วันนี้ เวลา 10.15 น. ณ ห้องน้ำพราว โรงแรมซีเอส ปัตตานี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พบปะกับข้าราชการ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,200 คน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกัน โดยมี นายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างการพบปะกับข้าราชการ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่มีความตั้งใจมานานแล้วว่า น่าจะมีโอกาสได้มาพบปะกับข้าราชการ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ในเบื้องต้นที่สามารถจะเริ่มทำงานแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาความรุนแรงในบ้านเมืองได้ โดยได้พูดตั้งแต่วันแรกที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ปัญหาที่สำคัญของบ้านเมืองมีสองปัญหา ปัญหาแรกที่พูดถึงคือปัญหาความแตกแยกทางความคิดทางการเมือง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเกิดความแตกแยกค่อนข้างมากจนเกือบจะมีการปะทะด้วยกำลังในหลาย ๆ แห่ง อันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องหาทางแก้ไขเยียวยาเพื่อให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุขอย่างรวดเร็ว โดยความมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ประชาชนทุกคนตระหนักดีว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาคืออะไร บทเรียนที่ได้รับทางการเมืองเป็นเรื่องที่มากพอ ที่จะนำมาทบทวนหาแนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้อนาคตบ้านเมืองดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนปัญหาที่สองที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน คือปัญหาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถือว่ามีความสำคัญเร่งด่วนใกล้เคียงกับปัญหาแรก โดยเหตุผลหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในบ้านเมืองคือ ความไม่เป็นธรรม ที่มีส่วนอยู่มาก
“เมื่อสักครู่ก่อนที่ผมจะเดินเข้ามาถึง ครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบหลายครอบครัว ได้ยื่นเอกสารเพื่อร้องเรียนปัญหาที่เกิดผลกระทบต่อหัวหน้าครอบครัว ต่อบิดา ญาติพี่น้อง ของเขา นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะต้องหาทางแก้ไขอย่างจริงจังในบ้านเมือง การที่ผมมาพูดในวันนี้ เป็นโอกาสดีที่สุดของทุกคนที่จะหาทางแก้ไขปัญหา ตลอดเวลา 4 -5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีโอกาสที่จะดีอย่างนี้อีกแล้ว ผมมีความตั้งใจและมีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคนจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ แน่นอนว่าต้องใช้เวลา แต่ด้วยความร่วมมือและความตั้งใจของพวกเรา ผมมองเห็นความสำเร็จ ผมมีความหวัง และเป็นความหวังซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน จากที่ท่านทั้งหลายได้ให้ความร่วมมือ มาพบปะกับผมในวันนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่ดีที่เราจะได้หาทางแก้ไขปัญหากันต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวความคิดภาพรวมของการแก้ไขปัญหา โดยได้ยกความมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ประชาชนจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาในทุกขั้นตอน เพราะความร่วมมือ ความมีส่วนร่วมจะทำให้การแก้ปัญหาลุล่วงในระดับเบื้องต้นได้มากที่สุด อันจะทำให้ไม่ให้เกิดปัญหาส่งไปถึงความรุนแรงต่อไป ซึ่งในเรื่องความมีส่วนร่วมของประชาชนดังกล่าวจะต้องมีการจัดตั้งองค์กร มีจุดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เสนอแนะปัญหาข้อคิดเห็นต่อองค์กรได้ ซึ่งรัฐบาลได้ฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ขึ้น เริ่มงานตั้งแต่เมื่อวานนี้ มีนายพระนาย สุวรรณรัฐ ทำหน้าที่ ผอ. ศอ.บต. ด้วยความสมัครใจ เพื่อทำให้ ศอ.บต. ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของชุมชนในท้องถิ่นนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี ซึ่ง ศอ.บต. ในปัจจุบันจะแตกต่างจาก ศอ.บต. เดิม โดยจะได้มีการจัดให้มีองค์กรส่วนหนึ่งของ ศอ.บต. ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมเข้ามาทำงานร่วมด้วย ที่จะมีการปรับให้ดาโต๊ะยุติธรรมเข้ามามีส่วนร่วมทำงานมากขึ้น และจากที่ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งท่านเป็นอดีตประธานศาลฎีกา เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมาย รวมทั้งได้มีโอกาสพบกับดาโต๊ะยุติธรรมหลาย ๆ ท่านในช่วงก่อนที่จะมารับหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก็มีความเข้าใจดีว่ากระบวนการยุติธรรมที่ต้องการอยากจะให้มี ให้เป็น จะต้องเริ่มจากขั้นพื้นฐาน โดยอาจเป็นเรื่องทางแพ่ง ข้อขัดแย้งภายในครอบครัว เรื่องทรัพย์สินมรดกต่าง ๆ ซึ่งทางดาโต๊ะยุติธรรมจะเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยจะต้องเพิ่มจำนวนดาโต๊ะยุติธรรมด้วย ส่วนในเรื่องคดีอาญาก็ได้มีการเร่งรัด เพราะบางครั้งการสืบสวนต่าง ๆ การซักพยาน สอบพยานใช้เวลานานมาก จึงจะพยายามหาทางเร่งรัดให้ก้าวหน้าต่อไป คงไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องหาทางแก้ไขทั้งประเทศ
“ในเรื่องความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมในบ้านเมืองของเรา จะต้องมีการปรับปรุง ที่ผมพูดนี้จะเน้นในเรื่องภาคใต้ ในเรื่องการเพิ่มดาโต๊ะยุติธรรมในท้องถิ่น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ชัดเจน เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าดะโต๊ะยุติธรรม ผู้ที่มีความสามารถทางกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายชารีอะห์ ที่หลาย ๆ ท่านได้ไปศึกษาต่างประเทศ ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับท่านเหล่านั้นที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกฎหมายชารีอะห์จริง ๆ ซึ่งเป็นส่วนดีที่จะทำให้มีโอกาสนำกฎหมายชารีอะห์มาใช้ในบางเรื่องได้มากยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมอีกว่า ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนของศาล มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ที่จะต้องมีการปรับปรุงทั้งหมดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยรัฐบาลจะช่วยดูแลอย่างเต็มที่ เหตุการณ์บทเรียนร้าย ๆ ในอดีตที่ผ่านมา ที่มีคนหาย ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ทั้งประเทศเป็นจำนวนพอสมควร ซึ่งไม่อยากพูดถึงตัวเลข แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้มีความสำคัญและไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ แต่เกิดขึ้นทั้งประเทศไทย จึงต้องหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ โดยต้องหาแนวทางให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาให้ได้
“แน่นอนว่าในส่วนของข้าราชการ ทั้งตำรวจและข้าราชการอื่น ต้องมีคนไม่ดีอยู่ในสังคมนั้นบ้าง ทำอย่างไรที่จะช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้คนไม่ดีเหล่านั้นมาก่อปัญหาให้กับบ้านเมือง ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญ ถ้าไม่ช่วยกันก็จะแก้ไม่ได้ ควรต้องช่วยกันบอกว่าคนนี้ไม่ดีเพราะอะไร มีหลักฐานมีเหตุมีผลพอหรือไม่ว่าเขาไม่สมควรที่จะมาทำงานในที่นี้ หรือควรจะถูกลงโทษมากขึ้นกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นผิด จึงอยากให้ประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมช่วยกันตรวจสอบข้าราชการที่ไม่ดี ผมบอกได้ว่าข้าราชการด้วยกันเองเหมือนกับลูบหน้าปะจมูก มีพวกมีพ้อง คนรู้จัก ถ้าเป็นพวกกันก็เบา ๆ หน่อย ถ้าไม่เป็นพวกกันก็ฟันกันเต็มที่ เป็นอย่างนี้ แต่หากประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ก็จะให้ความเป็นธรรมได้มากขึ้น เพราะมีข้อมูลหลักฐานระบุว่าข้าราชการของรัฐ ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดจริง อยากให้มีข้าราชการที่ดูแลประชาชนอย่างจริงจัง มีจิตใจที่จะดูแลประชาชน ให้ความเป็นธรรม ให้ความร่มเย็นกับสังคมของเรา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยกกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานไว้นานแล้วว่า “เราจะต้องช่วยกันที่จะหาคนดีเข้ามาทำงาน คนไม่ดีเราจะต้องเอาออกไป” ถ้าไม่ร่วมกันตรงนี้ จะไปไม่รอด คนไม่ดีจะถือโอกาสว่าบอกว่าไม่ดีก็อยู่ได้ ไม่เห็นมีใครมาทำอะไร ฉะนั้นหากมีองค์กรที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม จะเป็นส่วนสำคัญที่จะเป็นการตรวจสอบ ถ่วงดุล ระหว่างข้าราชการไม่ดี หรือที่ยังมีสีเทาอยู่ จะได้ปรับตัว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การจัดองค์กรที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะรวมบางส่วนของสงขลาและสตูลเข้าด้วยดังกล่าวนี้ จะจัดให้มีองค์กรในระดับอย่างนี้ลงไปถึงระดับล่างสุด เพื่อให้ประหยัดการเดินทาง ศอ.