัญหาและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยในเรื่องที่มีผลกระทบต่อต่างประเทศนั้นเชื่อว่าคงมีแน่นอน และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถาบันการเงินระดับนานาชาติทั้งหลาย และแผ่ขยายไปสู่สถาบันการเงินอื่น ๆ ด้วย สำหรับสถาบันการเงินในประเทศไทยจะถูกผลพวงหรือถูกผลกระทบมากแค่ไหนนั้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้วิเคราะห์ให้ที่ประชุมรับฟังสรุปว่า แม้ว่าบริษัททั้ง 3 แห่งของสหรัฐอเมริกา คือ เลห์แมน บราเธอร์ส เมอร์ลิน ลินช์ และเอไอจี จะเป็นสถาบันการเงินก็ตาม แต่สิ่งที่เราเกี่ยวข้องกับเขามีไม่มากนัก ขณะเดียวกันก็มีการดูแลจัดการแก้ไขปัญหาได้ ฉะนั้นในเรื่องนี้มีความมั่นใจได้ว่า สถาบันการเงินของไทยคงจะไม่ถูกกระทบอะไรมากนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินชั้นนำดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในส่วนของบริษัทประกันภัยเอไอเอที่อยู่ในเครือของเอไอจี สหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเรื่องการทำประกันกับบริษัทเอไอจี จึงขอให้สบายใจได้ ในส่วนผลกระทบของตลาดหลักทรัพย์ ตามที่รักษาการองนายกรัฐมนตรีฯ ได้สรุปเบื้องต้นแล้วว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น ในเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับความมั่นใจ หรือความยังไม่แน่ชัดในสถานการณ์ ส่วนเรื่องต้นทุนเงินทั้งที่หาโดยภาครัฐและภาคเอกชนก็ตาม คงจะมีปัญหาส่งผลให้ต้นทุนของการหาเงินทุนสูงขึ้นบ้าง ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป โดยเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้
ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวต่อว่า ในส่วนที่เกี่ยวโยงกับเมกะโปรเจคต์ การกู้ยืมเงินหรือการหาแหล่งเงินทุนสำหรับเมกะโปรเจคต์ในช่วงแรก ๆ จะเป็นการหาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนในเรื่องของในประเทศจะต้องติดตามดูต่อไป ทั้งนี้ เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้ในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้พูดถึงว่าสถานการณ์ช่วงนี้แม้จะมีความชัดเจนขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่อาจเรียกได้ว่านิ่งสนิท ฉะนั้นจะต้องมีการติดตามความเคลื่อนไหวโดยตลอด และต้องมีการประเมินผลในระยะต่อไปด้วย ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ได้ทำหน้าที่ติดตามดูอยู่แล้ว ทั้งนี้ การติดตามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะอยู่ในระดับสูงกว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งนั้น กระทรวงการคลังมีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องเหล่านี้อยู่ ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยดูแลแก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ
ในส่วนที่จะเกี่ยวโยงกับผลพวงที่จะตามมาในระลอกต่อไปหรือเป็นผลขั้นที่สอง ไม่ว่าจะเป็นผลมาจาก เช่น เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ และจะเกี่ยวโยงมาถึงเศรษฐกิจของไทย หรือสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ และจะเกี่ยวโยงมาถึงเศรษฐกิจของไทย หรือสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาถูกกระทบ โยงไปถึงสถาบันการเงินต่างประเทศ และอาจจะโยงเข้ามาต่อระบบเศรษฐกิจไทย เหล่านี้เป็นเรื่องที่คณะกรรมการฯ และหน่วยงานจะได้ประเมินสถานการณ์ต่อไป โดยขณะนี้ได้เริ่มมองกันไปถึงปัจจัยที่จะกระทบในระยะต่อไป เช่น ในปีงบประมาณหน้าหรือปีหน้า ว่าจะกระทบต่อการส่งออก การลงทุน หรือไม่เพียงไร การที่จะเข้าไปช่วยบริหารจัดการ เข้าไปดูแลสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกนั้น ทางรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมีขึ้น จะเข้าไปดูแลเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งโดยสรุปคือผลระยะสั้น ผลโดยตรงไม่น่าจะมีอะไรมากนัก เท่าที่มีอยู่ก็สามารถควบคุมดูแลสถานการณ์ได้ แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังคือผลหรือสถานการณ์ที่อาจจะแปรเปลี่ยนไป และผลที่จะตามมาในระลอกต่อไป
ด้าน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 600 จุด ว่า เป็นผลด้านจิตวิทยา หลังนักลงทุนเกิดความกังวล จึงไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นขึ้น แต่หากหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่านี้ จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการประเมินเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และรัฐบาลจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองให้กลับมาโดยเร็ว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--