บต. จึงควรหาแนวทางดำเนินการในส่วนเหล่านี้ให้กระจายไปถึงข้างล่างให้มากที่สุด ถ้าประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็ให้มาพบกับผู้อำนวยการ ศอ.บต. เพื่อหารือในปัญหาร่วมกับประธานกรรมการอิสลาม คณะกรรมการอิสลามจังหวัด แต่หากเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ทำในระดับอำเภอ จังหวัด ได้ ก็ให้ดำเนินการไป ทั้งนี้ หากสามารถเริ่มดำเนินการในส่วนเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถแก้ไขความไม่เป็นธรรมในสังคมให้ลุล่วงไปได้ในเวลาค่อนข้างรวดเร็ว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเป็นห่วงในเรื่องการทำความเข้าใจกัน ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ควรจะสร้างความเข้าใจกับเยาวชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีความตั้งใจลงมาพบกับเยาวชน ซึ่งจะใช้เวลาในห้วงเวลาข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง โดยอยากจะพบและพูดกับเยาวชนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 60 กว่าปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสิ่งที่ดีและไม่ดีมาพอสมควร มีบทเรียนต่าง ๆ มามากในชีวิต ทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี จึงอยากพูดกับเยาวชนให้มีความเข้าใจ พร้อมกับจะชี้ให้เห็นว่าเมื่อเห็นว่าอะไรที่ไม่ดีก็ควรหาทาง ลด ละ เลิก แล้วหาทางทำสิ่งที่ดีงาม เพราะทุกศาสนามีสิ่งที่เหมือนกันคือไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี หันมาทำในสิ่งที่ดีงาม เยาวชนที่อยู่ในระดับมหาวิทยาลัยยังมีเวลาที่ยาวนานพอสมควรในอีก 40 ปีข้างหน้าที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าของตัวเอง ของบ้านเมือง ให้มีความก้าวหน้าสืบต่อกันไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความตั้งใจ ความจริงใจ ที่มีต่อทุกคน ต่อการที่จะหาทางแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีแล้วก็มีความจริงใจ ตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาให้ได้ โดยต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับผู้นำ ระดับเยาวชน ที่จะต้องมีการพบปะพูดจากัน มีอะไรที่เป็นปัญหา เดือดร้อน ก็มาพูดกัน เพราะจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นโอกาสอันดีที่ชาวมุสลิมทุกคนได้ทำบุญในช่วงเดือนถือศีลอด และวันนี้เป็นวันดีที่ทุกคนได้มาพบกันเพื่อฉลองวาระช่วงเวลาอิดิ้ลฟิตรี้ ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นชาวมุสลิม แต่ก็คิดว่ามีส่วนที่จะร่วมฉลองกับทุกคนได้ เพราะสังคมไทยไม่ได้แบ่งว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธจะมาร่วมสังคมกับคนมุสลิมไม่ได้ เช่นเดียวกับสังคมของคนพุทธที่ไม่ได้ถือว่าคนมุสลิมจะมาร่วมในสังคมพุทธไม่ได้ จึงอยากเห็นบรรยากาศความปรองดอง ความสมานฉันท์ ในสังคมไทยเกิดขึ้น เพราะในอดีตที่ผ่านมา ในช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ก็ได้มีความร่วมมือกันในเทศกาลของชาวพุทธหรือวันสำคัญของศาสนาอิสลาม ทุกฝ่ายในสังคมก็มีโอกาสที่จะร่วมกัน จึงอยากสร้างบรรยากาศเหล่านั้นให้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าทุกคนมีความเข้าใจกันจริง ๆ สามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้แล้ว โอกาสในอีกหลายส่วนก็จะตามมา ทั้งเรื่องการพัฒนาและการสร้างงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ บาดาวีแห่งมาเลเซีย ได้มีการหารือกันในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียมีความเข้าใจในเหตุการณ์ในประเทศไทยเป็นอย่างดี โดยได้บอกไปว่าแนวทางของตนเองไม่มีอะไรมากมาย จากการที่ได้ใช้มาตรการค่อนข้างที่จะเข้มงวด ก็จะหันมาใช้วิธีการทางสันติวิธีเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บอกว่าถ้ามีอะไรขอให้ติดต่อได้โดยตรง พร้อมกับเขียนเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวใส่กระเป๋าให้ อันเป็นสิ่งที่แสดงออกว่านายกรัฐมนตรีมาเลเซียเห็นด้วยกับแนวทางที่เราจะหาทางแก้ไขปัญหา และเมื่อเดินทางไปประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้อธิบายให้ประธานาธิบดีอินโดนีเซียทราบถึงแนวทางการแก้ปัญหาของไทยด้วย ซึ่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียก็เห็นด้วยกับแนวทางของไทย พร้อมบอกว่าอินโดนีเซียได้กำลังพยายามดำเนินการที่อาเจะห์ ที่ขณะนี้การเจรจาหยุดยิงสามารถทำได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นการเจรจาสันติภาพ โดยจะพยายามต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บอกไปว่านั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะทำให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราเหมือนกัน แต่ของไทยคงไม่ได้ไปถึงขั้นที่ต้องมีการเจรจาหยุดยิง เพียงอยากจะให้มีการพบปะเจรจากันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เพราะประเทศไทยไม่ได้มีการประกาศต่อสู้กันเช่นนั้น จึงอยากให้มีความปรองดอง อยากให้มีบรรยากาศของความสมานฉันท์เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ก็มีผู้ที่นับถือศาสนาอื่นอยู่ในสังคม ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ประเทศไทยจึงควรเหมือนกับประเทศอื่นทั่วโลก ที่มีประชาชนในชาตินับถือศาสนาที่ต่างกันสามารถอยู่ด้วยกันได้ มีความเป็นชาติ มีแนวทางอยู่กันด้วยความปรองดอง สมานฉันท์ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า จำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไข ได้รับการดูแล โดยสิ่งที่ได้กล่าวในวันนี้เป็นเพียงแนวทาง ส่วนรายละเอียดในการทำงาน จะมีทั้ง ศอ.บต. กองทัพ ที่จะเป็นรูปแบบใกล้เคียงกับรูปแบบเดิม ที่มีกองบัญชาการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ทัพ ทำงานกับ ศอ.บต. เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งทุกฝ่ายจะร่วมกันทำงานในด้านการประสานความสามัคคี ไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นเรื่องในสังคมที่ทุกฝ่ายจะต้องหาทางช่วยกันแก้ไข
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนจากตัวแทนข้าราชการ ผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่น ซึ่งมีการเสนอปัญหาต่อรัฐบาลหลายเรื่อง อาทิ การพัฒนาการเรียนการสอน การยกระดับวิทยาเขตปัตตานีเป็นมหาวิทยาลัย การขอเพิ่มค่าครองชีพครูสอนศาสนาโรงเรียนเอกชน การเสนอให้มีศาลชารีอะห์ซึ่งเป็นศาลที่ใช้กฎหมายอิสลามในพื้นที่ 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ การขอความเป็นธรรมในคดีตากใบ เป็นต้น
ซึ่งในเรื่องคดีตากใบนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่อยู่ในข่ายของการสอบสวน 58 คน ซึ่งหลักฐานอ่อน และเห็นสมควรที่จะให้มีการถอนฟ้อง ซึ่งได้แจ้งเรื่องนี้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ทราบแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คณะรัฐมนตรีมีมติ เพราะเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและเป็นเรื่องของความเป็นธรรม เมื่อหลักฐานไม่มี เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในกระบวนการของกฎหมาย ก็จะต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ ไม่ใช่มารวมศูนย์อยู่ที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี แต่ละส่วนมีความรับผิดชอบกันได้อยู่แล้ว
"คดียังอยู่ในการพิจารณาทั้งอาญาและแพ่ง สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ คงจะต้องมีการสอบสวนมีการดำเนินการต่อไป ซึ่งผมได้ติดตามทั้งสองด้านแล้ว ก็เรียนให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจว่าผมไม่ได้มองด้านเดียว ผมมองปัญหาโดยรอบ แล้วที่ท่านขอให้รัฐบาลขอโทษ ผมมาในวันนี้ ผมขอโทษแทนรัฐบาลที่แล้ว ขอโทษแทนรัฐบาลนี้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในอดีตเป็นความผิดเป็นส่วนใหญ่ของรัฐ ซึ่งเราจะต้องหาทางช่วยกันแก้ไขกันต่อไป วันนี้มาในฐานะที่อยากจะยื่นมือออกไป และบอกว่าผมเป็นคนผิด ผมมาขอโทษ ผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบกในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ผมได้พยายามคัดค้านแต่ก็ไม่เป็นผล นั่นเป็นความผิดส่วนหนึ่งของผม ซึ่งไม่สามารถจัดการได้ และยอมรับว่าผมมีส่วนที่ได้พยายามคัดค้านการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่แล้ว แต่ไม่เป็นผล หลาย ๆ คนได้ช่วยกันคัดค้าน ไม่ใช่ผมคนเดียว แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้คัดค้าน และท่านคงทราบดีว่าผมเป็นคนซึ่งเขามองในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือ วันนี้พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ท่านมานั่งอยู่ด้วย มาด้วยกัน ไม่ใช่ว่าท่านไม่มา ในฐานะที่ท่านเป็นคนมุสลิมคนหนึ่งท่านมากับผม และมานั่งอยู่ในที่นี้ เพราะฉะนั้น การทำงานร่วมกันไม่มีปัญหา อยากจะฝากไว้ว่าในทุก ๆ เรื่องที่ท่านได้พูดกัน เราจะหาทางแก้จากง่ายไปหายาก จากเล็กไปหาใหญ่” นายกรัฐมนตรีกล่าว
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันตรุษอิดิ้ลฟิตรี้ ฮ.ศ.1427 ที่ศูนย์การกีฬา โรงแรม ซีเอส ปัตตานี เสร็จแล้วอยู่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างการพบปะกับข้าราชการ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่มีความตั้งใจมานานแล้วว่า น่าจะมีโอกาสได้มาพบปะกับข้าราชการ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ในเบื้องต้นที่สามารถจะเริ่มทำงานแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาความรุนแรงในบ้านเมืองได้ โดยได้พูดตั้งแต่วันแรกที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ปัญหาที่สำคัญของบ้านเมืองมีสองปัญหา ปัญหาแรกที่พูดถึงคือปัญหาความแตกแยกทางความคิดทางการเมือง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเกิดความแตกแยกค่อนข้างมากจนเกือบจะมีการปะทะด้วยกำลังในหลาย ๆ แห่ง อันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องหาทางแก้ไขเยียวยาเพื่อให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุขอย่างรวดเร็ว โดยความมุ่งหมายในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ประชาชนทุกคนตระหนักดีว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาคืออะไร บทเรียนที่ได้รับทางการเมืองเป็นเรื่องที่มากพอ ที่จะนำมาทบทวนหาแนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อทำให้อนาคตบ้านเมืองดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนปัญหาที่สองที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน คือปัญหาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถือว่ามีความสำคัญเร่งด่วนใกล้เคียงกับปัญหาแรก โดยเหตุผลหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในบ้านเมืองคือ ความไม่เป็นธรรม ที่มีส่วนอยู่มาก
“เมื่อสักครู่ก่อนที่ผมจะเดินเข้ามาถึง ครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบหลายครอบครัว ได้ยื่นเอกสารเพื่อร้องเรียนปัญหาที่เกิดผลกระทบต่อหัวหน้าครอบครัว ต่อบิดา ญาติพี่น้อง ของเขา นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะต้องหาทางแก้ไขอย่างจริงจังในบ้านเมือง การที่ผมมาพูดในวันนี้ เป็นโอกาสดีที่สุดของทุกคนที่จะหาทางแก้ไขปัญหา ตลอดเวลา 4 -5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีโอกาสที่จะดีอย่างนี้อีกแล้ว ผมมีความตั้งใจและมีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคนจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ แน่นอนว่าต้องใช้เวลา แต่ด้วยความร่วมมือและความตั้งใจของพวกเรา ผมมองเห็นความสำเร็จ ผมมีความหวัง และเป็นความหวังซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน จากที่ท่านทั้งหลายได้ให้ความร่วมมือ มาพบปะกับผมในวันนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่ดีที่เราจะได้หาทางแก้ไขปัญหากันต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวความคิดภาพรวมของการแก้ไขปัญหา โดยได้ยกความมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ประชาชนจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาในทุกขั้นตอน เพราะความร่วมมือ ความมีส่วนร่วมจะทำให้การแก้ปัญหาลุล่วงในระดับเบื้องต้นได้มากที่สุด อันจะทำให้ไม่ให้เกิดปัญหาส่งไปถึงความรุนแรงต่อไป ซึ่งในเรื่องความมีส่วนร่วมของประชาชนดังกล่าวจะต้องมีการจัดตั้งองค์กร มีจุดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เสนอแนะปัญหาข้อคิดเห็นต่อองค์กรได้ ซึ่งรัฐบาลได้ฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ขึ้น เริ่มงานตั้งแต่เมื่อวานนี้ มีนายพระนาย สุวรรณรัฐ ทำหน้าที่ ผอ. ศอ.บต. ด้วยความสมัครใจ เพื่อทำให้ ศอ.บต. ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของชุมชนในท้องถิ่นนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี ซึ่ง ศอ.บต. ในปัจจุบันจะแตกต่างจาก ศอ.บต. เดิม โดยจะได้มีการจัดให้มีองค์กรส่วนหนึ่งของ ศอ.บต. ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมเข้ามาทำงานร่วมด้วย ที่จะมีการปรับให้ดาโต๊ะยุติธรรมเข้ามามีส่วนร่วมทำงานมากขึ้น และจากที่ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งท่านเป็นอดีตประธานศาลฎีกา เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมาย รวมทั้งได้มีโอกาสพบกับดาโต๊ะยุติธรรมหลาย ๆ ท่านในช่วงก่อนที่จะมารับหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก็มีความเข้าใจดีว่ากระบวนการยุติธรรมที่ต้องการอยากจะให้มี ให้เป็น จะต้องเริ่มจากขั้นพื้นฐาน โดยอาจเป็นเรื่องทางแพ่ง ข้อขัดแย้งภายในครอบครัว เรื่องทรัพย์สินมรดกต่าง ๆ ซึ่งทางดาโต๊ะยุติธรรมจะเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยจะต้องเพิ่มจำนวนดาโต๊ะยุติธรรมด้วย ส่วนในเรื่องคดีอาญาก็ได้มีการเร่งรัด เพราะบางครั้งการสืบสวนต่าง ๆ การซักพยาน สอบพยานใช้เวลานานมาก จึงจะพยายามหาทางเร่งรัดให้ก้าวหน้าต่อไป คงไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องหาทางแก้ไขทั้งประเทศ
“ในเรื่องความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมในบ้านเมืองของเรา จะต้องมีการปรับปรุง ที่ผมพูดนี้จะเน้นในเรื่องภาคใต้ ในเรื่องการเพิ่มดาโต๊ะยุติธรรมในท้องถิ่น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ชัดเจน เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าดะโต๊ะยุติธรรม ผู้ที่มีความสามารถทางกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายชารีอะห์ ที่หลาย ๆ ท่านได้ไปศึกษาต่างประเทศ ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับท่านเหล่านั้นที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกฎหมายชารีอะห์จริง ๆ ซึ่งเป็นส่วนดีที่จะทำให้มีโอกาสนำกฎหมายชารีอะห์มาใช้ในบางเรื่องได้มากยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมอีกว่า ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนของศาล มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ที่จะต้องมีการปรับปรุงทั้งหมดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยรัฐบาลจะช่วยดูแลอย่างเต็มที่ เหตุการณ์บทเรียนร้าย ๆ ในอดีตที่ผ่านมา ที่มีคนหาย ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ทั้งประเทศเป็นจำนวนพอสมควร ซึ่งไม่อยากพูดถึงตัวเลข แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้มีความสำคัญและไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ แต่เกิดขึ้นทั้งประเทศไทย จึงต้องหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ โดยต้องหาแนวทางให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาให้ได้
“แน่นอนว่าในส่วนของข้าราชการ ทั้งตำรวจและข้าราชการอื่น ต้องมีคนไม่ดีอยู่ในสังคมนั้นบ้าง ทำอย่างไรที่จะช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้คนไม่ดีเหล่านั้นมาก่อปัญหาให้กับบ้านเมือง ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญ ถ้าไม่ช่วยกันก็จะแก้ไม่ได้ ควรต้องช่วยกันบอกว่าคนนี้ไม่ดีเพราะอะไร มีหลักฐานมีเหตุมีผลพอหรือไม่ว่าเขาไม่สมควรที่จะมาทำงานในที่นี้ หรือควรจะถูกลงโทษมากขึ้นกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นผิด จึงอยากให้ประชาชนทั้งประเทศได้มีส่วนร่วมช่วยกันตรวจสอบข้าราชการที่ไม่ดี ผมบอกได้ว่าข้าราชการด้วยกันเองเหมือนกับลูบหน้าปะจมูก มีพวกมีพ้อง คนรู้จัก ถ้าเป็นพวกกันก็เบา ๆ หน่อย ถ้าไม่เป็นพวกกันก็ฟันกันเต็มที่ เป็นอย่างนี้ แต่หากประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ก็จะให้ความเป็นธรรมได้มากขึ้น เพราะมีข้อมูลหลักฐานระบุว่าข้าราชการของรัฐ ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดจริง อยากให้มีข้าราชการที่ดูแลประชาชนอย่างจริงจัง มีจิตใจที่จะดูแลประชาชน ให้ความเป็นธรรม ให้ความร่มเย็นกับสังคมของเรา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยกกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานไว้นานแล้วว่า “เราจะต้องช่วยกันที่จะหาคนดีเข้ามาทำงาน คนไม่ดีเราจะต้องเอาออกไป” ถ้าไม่ร่วมกันตรงนี้ จะไปไม่รอด คนไม่ดีจะถือโอกาสว่าบอกว่าไม่ดีก็อยู่ได้ ไม่เห็นมีใครมาทำอะไร ฉะนั้นหากมีองค์กรที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม จะเป็นส่วนสำคัญที่จะเป็นการตรวจสอบ ถ่วงดุล ระหว่างข้าราชการไม่ดี หรือที่ยังมีสีเทาอยู่ จะได้ปรับตัว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การจัดองค์กรที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะรวมบางส่วนของสงขลาและสตูลเข้าด้วยดังกล่าวนี้ จะจัดให้มีองค์กรในระดับอย่างนี้ลงไปถึงระดับล่างสุด เพื่อให้ประหยัดการเดินทาง ศอ.บต. จึงควรหาแนวทางดำเนินการในส่วนเหล่านี้ให้กระจายไปถึงข้างล่างให้มากที่สุด ถ้าประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็ให้มาพบกับผู้อำนวยการ ศอ.บต. เพื่อหารือในปัญหาร่วมกับประธานกรรมการอิสลาม คณะกรรมการอิสลามจังหวัด แต่หากเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก ทำในระดับอำเภอ จังหวัด ได้ ก็ให้ดำเนินการไป ทั้งนี้ หากสามารถเริ่มดำเนินการในส่วนเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถแก้ไขความไม่เป็นธรรมในสังคมให้ลุล่วงไปได้ในเวลาค่อนข้างรวดเร็ว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเป็นห่วงในเรื่องการทำความเข้าใจกัน ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ควรจะสร้างความเข้าใจกับเยาวชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีความตั้งใจลงมาพบกับเยาวชน ซึ่งจะใช้เวลาในห้วงเวลาข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง โดยอยากจะพบและพูดกับเยาวชนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 60 กว่าปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสิ่งที่ดีและไม่ดีมาพอสมควร มีบทเรียนต่าง ๆ มามากในชีวิต ทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี จึงอยากพูดกับเยาวชนให้มีความเข้าใจ พร้อมกับจะชี้ให้เห็นว่าเมื่อเห็นว่าอะไรที่ไม่ดีก็ควรหาทาง ลด ละ เลิก แล้วหาทางทำสิ่งที่ดีงาม เพราะทุกศาสนามีสิ่งที่เหมือนกันคือไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี หันมาทำในสิ่งที่ดีงาม เยาวชนที่อยู่ในระดับมหาวิทยาลัยยังมีเวลาที่ยาวนานพอสมควรในอีก 40 ปีข้างหน้าที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าของตัวเอง ของบ้านเมือง ให้มีความก้าวหน้าสืบต่อกันไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความตั้งใจ ความจริงใจ ที่มีต่อทุกคน ต่อการที่จะหาทางแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีแล้วก็มีความจริงใจ ตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาให้ได้ โดยต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับผู้นำ ระดับเยาวชน ที่จะต้องมีการพบปะพูดจากัน มีอะไรที่เป็นปัญหา เดือดร้อน ก็มาพูดกัน เพราะจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นโอกาสอันดีที่ชาวมุสลิมทุกคนได้ทำบุญในช่วงเดือนถือศีลอด และวันนี้เป็นวันดีที่ทุกคนได้มาพบกันเพื่อฉลองวาระช่วงเวลาอิดิ้ลฟิตรี้ ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นชาวมุสลิม แต่ก็คิดว่ามีส่วนที่จะร่วมฉลองกับทุกคนได้ เพราะสังคมไทยไม่ได้แบ่งว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธจะมาร่วมสังคมกับคนมุสลิมไม่ได้ เช่นเดียวกับสังคมของคนพุทธที่ไม่ได้ถือว่าคนมุสลิมจะมาร่วมในสังคมพุทธไม่ได้ จึงอยากเห็นบรรยากาศความปรองดอง ความสมานฉันท์ ในสังคมไทยเกิดขึ้น เพราะในอดีตที่ผ่านมา ในช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ก็ได้มีความร่วมมือกันในเทศกาลของชาวพุทธหรือวันสำคัญของศาสนาอิสลาม ทุกฝ่ายในสังคมก็มีโอกาสที่จะร่วมกัน จึงอยากสร้างบรรยากาศเหล่านั้นให้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าทุกคนมีความเข้าใจกันจริง ๆ สามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้แล้ว โอกาสในอีกหลายส่วนก็จะตามมา ทั้งเรื่องการพัฒนาและการสร้างงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ บาดาวีแห่งมาเลเซีย ได้มีการหารือกันในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียมีความเข้าใจในเหตุการณ์ในประเทศไทยเป็นอย่างดี โดยได้บอกไปว่าแนวทางของตนเองไม่มีอะไรมากมาย จากการที่ได้ใช้มาตรการค่อนข้างที่จะเข้มงวด ก็จะหันมาใช้วิธีการทางสันติวิธีเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บอกว่าถ้ามีอะไรขอให้ติดต่อได้โดยตรง พร้อมกับเขียนเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวใส่กระเป๋าให้ อันเป็นสิ่งที่แสดงออกว่านายกรัฐมนตรีมาเลเซียเห็นด้วยกับแนวทางที่เราจะหาทางแก้ไขปัญหา และเมื่อเดินทางไปประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้อธิบายให้ประธานาธิบดีอินโดนีเซียทราบถึงแนวทางการแก้ปัญหาของไทยด้วย ซึ่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียก็เห็นด้วยกับแนวทางของไทย พร้อมบอกว่าอินโดนีเซียได้กำลังพยายามดำเนินการที่อาเจะห์ ที่ขณะนี้การเจรจาหยุดยิงสามารถทำได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นการเจรจาสันติภาพ โดยจะพยายามต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บอกไปว่านั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะทำให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราเหมือนกัน แต่ของไทยคงไม่ได้ไปถึงขั้นที่ต้องมีการเจรจาหยุดยิง เพียงอยากจะให้มีการพบปะเจรจากันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เพราะประเทศไทยไม่ได้มีการประกาศต่อสู้กันเช่นนั้น จึงอยากให้มีความปรองดอง อยากให้มีบรรยากาศของความสมานฉันท์เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ก็มีผู้ที่นับถือศาสนาอื่นอยู่ในสังคม ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ประเทศไทยจึงควรเหมือนกับประเทศอื่นทั่วโลก ที่มีประชาชนในชาตินับถือศาสนาที่ต่างกันสามารถอยู่ด้วยกันได้ มีความเป็นชาติ มีแนวทางอยู่กันด้วยความปรองดอง สมานฉันท์ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า จำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไข ได้รับการดูแล โดยสิ่งที่ได้กล่าวในวันนี้เป็นเพียงแนวทาง ส่วนรายละเอียดในการทำงาน จะมีทั้ง ศอ.บต. กองทัพ ที่จะเป็นรูปแบบใกล้เคียงกับรูปแบบเดิม ที่มีกองบัญชาการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ทัพ ทำงานกับ ศอ.บต. เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งทุกฝ่ายจะร่วมกันทำงานในด้านการประสานความสามัคคี ไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นเรื่องในสังคมที่ทุกฝ่ายจะต้องหาทางช่วยกันแก้ไข
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนจากตัวแทนข้าราชการ ผู้นำศาสนา และผู้นำท้องถิ่น ซึ่งมีการเสนอปัญหาต่อรัฐบาลหลายเรื่อง อาทิ การพัฒนาการเรียนการสอน การยกระดับวิทยาเขตปัตตานีเป็นมหาวิทยาลัย การขอเพิ่มค่าครองชีพครูสอนศาสนาโรงเรียนเอกชน การเสนอให้มีศาลชารีอะห์ซึ่งเป็นศาลที่ใช้กฎหมายอิสลามในพื้นที่ 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ การขอความเป็นธรรมในคดีตากใบ เป็นต้น
ซึ่งในเรื่องคดีตากใบนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่อยู่ในข่ายของการสอบสวน 58 คน ซึ่งหลักฐานอ่อน และเห็นสมควรที่จะให้มีการถอนฟ้อง ซึ่งได้แจ้งเรื่องนี้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ทราบแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องให้คณะรัฐมนตรีมีมติ เพราะเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและเป็นเรื่องของความเป็นธรรม เมื่อหลักฐานไม่มี เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในกระบวนการของกฎหมาย ก็จะต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ ไม่ใช่มารวมศูนย์อยู่ที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี แต่ละส่วนมีความรับผิดชอบกันได้อยู่แล้ว
"คดียังอยู่ในการพิจารณาทั้งอาญาและแพ่ง สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ คงจะต้องมีการสอบสวนมีการดำเนินการต่อไป ซึ่งผมได้ติดตามทั้งสองด้านแล้ว ก็เรียนให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจว่าผมไม่ได้มองด้านเดียว ผมมองปัญหาโดยรอบ แล้วที่ท่านขอให้รัฐบาลขอโทษ ผมมาในวันนี้ ผมขอโทษแทนรัฐบาลที่แล้ว ขอโทษแทนรัฐบาลนี้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในอดีตเป็นความผิดเป็นส่วนใหญ่ของรัฐ ซึ่งเราจะต้องหาทางช่วยกันแก้ไขกันต่อไป วันนี้มาในฐานะที่อยากจะยื่นมือออกไป และบอกว่าผมเป็นคนผิด ผมมาขอโทษ ผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบกในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ผมได้พยายามคัดค้านแต่ก็ไม่เป็นผล นั่นเป็นความผิดส่วนหนึ่งของผม ซึ่งไม่สามารถจัดการได้ และยอมรับว่าผมมีส่วนที่ได้พยายามคัดค้านการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่แล้ว แต่ไม่เป็นผล หลาย ๆ คนได้ช่วยกันคัดค้าน ไม่ใช่ผมคนเดียว แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้คัดค้าน และท่านคงทราบดีว่าผมเป็นคนซึ่งเขามองในลักษณะที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือ วันนี้พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ท่านมานั่งอยู่ด้วย มาด้วยกัน ไม่ใช่ว่าท่านไม่มา ในฐานะที่ท่านเป็นคนมุสลิมคนหนึ่งท่านมากับผม และมานั่งอยู่ในที่นี้ เพราะฉะนั้น การทำงานร่วมกันไม่มีปัญหา อยากจะฝากไว้ว่าในทุก ๆ เรื่องที่ท่านได้พูดกัน เราจะหาทางแก้จากง่ายไปหายาก จากเล็กไปหาใหญ่” นายกรัฐมนตรีกล่าว
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันตรุษอิดิ้ลฟิตรี้ ฮ.ศ.1427 ที่ศูนย์การกีฬา โรงแรม ซีเอส ปัตตานี เสร็จแล้วอยู่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ
--กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก--